Steve Wozniak ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple คนดังอีกรายที่ปิดบัญชี Facebook ต่อต้านที่บริษัทไม่สามารถจัดการข้อมูลส่วนบุคคลได้ดีพอ พร้อมบอกด้วยว่า Apple ทำเงินจากผลิตภัณฑ์ที่ดี ไม่ใช่ทำเงินจากผู้ใช้
จากข่าวฉาวเรื่องข้อมูลหลุด Facebook จนมีกระแสเลิกใช้ Facebook กันทั่วไป Elon Musk เองก็ ลบเพจของ SpaceX และ Tesla ออกแล้ว ล่าสุดเป็น Steve Wozniak ที่บอกว่าลบบัญชี Facebook แล้วด้วยเหมือนกัน เขาบอกว่ากำไรของ Facebook ทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อมูลของผู้ใช้ แต่ผู้ใช้ไม่มีผลตอบแทนใดๆ และสำหรับเขาเอง Facebook ให้ความรู้สึกเชิงลบมากกว่าเชิงบวก
Wozniak ห่างหายจากผู้มีบทบาทสำคัญใน Apple ไปพักใหญ่แต่เขายังคงเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ร่วมก่อตั้ง Apple และคนอื่นๆ ก็ยังเจอเขาได้ตามโซเชียลมีเดียต่างๆ เขายังก่อตั้ง Woz U สถาบันดิจิทัลให้คนพัฒนาทักษะคอมพิวเตอร์ด้วย
ภาพจาก Shutterstock
ที่มา - Ars Technica
Comments
เอาจริงพวกที่โวยวายว่าเฟซบุ๊คเอาคนเป็นสินค้า ผมว่ามันแลกเปลี่ยนกัน เราใช้ฟรี เช่นติดต่อสื่อสาร แบ่งปันภาพถ่าย ฯลฯ นัด event ส่วนเฟซบุ๊คก็โฆษณา แต่การใช้ข้อมูลของผู้ใช้ก็มากไป แต่ถ้าทุกคนคิดแบบแอปเปิ้ลก็ตายพอดี ถ้าเปรียบกับอาหารก็อาจจะบอกได้ว่าต้องอาหารเชฟสามดาวมิชลินเท่านั้นของคุณภาพสดรสชาติเยี่ยมขนผักมาด้วยรถไฟไฮสปีด(แซวนะ กองเชียร์เจ๊อย่าโกรธ อิๆ)
ถามว่าทุกคนกินแบบนั้นไหว เอาเป็นว่าคนงานประกอบมือถือแอปเปิลไม่มีปัญญากินได้แน่ๆ แต่ข้าวผัดข้างถนน อาจจะอนามัยไม่เท่าเชฟ tim cook ทำ ไม่ได้ใส่ของพิศดาร แต่มีปัญญาซื้อตอบสนองความต้องการได้ก็จบ นี่ทำเป็นพูดจาโฆษณาสร้างคะแนนไปงั้น
เฟซบุ๊คหรือบริการไม่เสียตังทั้งหลายมันก็เหมือนผู้ใช้แลกเปลี่ยนด้วย asset อย่างอื่นที่ไม่ใช่เงินสดซึ่งในกรณีก็คือดูโฆษณาเหมือนดูทีวีนั่นแหละ(บวกขายข้อมูลซึ่งไม่ค่อยโอเค)แค่นั้นเอง เพียงแต่บางคนอาจจะไม่รู้ตัว ส่วนแอปเปิลก็เหมือนดูทีวีไม่มีโฆษณาแต่แพงบันได อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าเอาจริงแอปเปิ้ลก็หากินจากข้อมูลผู้ใช้เหมือนกันนั่นแหละ แต่ไม่ได้ขายให้บุคคลที่สามเลยไม่มีการไปทำทุเรศเหมือน Cambridge analytica.
ก็เขาคงไม่ได้ใช้ประโยชน์ในการ "ติดต่อสื่อสาร แบ่งปันภาพถ่าย ฯลฯ นัด event" กับใครๆ ก็เลยปิด
"เขาบอกว่ากำไรของ Facebook ทั้งหมดขึ้นอยู่กับข้อมูลของผู้ใช้ แต่ผู้ใช้ไม่มีผลตอบแทนใดๆ."
ตรงนี้ที่มันผิดไงครับ ผมเข้าใจว่า Steve ได้ใช้ประโยชน์ในการ "ติดต่อสื่อสาร แบ่งปันภาพถ่าย ฯลฯ นัด event" กับใครๆ ก็เลยปิด แต่ Steve ก็ไม่มีสิทธิ์พูดคำพูดที่ผิดและบิดเบือนครับ
+1 จะใช้บริการก็ต้องจ่ายตอบแทน
แต่ทุกคนไม่ได้มีทรัพยากรพอจะจ่ายได้เหมือนกัน ใครมีเงินก็จ่ายเงิน ใครไม่มีก็จ่ายเป็นแรงงาน, ข้อมูลส่วนตัว, หรือหนักหน่อยก็ขายไตแลกโทรศัพท์
ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนจะประเมิณค่าของสิ่งที่จะนำไปแลกมากน้อยเท่าไหร่ ใครขาดอะไรก็มองว่าสิ่งนั้นมีค่ามากกว่าสิ่งอื่น คนที่ขายไตตอนนั้นก็คงคิดว่าเสียไตไปข้างนึงแลกกับภาพลักษณ์ซึ่งจะสร้างที่ยืนในสังคมก็คุ้ม
ถ้าเช่นนั้น Facebook ไม่ควรโฆษณาว่าใช้ฟรีรึเปล่าครับ ควรบอกชัดเจนว่าใช้ฟรีแลกเปลี่ยนกับการหาผลประโยชน์กับข้อมูลส่วนตัวของคุณ ให้กดรับทราบก่อนสมัคร แต่นี่ไม่มีครับ ดังนั้นลุงแกจะพูดแบบนั้นก็ไม่ผิดครับ
By clicking Create Account, you agree to our Terms and that you have read our Data Policy, including our Cookie Use. You may receive SMS Notifications from Facebook and can opt out at any time.
https://www.facebook.com/legal/terms
https://www.facebook.com/about/privacy
https://www.facebook.com/policies/cookies/
พึ่งมีรึเปล่าครับ? ผมสมัครตั้งแต่ FB เปิดใหม่ๆจำไม่เห็นได้ว่ามีเงื่อนไขอะไรให้ accept ด้วย
วันก่อนก็พึ่งคุยกับแฟนไป เธอว่าเธอไม่เคยเห็น ผมบอกว่า กฎหมายอย่างกฎหมายอเมริกาที่รักษาสิทธิส่วนบุคคล ไม่มีทางเลยที่จะไม่มีหน้านี้ขึ้น เว้นเสียแต่ว่าตอนสมัครเธอกด Next กับ Next ไปโดยไม่สนใจอะไรแบบไทยสไตล์ สิทธิของเราเองตอนเค้าจะให้ใช้เรามองข้าม แต่พอใช้ไปแล้วเสียประโยชน์กลับมาค้นหา แบบเดียวกับตอนสมัครประกันชีวิต
มีนานแล้วครับ เป็นมาตรฐานของการให้บริการและโปรแกรมมาตั้งนานแล้วถ้าไม่มีป่านนี้ต้องมีคนฟ้องร้อง FB แล้วชนะได้เงินไปกินขนมเยอะแยะแล้ว
ผมว่าผมเห็นข้อตกลงอันนี้มาตั้งแต่ปี 2013 แล้ว
ในเว็บเฟซบุ๊คก็เขียนว่าข้อตกลงปรับปรุงครั้งสุดท้าย มกราคม 2015ผมก็ไม่แน่ใจนะว่า #พึ่งมามี ของคุณมันนานเท่าไร
ถ้าสำหรับผม การที่มันมีมา 3-5 ปีนี่มันก็ถือว่านานอยู่นะครับ มันไม่ใช่พพึ่งมามี
ลืมไปแล้วหรือไร! เขาไม่ได้บังคับให้เล่นน้าาา
แต่ก็ติ,วิจารณ์ได้นะ
ใช่ครับ วิจารณ์ได้ ผมก็เห็นด้วย
Thailand only คนใช้อะไรต้องชอบเท่านั้นไม่ชอบ ก็ไปใช้อันอื่น 5 5 5
Thailand เรา unique ครับ ^^
เค้าไม่ได้ลืมไง เค้าถึงเลิกใช้
ผมก็ไม่ใช้ เพราะมันละเมิดผมมากเกินไป
เพราะในเฟซ ผมไม่ได้ให้ข้อมูลส่วนตัวอะไรเลย วันเดือนปีเกิดไม่มี เบอร์โทรไม่มี ชื่อจริงไม่มี ที่ทำงานไม่มี ที่อยู่ไม่มี ไม่เคยรับใครเป็นเพื่อน ไม่มีข้อมูลอะไร Public ในโทรศัพท์ ปิด permission ทุกอย่าง สำหรับ app facebook ใจจริงอยากถอด แต่มันถอดไม่ได้
แต่มันลากข้อมูลคนที่ผมเคย email สื่อสารในโทรศัพท์ (official mail บน Lotus Notes ไม่ใช่ free email) ในสำนักงานใหญ่ที่ต่างประเทศ มานำเสนอ
เอาที่อยู่ของบ้านผม ที่ข้างบ้านมีคนต่างชาติ เลยนำเสนอข้อมูลคนชาตินั้นมาเป็นเพื่อนให้ผม ทั้งที่ผมไม่เคยรู้จัก
เอาตำแหน่งที่ตั้งบริษัทผม ที่ผมไม่เคยให้ เอาคนในบริษัทมาเสนอเป็นเพื่อนให้ผมเต็มไปหมด
เอาคนที่อยู่ในบริษัทผมในประเทศอื่น มาเสนอเป็นเพื่อนให้
เอาคนในสำนักงานใหญ่ มาเสนอเป็นเพื่อนให้
ผมว่าคงไม่มีข้อตกลงข้อไหนตอนสมัคร บอกว่าจะทำอะไรขนาดนี้มั๊ง...
ถูกต้องครับ เราไม่ควรเปิดเผยของข้อมูลส่วนตัว(เลย)เยอะ เพราะมีความเสี่ยง
ลูกค้าที่ไม่พร้อมจะให้ข้อมูลอะไรเลยก็คงไม่ใช่ Target group ของ Facebook เหมือนกันครับ
ต้องไม่ให้แอพเข้าถึงข้อมูลตำแหน่งที่ตั้งครับ มันหาจากสถิติว่าคุณกับเพื่อนที่ทำงาน อยู่ในที่เดียวกันบ่อยๆ เลยแนะนำให้เป็นเพื่อนกันครับ เหมือนที่ตอนนั้นมีดราม่าแนะนำให้โสเภณีกับลูกค้าเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกัน ฮา
คุณคิดไปเองรึปล่าวครับว่ามันทำงานยังไง เราไม่มีทางจะรู้
ไม่คิดไปเองครับ ถ้าติดตามข่าวสารด้านนี้คงต้องได้ยินบ้างแหละน่า ที่โสเภณีในเมกาโวยวาย ส่วนที่ว่าไม่มีทางจะรู้นั้น พอดี facebook ออกมาให้ statement เองนั่นแหละ
http://time.com/money/4386138/facebook-friend-suggestions-privacy-concerns/
ที่ผมหมายถึงคือข้อมูลที่ใช้มีมากกว่านั้น (e.g. IP address, advertising id, etc) และคุณจะรอดพ้นได้ยากมากๆ ใน statement ที่คุณยกมา Facebook ยังมีความ reluctant ที่จะพูดเรื่องนี้อยู่
อะไรๆ ทุกอย่างในโลกนี้ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องจริง แต่ถ้าใช้หลักเหตุผลก็สามารถคะเนความน่าจะเป็นได้มาก ตอนหลัง facebook ก็ถอน statement ด้วยสาเหตุอะไรบอกไม่ได้ หนึ่งคือไม่อยากให้รู้ว่าทำงานยังไง สองอาจจะไหลแล้วรีบเบรก
IP address น่าจะรวมเป็นข้อมูล location ด้วยครับ สามารถใช้ได้สองอย่าง อย่างนึงคือ identity อย่างที่สองคือ location พวกคอมฯ ที่ต่อเน็ทก็หา location ได้ค่อนข้างแม่นยำอยู่ มือถือบางเครื่องยังไม่มีจีพีเอสเลย ใช้ เสามือถือกับไวไฟอย่างเดียว มือถือผมเคย gps เสีย แอพแผนที่ ฯลฯ ของกูเกิลก็หาตำแหน่งได้อยู่แต่ต้องเปิดเน็ท
การหาเพื่อนก็มีหลายวิธีแน่นอนอยู่แล้ว เช่นคอนแท็ค ฯลฯ แต่ที่ผมยกตัวอย่างเรื่องตำแหน่ง เพราะว่าเหมือนคนที่ผมตอบจะบอกว่าคนที่ไม่เคยมีคอนแท็ค เบอร์โทรศัพท์ บลาๆ เลย แต่อยู๋ข้างบ้านหรือที่ทำงานงี้ ผมก็เลยคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าน่าจะเป็นเรื่องสถานที่
แสดงว่าตกข่าวจิงๆ
ในแอพ ปิดการอนุญาตเข้าถึงข้อมูลทั้งหมด รวมถึง location ครับ
ถึงปิด location มันก็หาเจอครับ แค่เช็คจาก Wifi หรือเสาสัญญาณที่เราเชื่อมต่อมันก็พอเดาออกว่าเราอยู่แถวไหน ใครบ้างที่อยู่แถวนี้บ่อยๆในช่วงเวลาไหน
เพราะผมเองก็ปิดเรื่อง location แต่มันก็เอาเพื่อนร่วมงานมาแนะนำผมได้อยู่ดี
เห็นด้วยอย่างยิ่งเลย - -b นี่ก็หักดิบเลิกเล่นไปหลายปีละ แต่ว่าจำเป็นต้องสมัครใหม่เพื่อกับเทสระบบเล็กๆ น้อยๆ กับเล่นเกมบ้าง ขนาดว่าไม่ให้ permission ใดๆ แล้วนะ ก็ยังแนะนำคนโน้นนี่นั่น(รอบๆตัว)มา ก็ว่าปิดหมดขนาดนี้ละนะยังจะเจือกรู้ดีอีก
โลกธุรกิจของของด้านไอทีมันต่างจากธุรกิจอื่น ๆ โครงสร้างรายได้แบบขายผลิตภัณฑ์โดยตรงมักใช้ไม่ค่อยได้กับธุรกิจด้านนี้ เทียบกันได้ยากอยู่
โลกของธุรกิจขึ้นอยู่กับว่าคุณจะยอมเสียตังค์หรือยอมเสียผลประโยชน์เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมากกว่า
ผมว่ารุนแรงกับเฟสบุคมากไปรึเปล่าผู้ใช้ประโยชจากข้อมูลตัวจริง จนจะครองโลกได้อยู่แล้วอย่างกลูเกิลล่ะ?
Google มันแฟร์กว่าในหลายๆแง่นะผมว่า คืออย่างน้อยมันก็ช่วยงานเราได้
ผมว่ารุนแรงกับเฟสบุคมากไปรึเปล่าผู้ใช้ประโยชจากข้อมูลตัวจริง จนจะครองโลกได้อยู่แล้วอย่างกลูเกิลล่ะ?
ถ้าทุกสินค้าดีๆต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้ใช้งานทั้งหมด โลกนี้จะพัฒนามาได้ไกลขนาดนี้หรอครับ คนยุคดึกดำบรรพ์แบบนี้แหละที่ชอบขัดขวางความเจริญ
เข้าใจว่าติเพื่อก่อนะ เข้าใจว่าหวังดีเรื่องข้อมูล แต่ไอคำพูดเชิงยกแต่ข้อเสียของคนอื่น แล้วชูของฝั่งที่ตัวเองเชียร์มาข่มนี่ผมรับไม่ได้
เหมือนวันก่อนที่ตามนุษย์ยุคอนาคตของใครหลายๆคนออกมาเตือนเรื่อง AI แบบที่ไม่ได้เอาข้อมูลจริงๆมาคุย มีแต่สร้างความกลัวให้คนอื่นทั้งๆที่ตัวเองยังศึกษาไม่แตกฉาน นอกจากสูบเงินนักลงทุนมาขายฝันกับโครงการที่มีแต่หนี้สินแล้ว ผมไม่เห็นว่าพี่แกจะเก่งตรงไหน อวยกันทั้งนั้น
ลองนึกภาพ Facebook, Google, Youtube, Instagram, Line, และเว็บไซต์ทั่วๆไปพวกนี้ไม่เปิดให้ใช้งานฟรีสิเรื่องของข้อมูลก็ต้องคุยกันแบบ By Case ไป
โลกนี้ต้องพัฒนาไปข้างหน้า อะไรที่ผิดพลาดวันนี้ก็ต้องช่วยกันหาวิธี ไม่ใช่มายกตนข่มท่าน บริษัทฉันทำเงินจากสินค้าที่ดี บลาๆ ถามหน่อยบริษัทท่านขายมือถือดีๆแต่ถ้าไม่มี Environment จะอยู่ได้หรอ? จะแก่แต่อายุสิครับ
ก่อนหน้านี้ยอมรับอยู่แล้วครับ ข้อมูลอะไรที่เราโพสใน facebook ข้อมูลเราเอาไปเก็บไว้กับเค้า เค้าก็เอาของเราไปใช้ได้แต่ที่รับไม่ได้คือรูปที่เราถ่ายตะกี้จากแอปกล้อง facebook มันขึ้นแนะนำให้โพส มันก็เกินไปจริงๆ จะเอาทุกอย่างในมือถือเลยรึ เลยปิดpermissionsหมด จะโพสอะไรต้องเปิดแล้วมาปิดอีกที(นี่ก็ไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่เราเปิดแป๊บๆมันแอบดูดอะไรไปรึป่าว)
จริงๆก็เข้าใจตา Wozniak และคนที่ต่อต้านส่วนมากอ่ะนะ นอกจากอาศัยโอกาสแล้วยังมีหลายเรื่อง
ส่วนตัวแล้วก็คิดว่า Facebook นี่ก็มากเกินไป กว่าสิ่งที่ให้มา (ยกเว้นคนที่เอา FB ไปใช้ทำธุรกิจ หรือค้าขาย) แต่มันเลี่ยงยาก เพราะคนรอบๆก็ใช้กันหมด
..
อีกด้าน คิดว่า Device ควรมีโหมด fake everything สำหรับแอพทุกชนิดได้ล่ะ ขอพิกัด->ได้พิกัดแบบ AI เดินทาง .. ขอ Contact ได้ลิสต์ปลอมพร้อมเบอร์ปลอมปนไปด้วย .. ขอข้อมูล ก็ได้ภาพหลอกไป
..
แล้วก็ ถ้าเทียบกับรายใหญ่ๆอื่นๆ ปัญหาข้อมูลรั่วไหลให้ 3rd-party จาก Google / Apple / Youtube มันน้อยกว่ามากอย่างมีนัยยะเลยนะครับ
สำหรับคนที่ถือข้อมูลมหาศาลบนโลกออนไลน์ ผมว่า Facebook จัดเป็น Tier ล่างสุดของการจัดการแล้ว (และถือข้อมูลพฤติกรรมระดับบนเกือบสุด คือมี Relationship ด้วย)
hi5
ย้ายไป Mastodon ได้ครับhttps://en.m.wikipedia.org/wiki/Mastodon_(software)