เราเคยเห็นตัวอย่างการพัฒนาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบสวมใส่เพื่อการทหารมาแล้ว ดังเช่น งานวิจัยใช้แว่น Google Glass ของกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ล่าสุดมีอีกตัวอย่างโดยกองทัพของนอร์เวย์ได้ใช้ Oculus Rift ในการควบคุมรถถัง
ในการทดสอบใช้งาน ได้มีการติดตั้งกล้องถ่ายภาพไว้ด้านนอกของรถถัง โดยภาพจากกล้องดังกล่าวจะไปแสดงผ่าน Oculus Rift ที่เจ้าหน้าที่ผู้ขับรถถังสวมใส่อยู่ในขณะที่นั่งอยู่ภายในรถ ด้วยวิธีการนี้ ปัญหาเรื่องทัศนวิสัยการมองของผู้ขับรถถังก็จะถูกกำจัดไปในทันที
ทีมงานทดลองวิจัยของกองทัพนี้ได้เล็งเห็นว่าการใช้งาน Oculus Rift เพื่อช่วยในการขับรถถังนั้น ใช้ต้นทุนน้อยกว่าการใช้กล้องทางการทหารที่มีใช้งานกันโดยทั่วไปในรถถังเป็นอย่างมาก โดยชุดต้นแบบที่พัฒนาจาก Oculus Rift นี้มีต้นทุนในการผลิตราว 2,000 ดอลลาร์ ในขณะที่กล้องแบบทั่วไปที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์เดียวกันในปัจจุบันนี้มีต้นทุนต่อชุดที่สูงกว่านี้เป็น 50 เท่า ที่สำคัญการใช้ Oculus Rift นี้จะให้ผลดีในสถานการณ์คับขันระหว่างการรบจริงที่ต้องปิดประตูห้องควบคุมรถอย่างมิดชิดอีกด้วย
อย่างไรก็ตามทีมทดสอบได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า จากการทดสอบใช้ Oculus Rift ผู้ใช้ยังมีปัญหาสายตาล้าจากการสวมใส่อุปกรณ์ ดังนั้นจึงต้องมีการปรับปรุงอุปกรณ์เพิ่มเติมต่อไปก่อนที่จะสามารถนำมาใช้งานจริงได้ในอนาคต
ที่มา - The Verge
Comments
ในควบคุม => ในการควบคุม
ทัศนิวิสัย => ทัศนวิสัย
ขอบคุณครับ แก้แล้วครับ
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
แต่ที่มาบอกอย่างนี้
ผมเมาเองครับ แปลจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
ทำไมผมรู้สึกว่าถ้ามีโปรเจ็คนี้ในไทยจะโดนด่าเละข้อหา "เอาของเล่นมาทำงาน"
I need healing.
อาวุธนี่เอง!!!!!!!!!!
อ่านหัวข้อข่าว ตอนแรกนึกว่าแบบ "Establishing battlefield control...stand by..." :P
แล้วดีเลย์ 3 วินาทีละ
นั่นมันโปรเจค LAG ที่เค้าจงใจใส่ให้มันหน่วงครับ
ที่จริงเค้ามีคำเรียกที่ว่า Military Grade นะ อุปกรณ์ระดับนั้นเทียบกับ Oculus Rift แล้วกลายเป็นของเล่นไปเลย เพราะลงสนามรบจริงต้องเจอสภาพแวดล้อมที่ต่างจากในห้องหรือในบ้านลิบลับ ทั้งร้อน ความชื้น แรงสั่นสะเทือน ฯลฯ ในสนามรบจริง ความแตกต่างของอุปกรณ์ที่ต่างกันนิดเดียวก็เป็นเส้นแบ่งของความเป็น-ตายแล้ว ถึงราคาจะต่างกัน 50 เท่า ทางกองทัพก็ไม่น่าจะงกนะ ราคา 2000$ นี่ราคาประมาณลูกปืนรถถังแค่ 2-3 ลูกเอง
จริงอยู่ว่าลดชิ้นเดียวไม่ Significant ครับ แต่ถ้าวิจัยและลดราคาชิ้นส่วนชิ้นอื่นตามไปเรื่อยๆจนสุดท้ายทั้งคันเปลี่ยนจาก Military Grade ลงมาเป็น Mass produced Grade ทุกอย่างแล้วราคาเหลือสัก 1/10 (ไม่ต้อง 1/50 ก็ได้)
ก็เอางบเท่าเดิมไปซื้อรถถังได้ 10 คัน ในสภาพสังคมที่ความมั่นคงสูง แทบไม่เกิดการรบกันจริงๆ มีรถถัง 10 คัน มันฟังดูโก้และข่มขวัญฝั่งตรงข้ามได้มากกว่าเยอะนะครับ
-*- มัมไม่มี Mass produced grade ครับอุปกรณ์ไฟฟ้า เขาแบ่งเป็น
Commercial
Industrial
Automotive
Extended
Military
ตามการรองรับอุณหภูมิเวลาที่ใช้งานครับ
ถ้าเอา อุปกรณ์ที่เป็น Commercial grade ไปใส่รถถัง .... มันก็ใส่ได้ครับ
แต่ถ้าเอาไปวิ่งในสนามรบ ที่อุณหภูมิ ติดลบ หรือว่า รถถังโดนเผาจากข้างนอกจนอุณหภูมิมันร้อนเกิน 100 องศา .... Commercial grade มันทนไม่ได้ แล้วมันก็พัง สุดท้ายคนขับบังคับไม่ได้ ก็ตายกันพอดี
ส่วนการทำอุปกรณ์ไฟฟ้า ให้รองรับ grade ที่สูงขึ้น ..... ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้นเรื่อยๆครับ
เอาแค่ IC คนละเกรดกัน ราคาก็ต่างกันเยอะแล้วครับ
ไม่เกี่ยวกับเรื่อง Mass product เลย
ขอบคุณครับ พึ่งได้รู้วันนี้แหละว่าเขาแบ่งเกรดแบบนี้
point ผมแค่ว่าตอนนี้โอกาสเกิดการรบจริงมันต่ำมาก แล้วกรณี extreme อย่าง อุณหภูมิร้อนขึ้นไปขนาดนั้นมันเกิดขึ้นยาก ก็น่าแบ่งงบบางส่วนมาสร้างรถถังเกรดลูกระจ๊อก จำนวนเยอะๆ ที่ทำงานได้ใน condition ปกติ เช่น ใช้ขับโชว์ใน parade, ทำรัฐประหาร ฯลฯ
ส่วนรถถังที่ทำงานได้ในทุกสภาวะจริงๆมีไว้ไม่ต้องเยอะก็ได้ เช่นแทนที่จะซื้อรถถัง Military Grade 2 คันก็เปลี่ยนเป็น Military Grade คันนึง และ Commercial Grade อีก 10 คัน อะไรแบบนั้นน่ะครับ
ก็ไม่แน่ว่า 50 เท่านั่นอาจจะไม่ใช่ต้นทุนจริงก็ได้ครับไม่รู้บ้านเค้ามีเบี้ยรายทางเหมือนกันรึเปล่า
ทางบ้านเราตำรวจน่าจะลองเอาเครื่องนี้ไปต่อเชื่อมสัญญาณจากกล้องที่ตัวจ่าเฉย
เอากล้องไปติดไว้ที่ส่วนหัวของจ่าเฉย เวลาคนใส่ Oculus Rift หันไปหันมา ส่วนหัวของจ่าเฉยก็ขยับตามไปด้วย ด้วยวิธีนี้จะทำให้ตำรวจสามารถตรวจได้หลายๆ ที่โดยใช้เวลาไม่นาน แค่เชื่อมต่อสัญญาณไปยังจ่าเฉยตัวอื่นเท่านั้นเอง แต่เอ๊ะ อย่างนี้จะเรียกว่าจ่าเฉยก็ไม่ได้แล้วสินะ