ช่วงนี้การค้นหาโพสต์เก่าๆ บนสังคมออนไลน์หรือที่เรียกกันว่า 'ขุด' กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก เรียกได้ว่าข้อมูลเหล่านั้นถ้าหากไม่ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวไว้ให้ดี ก็อาจหนีไม่พ้นอาจกลับมาส่งผลเสียต่อเจ้าของโพสต์เองได้ ซึ่งหากจะมานั่งไล่ลบทีละโพสต์ก็คงจะเหนื่อยน่าดูถ้าหากใช้งานมาหลายปี หรือหากจะลบบัญชีทิ้งไปก็ไม่ช่วยแก้ปัญหาให้ตรงจุด ดังนี้เรามีวิธีจัดการโพสต์เก่าๆ บนสังคมออนไลน์อย่าง Facebook และ Twitter มาแนะนำกันครับ
การลบโพสต์เก่าๆ บน Facebook ทิ้ง
Facebook ไม่ได้มีเครื่องมือสำหรับลบโพสต์เก่ารวดเดียว แต่ต้องอาศัย extension บนบราวเซอร์ Chrome ที่ชื่อว่า Social Book Post Manager ซึ่งความสามารถของมันคือ การเลือกลบ, unlike และซ่อนโพสต์ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ลง extension แล้วไปที่หน้า Activity Logs ของเรา จากนั้นกดใช้งาน extension แล้วเลือกช่วงเวลาที่ต้องการ ก็สามารถจัดการโพสต์ต่างๆ ได้อยู่มือ
ตั้งค่าโพสต์ Facebook เก่าให้เป็น Friends Only
แต่ถ้าไม่อยากลบ แค่อยากซ่อนไม่ให้เป็นสาธารณะและให้เห็นแค่เพื่อนหรือคนที่ถูกแท็กเท่านั้น ให้ไปที่ Setting เลือกเมนู Privacy จะพบเมนู Limit Past Posts ให้ทำการยืนยันการตั้งค่า หลังจากนั้นโพสต์ที่เคยเป็น Public จะถูกเปลี่ยนเป็น Friends Only ครับ
มาทางด้านฝั่ง Twitter กันบ้าง สำหรับสังคมออนไลน์เจ้านี้ ความเป็นส่วนตัวจะมีเพียงแค่ Public กับ Private ฉะนั้นจึงไม่สามารถซ่อนทวีตเก่าๆ ได้ สิ่งที่ทำได้จากตัว Twitter เองคือการเปลี่ยนสถานะบัญชีจากสาธารณะเป็นส่วนตัวเท่านั้น แต่ถ้าหากจำเป็นต้องใช้งานบัญชีให้เป็นสาธารณะ แนะนำให้ลบทวีตเก่าๆ ออกไปเลยครับ โดยสามารถเลือกเครื่องมือลบทวีตได้หลากหลายเจ้า ไม่ว่าจะเป็น
- TwitWipe สามารถลบทวีตได้หมดจด แต่จะใช้เวลาลบนานหากทวีตเยอะ
- tweet delete ตั้งเวลาให้ลบทวีตได้ตามต้องการ (จำกัดการลบที่ 3,200 ทวีตล่าสุดต่อครั้ง)
- Cardigan ลบทวีตและไลก์ได้
จริงๆ ยังมีเครื่องมือช่วยลบอีกหลายตัว แต่ต้องเลือกใช้ดีๆ เพราะบางตัวอาจจะขอการเข้าถึงมากเกินความจำเป็น และอย่าลืมว่า เมื่อใช้เครื่องมือเหล่านี้เสร็จแล้วควรไป Rovoke Access ออกจาก Twitter ของเราเพื่อความปลอดภัยของบัญชีเรา
ถ้าหากไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์โดน 'ขุด' กับตัวเอง อย่าลืมตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในโพสต์นั้นๆ รวมไปถึงตั้งสติก่อนจะโพสต์ด้วย เพราะทุกๆ โพสต์ของคุณ จะถูกบันทึกลงโลกออนไลน์และจะอยู่ติดตัวไปหากไม่มีการลบทิ้งนะครับ
ที่มา : WikiHow , Mental Floss
Comments
เห็นไอ้ที่ล่าแม่มดกันอยู่นี่ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องจำเป็นเลยครับ แต่หลักๆคือ ต้องคิดก่อนทำครับดีที่สุด หรือถ้าพลาดไปแล้วก็ต้องรีบแก้ไข ไม่งั้นไฟลามทุ่งแน่นอน
ขุดแบบนี้ไม่โอ
นี่แหละ ผลของการทำอะไรที่แหกกฎระเบียบ ประเพณี ค่านิยมของสังคม โดยไม่คิด โดยไม่คิดระยะยาวก่อนทำว่า อีก 2 เดือน เราจะคิดยังไงกับสิ่งที่ทำในวันนี้ แล้วอีก 2 ปี อีก 20 ปี เราจะคิดยังไง และมันจะเกิดอะไรขึ้นหลังเราทำสิ่งนี้
ปล. ที่จริงเฟสบุ๊คมันมีให้เลือกตั้งแต่เวลาที่เราจะโพสเลยว่าจะให้ใครเห็นบ้าง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนไทยส่วนใหญ่ถึงไม่เลือกก่อนโพส
ปัญหาคือการไม่ยอมรับความเห็นต่างของคนอื่นนี่แหละครับ ถ้ายอมรับกันได้มันจะไม่มีเรื่องอะไรเลย
คิดต่างได้ แต่ต้องมีขอบเขตนะครับ ?
+1
ขอบเขตที่ระบุกันนี่มีเหตุผลที่รองรับกันชัดเจนหรือเปล่าครับ
ผมเห็นภาพที่เป็นข่าวแล้วทีแรกก็ หื้มมม แต่ยังคิดหาเหตุมาว่าเค้าไม่ออกเลยสักข้อครับนอกจากความไม่สบายใจแบบไม่มีเหตุผล
ทุกอย่างมีขอบเขตหมดแหละครับ ของใคร หรือของคนส่วนใหญ่ หรือของกลุ่มคนบางกลุ่ม ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติที่จะถูกกดดันถ้าคิดเห็นต่างในบางเรื่องอยู่แล้ว
ความชัดเจนมันไม่ได้มีอยู่ในทุกเรื่องไปหมด โดยเฉพาะเรื่องของสังคม คุณที่ทางสังคม หรืออะไรจำพวกนี้ ที่วัดกันเป็นตัวเลขไม่ได้เสียทีเดียว
แต่ใช่ว่าเราจะไม่รู้ ไม่เข้าใจ แน่นอนตอนทำย่อมไม่มีใครห้ามนอกจากใจเราเอง เราต่างก็รู้เงื่อนไขที่วัดไม่ได้พวกนี้อยู่ครับ ทั้งนี้ผู้ที่เป็นคนกระทำนั้นก็จะถูกประเมินด้วยว่า เหมาะสมที่จะทำไหม ซึ่งก็ถ้ากรณีนี้ก็จะถูกถามอีกหรือเปล่า ว่า เหมาะสม วัดที่ตรงไหน
มันไม่ต่างกับสิ่งที่เราก็เข้าใจ แต่เราก็จะถามเพื่อให้ได้ความชัดเจน ทั้งที่เราก็เข้าใจ
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
ขอบเขตเป็นเรื่องส่วนบุคลครับ แต่ละคนตั้งขอบเขตเอาไว้ในใจไม่เท่ากันมันเลยไม่สามารถนำมาใช้เป็นมาตรฐานอะไรได้ครับ
+1 ขอบเขตที่ว่ามันก็แค่คำพูดสวยหรู แท้จริงแล้วก็คืออย่าทำอะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบ แค่นั้นแหละ
แต่การที่ทำอะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบ แล้วมีปัญหาทางกฎหมาย ทั้งๆ ที่มันไม่ควรจะผิดกฎหมาย อันนี้น่าจะเป็นปัญหามากกว่าครับ
เพราะคนเขียนกฏหมายในไทย ก็เขียนเพื่อเอาใจคนส่วนใหญ่ โดยที่ไม่ได้เคารพสิทธิ์ความเป็นคนมากเท่า ระบบ ระเบียบ ธรรมเนียม ฯลฯ
เช่น กฏหมายไทย น่าจะเป็นกฏหมายฉบับเดียวในโลกที่ห้ามบุตรฟ้องบิดามารดา บุพการี เพราะด้วยความเห็นว่า บุพการีคือคนที่มีบุญคุณกับบุตรที่สุด ทั้งที่พ่อแม่ทุกวันนี้บางคนยังไม่ควรจะเรียกว่าพ่อแม่ด้วยซ้ำ แต่ก็เปิดช่องให้คนอื่นยื่นฟ้องแทนได้ ถ้าถามความเห็นผมในเรื่องนี้คือ "ไร้สาระ" เพราะใครๆ ก็ทำผิดได้ แล้วถ้าไม่มีคนฟ้องให้แทน เด็กคนนั้นจะมีวันได้ความยุติธรรมไหม
ถ้าคำนึงว่าเด็กมีสิทธิ์ที่ เท่าเทียม กับบุพการีข้อกำหนดแบบนี้จะไม่มีวันถูกเขียนออกมาเลย
นี่ผมเพิ่งรู้ว่าเมืองไทยห้ามลูกฟ้องพ่อแม่ ตลกดีครับ
ผมเชื่อว่าเหตุผลจริงๆ คือเคสลูกฟ้องพ่อแม่เป็นเคสที่จัดการทั้งเรื่องกฎหมายยาก และจัดการผลที่ตามมายาก เลยเอาสะดวกเข้าว่ามากกว่า
สำหรับผมคนที่ชี้รูปไม่ได้เกินขอบเขตครับ แต่คนที่บอกจะร้องไห้นี่แหละครับที่ล้ำขอบเขตไปเยอะมาก
เห็นมั้ยครับ ขอบเขตของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน คุณจะเป็นคนกำหนดขอบเขตที่ตัวเองชอบให้คนอื่นได้หรือ
ผมไม่ได้กำหนดหรอกครับ แต่คุณรู้ว่าสังคมที่คุณอยู่เป็นอย่างไง สิ่งที่คุณยกตัวอย่าง แค่จะอยากบอกว่า มันเป็นเรื่องของใครก็ได้ที่จะตั้ง คุณเรียกร้องตรงนั้น ทั้งที่คุณก็รู้ว่าขอบเขตของสังคมที่อยู่เป็นอย่างไร
มันไม่ต่างจากหลายเรื่องเลยครับที่คนในสังคมนั้นบางคน หรือนอกสังคมนั้นจะมองว่ามันแปลก แต่คุณรู้ และที่ผมบอก ผมไม่ได้บอกว่า ขอบเขตต้องถูกแบ่งโดยใคร และไม่ใช่ผมไม่เข้าใจ ผมนะเข้าใจ และเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็เข้าใจ แต่คุณต้องการจะบอกว่าขอบเขตมันไม่ใช่ นั้นมันสิทธิ์ของคุณ แต่ละคน แต่ต้องดู "ขอบเขตของสังคม" ที่คุณบอกว่า คุณไม่อยากได้ ไม่อยากตั้ง และคนอื่นไม่มีสิทธิ์ตั้งขึ้นมาโดยคุณไม่ยินยอม (ทั้งที่ชีวิตจริง ก็จะมีแต่เรื่องพวกนี้ละครับ)
ปัญหาคือ การกระทำที่ส่งผลกระทบต่อเรื่องของขอบเขตของสังคมตั้งไว้ ย่อมมีผลตอบกลับ (แต่นี่เป็นเรื่องอีกประเด็นอ่ะนะ)
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
ผมอ่านคคห.คุณแล้วรู้สึกว่าคุณกำลังละเมิดความคิดผมจนเกินขอบเขต ผมเรียกร้องให้คุณขอโทษผมและสังคม คนส่วนใหญ่(ที่ผมคิดไปเองว่าเป็นคนส่วนใหญ่) ไม่งั้นผมจะรณรงค์ล่าแม่มดคุณนะครับ
ข้างบนนี่ผมประชดนะครับ
แต่ลองคิดกว้างๆ เวลาอ้าง คนส่วนใหญ่ น่ะส่วนใหญ่จริงไหม หรือแค่ใช้ช่องว่างกับบางเรื่องที่คนจำนวนไม่น้อยไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ หรือแม้แต่ใช้อำนาจปืน เข้าข่มขู่?
ถ้าเอาแต่"ความคิด" ของตัวเองเป็นเกณฑ์ แล้วจะหาจุดร่วมได้ที่ไหน? แล้วเวลาอ้าง"คนส่วนใหญ่" เราใช้การประเมินอย่างเท่าเทียม โดยไม่มีไบแอสหรือการข่มขู่จริงหรือไม่?
ถ้าเราหา consent ร่วมกันไม่ได้ มันก็เลยมีปัญหาไม่รู้จบนี่แหละครับ
ส่วนตัวผมไม่ได้คิดว่าปัญหาจะไม่เป็นปัญหา เพราะมันขึ้นอยู่กับสถานที่ เวลา และสังคมเป็นตัวกำหนด เวลาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามสังคม และสถานที่
จะส่วนใหญ่ หรือส่วนน้อย ที่ความเห็นต่างกันมากแค่ไหน ขอบเขตอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่ได้มองประเด็นเหล่านั้นในสิ่งที่กำลังคุยกันอยู่นี่
ผมเชื่อว่า ทุกอย่างมันก็ต้องเปลี่ยนไปตามสังคม ระหว่างเปลี่ยนผ่านจนสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ เพราะอะไรนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญในการคุยครั้งนี้
ผมแค่จะชี้ว่า ขอบเขตมันอยู่ตรงจุดที่ใครหลายคนก็รู้ แต่หลายคนแค่อ้างเรื่องอื่นเข้ามาเกียว ทั้งที่รู้ว่ามันมีขอบเขตเหล่านั้นอยู่ในใจอยู่แล้ว
การจะขอให้เปลี่ยนแปลง หรืออะไร มันสิทธิ์ของทุกคนอยู่แล้ว ตราบใดที่เราเป็นประชาธิปไตย แต่การอ้างเรื่องที่รู้อยู่ในใจ และบอกว่าไม่รู้ มันเป็นประเด็นที่ผมคิดนี่แหละครับ ว่ามันไม่ใช่ แต่ก็นะ มันปกติแหละ คนเราก็จะมีการอ้างเรื่องต่าง ๆ มาเสริมให้ตัวเองเป็นเรื่องปกติ แม้แต่ผม เพียงแต่ผมคิดว่า คุยตรงไปตรงมา แล้วมองบริบทของสังคมว่า มันถึงเวลาหรือยังที่จะเปลี่ยนไปตามเรื่องราวที่ฝ่ายร้องขอให้เปลี่ยนบอก
อีกอย่างผมก็บอกว่า เรื่องพวกนี้มันเป็นเกม บางครั้งก็ทำเพื่อโยนหินเช็คความคิดของสังคม หรือสร้างแรงกระเพื่อมเพื่อรอการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในวันข้างหน้า
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
ก็ที่คุณคิดว่ารู้ มันไม่ได้เป็น"สามัญ" หรือ common ที่ทุกคนยอมรับไงครับ
ผมยกตัวอย่างแบบสุดโต่ง ว่าแค่เห็นคคห.คุณ ผมก็คะยันคะเยอ ผมจะฟ้องร้องให้คุณเข้าคุก เพราะผมคิดว่าคุณ"ละเมิด"ผมได้ไหม?
ขอบเขตในใจ เป็นสิ่งที่ถูก"ปลูกฝัง"มา หรือว่าเกิดจากการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลกันแนแ่?
เหมือนจะไม่เข้าใจประเด็นผมนะครับ
ผมหมายถึง ขอบเขตมันมี และเป็นสิ่งที่สังคมสร้างขึ้นมาเองในแต่ละสังคม ถูกผิด ผมไม่ได้พูดถึง เหมาะสมหรือไม่ผมไม่ได้บอก
คุณกำลังบอกว่า ปลูกฝัง เหมาะไหม ผมไม่ได้ตอบเรื่องนั้น ผมแค่บอกว่า ตอนนี้มันเป็นแบบนี้
เหมือน บ้าน ก. กับบ้าน ข. มีพื้นที่ดินติดกัน แต่ไม่ปักรั่วเพราะสนิทกัน ต่างรู้ว่าขอบเขตบ้านอยู่ตรงไหน ก. ข. คุยกันว่า ให้ ก.ทำไร่ ขุดบ่อปลากินพื้นที่ ข. ได้เพราะมีความเหมาะสมตามนั้น แต่ทั้งคู่ต่างรับรู้ว่า ขอบเขตแท้จริงอยู่ตรงไหน ตามความเข้าใจของสังคมของคนในแต่ละบ้าน
เวลาเปลี่ยนไปหลายรุ่นอายุคน บ้านนาย ข. สมมุติว่า เหลือยายแก่คนเดียว แต่บ้าน ก. มีลูกหลานอยู่เต็มไปหมด และยังคงทำกินบนพื้นที่บ้าน ข. อยู่ในตำแหน่งเดิม ทุกฝ่าย ทุกคน บ้านหลังอื่นในหมู่บ้านนั้น เริ่มเข้าใจว่าเปลี่ยนไป มองว่าบ้านนาย ก. นั้นรวมถึงไร่ที่เคยทำกินบนพื้นที่นาย ข. ด้วย ซึ่งเอาจริง ๆ มันก็ไม่ใช่ ขอบเขตมันมีอยู่ แต่มันเปลี่ยนแปลงได้ เพราะ ณ เวลานั้น บ้านนาย ก. นาย ค. จนถึง ฮ. ต่างคิดว่า มันเหมาะสมที่ นาย ก. จะมีสิทธิ์บนพื้นที่ทำกินของนาย ข. ที่ละทิ้งไว้นานแล้ว (ผมไม่ได้พูดถึงว่า ถูกต้องไม่ถูกต้อง แต่ผมบอกว่า สังคมตอนนั้น มันเป็นแบบนั้น คุณจะพอใจหรือไม่ที่บางเผ่าเขาถุยน้ำลายใส่กันเพื่อการให้เกียรติ ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะสังคมนั้นเป็นแบบนั้น ขอบเขตแบบนั้น) เช่นกัน ผมก็มองว่า ขอบเขตตอนนี้ ปัจจุบัน มันเป็นแบบนี้ ทุกคนรับรู้ ส่วนจะถูกจะผิดนั้นไปตัดสินกันเอง จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ ไปทำกันเอง ไม่ใช่ประเด็นที่ผมพูดเลยแม้แต่น้อยยยยยยยยยยยยยยยยยย
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
ก็ที่ผมพูดนี่แหละตรงประเด็นที่สุดแล้ว
คุณคิดว่าสังคมสร้าง ขอบเขต
ผมก็ถามกลับแล้วขอบเขตในใจของแต่ละคนมันเท่ากันจริงๆน่ะหรือ? ไม่ใช่ว่าคุณฯคิดเองเออเองว่าขอบเขตอยู่ตรงนี้อยู่คนเดียว แล้วบังคับให้คนอื่นคิดเหมือนคุณ?
คุณยกตัวอย่างที่ดินเพราะมันง่ายที่จะชี้วัด แต่ขอบเขตที่เราพูดกันนี่ชี้วัดยังไง อย่าบอกให้ ศาล เป็นคนตัดสินนะ...
กฎหมาย ต้องเกิดจาก consent ครับ การยอมรับร่วมกัน
น่าเสียดายที่บ้านเมืองเราปกครองด้วยรัฐธรรมนูญจากเผด็จการทหารมามากกว่ารธน.ที่มาจากประชาธิปไตย
ผมไม่คิดว่า กฎหมายเกิดขึ้นจากการยอมรับร่วมกันหรอกครับ มันมาจากตัวแทน ที่บางคนในสังคมก็ไม่ได้เห็นด้วย และมันเป็นเรื่องปกติ
ปกครองด้วยรัฐธรรมนูญจากเผด็จการ หรือประชาธิปไตย มันก็เป็นไป และเปลี่ยนแปลงไป
ส่งที่ผมจะบอก ไม่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ซะทีเดียว ผมแค่บอกว่า ทุกคนต่างรู้เรื่องพวกนี้ ทั้งสิ่งที่คุณพยายามพูดก็เช่นกัน ทุกคนต่างรู้ แต่เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงมัน หรือยินดียอมรับ หรืออยู่เฉย ๆ
แต่ขอบเขตเหล่านั้น คนส่วนใหญ่พอรู้ว่ามีอยู่ ไม่ว่ามันจะมองเห็นได้ง่าย ชัดเจนหรือไม่ ไม่ว่ามันจะมาจากการปกครองรูปแบบไหน ไม่ว่าจะเท่ากันหรือไม่เท่ากัน
สิ่งที่ผมบอกคือนั้นแหละครับ คนส่วนใหญ่รู้ว่ามันมีขอบเขต นั้นคือเรื่องหลักที่ผมพยายามจะบอก อืม จริง ๆ ผมก็พูดซ้ำในประเด็นที่อยากจะบอกแล้วว่าผมหมายถึงจุดไหน และยกตัวอย่างเพิ่มเติมเรื่อย ๆ ตอนนี้ผมคิดว่า คุณยังไม่เข้าใจประเด็นของผมมั้งนะครับ ผมไม่แน่ใจ แต่คิดว่า อธิบายไว้เยอะแล้ว คงจะไม่อธิบายว่าตนเองพูดหมายถึงเรื่องอะไรกันแน่อีกแล้วละครับ
ขอบคุณครับ
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
ขอบเขตนี่ผมว่ามันเป็นนามธรรมมาก ขึ้นอยู่กับว่า คนที่นิยาม ขอบเขต นั้นๆมีชุดความคิดอะไร คนสองคน คงมีขอบเขตไม่เหมือนกัน
ถ้าพูดถึงขอบเขตของข่าวนั้นนี่ผมไม่เรียกว่าขอบเขตนะ เรียกว่าตามใจฉันดีกว่า
จริงครับ ต้องเข้าใจและยอมรับกันว่าในโลกนี้แต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน ถึงแม้เราจะพยายามโน้มน้าวยังไง แต่ยังไงมันก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี ถ้ายอมรับจุดนี้ได้ มันก็ไม่มีคนทะเลาะกันหนักแบบนี้
แต่ก็มีพวกที่ชอบเสี้ยมให้คนไม่ยอมรับความจริงนี้ ให้ทะเลาะกัน เพื่อสนองความสะใจตัวเองที่อยากเห็นคนอื่นถูกทำลาย โลกถูกทำลาย เช่นพกวนักการเมือง (ทั้งท้องถิ่นและระดับประเทศ) พวกผู้ศาสนากับลักทธิต่างๆ แล้วก็เนตไอดอล
จริงๆ ผมมองว่าเมื่อทำสำเร็จแล้วเค้ารู้สึกได้รับความสนใจ ได้รับความสำคัญ ได้ยกระดับตัวเองขึ้นนะครับ ถึงได้ใช้คำว่า "โหน"
แล้วโหนกันหนักมาก โหนกันเหมือนแข่งกันว่าใครแสดงออกได้แรงกว่าจะชนะยังไงยังงั้น
เห็นด้วยครับ คือตอนนี้มันแรงมาก ๆ เลย
เห็นต่างจากฝั่ง นิยมประชาธิปไตย ในบางส่วน( ในรูปแบบการแสดงเหตุผล พร้อมยกตัวอย่างที่แน่ชัด )
โดนรุมด่าจนไม่อยากลับไปอ่าน comment ต่อเลย
คือ ไม่ใช่แค่ฝั่งใดที่ ไม่ยอมรับ ความเห็นต่างของคนอื่นแต่เป็นทุกฝั่งเลยต่างหาก ที่ไม่ยอมรับ ความเห็นที่แตกต่าง
อาจจะเป็น ค่า default จากโรงงานของคนไทยหรือเปล่าก็ไม่รู้ (ノωヽ)
จริงๆ คือเราจะถูกฝ่ายที่เราเห็นต่างถีบไปไว้ฝ่ายตรงข้ามครับ การแบ่งฝ่ายไม่ได้จำแนกว่าใครเป็นใคร มีกี่ฝ่าย แต่แบ่งเป็นแค่ ฝ่ายเรา กับไม่ใช่ฝ่ายเรา
ดังนั้นการเป็นกลางหรือกระทั่งการอยู่เฉยๆ ไม่ยอมไปร่วมกับเขาก็ทำให้ถูกถีบไปถึงว่าอยู่ฝ่ายคอมมิวนิสต์และฝ่ายล้มเจ้าได้ครับ และในแง่เดียวกันก็จะถูกอีกฝ่ายถีบไปว่าอยู่ฝ่าย เอ้อ ผมเรียกฝั่งนี้ว่าฝ่ายอะไรดี สลิ่มและรักรัฐประหาร?
ฝั่งที่ยอมรับความเห็นต่างก็มีไม่น้อยหรอกครับ แค่โดนกลบหมดและไม่ได้มี "ฝ่าย" อย่างเป็นตัวตนในสายตาคนทั่วไปเพราะโดนถีบเข้าฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ไปหมดแล้ว
ฝ่ายเซริซาวะครับ
ไม่รู้จักครับ ?
ศ.ใน Godzilla น่ะครับ
ขอบคุณครับ
ฝั่งที่ยอมรับความเห็นต่างก็มีไม่น้อยหรอกครับ
ผมว่ามองเป็นฝั่งค่อนข้างลำบากนะครับเพราะการยอมรับความเห็นต่าง จะมีในเฉพาะ บาง บุคคล ของทุกฝ่าย
การเป็นกลาง ไม่จำเป็นต้องชื่นชอบ ประชาธิปไตย
แต่การมองไปที่ ความสามารถในการบริหารโดยไม่สนใจว่าจะเป็น ประชาธิปไตยหรือไม่
ก็โดนเตะเข้าฝั่ง ชื่นชอบ รัฐประหารแล้ว
ตามนั้นครับ
เสริมตรงนี้ไว้นิดนึง การมองอย่างเท่าเทียมกันระหว่างสองฝั่ง อาจจะไม่ใช่ชื่นชอบแต่ก็คือการ "ยอมรับ" อย่างนึงนะครับ
หลังจากมีข่าวนี้ออกมาผมเห็นมากกับคนที่บอกว่า ไม่ยอมรับความเห็นต่าง อธิบายให้อ่านหน่อยว่าภาพทุกภาพที่แชร์กันส่วนไหนบ้างที่คือการเห็นต่าง "ผมยกตัวอย่าง ผมเอารูปเพื่อนมาถือไว้แล้วชี้นิ้วไปพร้อมทำหน้าไม่พอใจ วันต่อมาเพื่อนมาต่อยหน้า มันบอกไม่พอใจ" จุดไหนคือความเห็นต่าง แล้วทำไมเพื่อนต้องมาต่อยเพราะเห็นต่าง ทุกวันนี้ผมแทบจะไม่เข้าใจคำว่า เห็นต่าง เลย ผมเห็นคนเห็นต่างจากพรรคดังติกกระแส โดนด่าจนต้องปิดคอมเม้น ดาราหลายคน อันนี้คืออะไร
อ่านแล้วผมค่อนข้างงงๆ อยู่นะครับ ?
แค่ว่าคิดไม่เหมือนกันก็พอครับ ส่วนยอมรับความเห็นต่างก็ไม่ใช่ว่ารับได้หมดนะครับ คือต้องยอมรับก่อนว่ามีความคิดแบบอื่นอยู่ ถ้าเป็นเรื่องสำคัญต้องตัดสินก็ต้องให้โอกาสนำเสนออย่างเท่าเทียมกันแล้วดูเหตุผลกัน ถูกผิดก็ว่ากันไป ไม่ใช่ คิดไม่เหมือนปุ๊บอีกฝ่ายผิดเพราะฉันจะต้องเป็นฝ่ายถูก ผิดจากนี้ไปไม่ได้ท่าเดียวเลย
อันนี้ขยายความที่ งง ตกลงแล้วคำว่า "เห็นต่าง" ขอบเขตของความหมายไปถึงไหนผมถึงอยากให้อธิบายจะได้เข้าใจ ว่า การกระทำหรือคำพูด ผมแลบลิ้นใส่คุณคุณต่อยผม คุณบอกไม่ชอบคนเห็นต่างหรือคุณบอกน้ำเป็นของเหลวแต่ผมบอกน้ำเป็นของแข็งคุณต่อยผม คุณบอกไม่ชอบคนเห็นต่าง ตกลงแล้วแบบไหนคือ "เห็นต่าง"
ผมว่าคุณตีความไปไกลละ เห็นต่างไม่ใช่ว่าห้ามคิดไม่เหมือนกัน แต่คิดไม่เหมือนกันโดยยังคงสิทธิเสรีภาพของทั้งสองฝ่ายสิครับ คุณแลบลิ้นใส่ผม ผมทำได้เต็มที่คือยื่นฟ้องหมิ่นประมาท (ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าศาลจะรับเรื่อง) แต่ผมไปต่อยคุณเนี่ยมันละเมิดสิทธิ์ชัดๆ ผมบอกน้ำเป็นของเหลวคุณบอกเป็นของแข็ง ถ้าถกเถียงกันไม่จบก็หาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มายืนยันกัน ถ้ายังไม่เชื่ออีกก็ทำอะไรไม่ได้แล้วก็ต้องยอมรับว่าคุณก็ยืนยันความคิดของคุณไป
ถ้าให้ผมยกตัวอย่างเรื่องการเมืองก็สมมุติผมเชียร์อนาคตใหม่ แต่เพื่อนผมเชียร์ประชารัฐ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรผมก็ไม่ไปด่าเพื่อนไปดูถูกเค้า แม้ผมจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ยอมรับเหตุผลที่เค้าเอามาสนับสนุนแค่นั้นเองครับ
เรื่องแลบลิ้นเรื่องต่อยผมยังคงไม่เข้าใจว่าเทียบกับเรื่องที่คุยกันอยู่ได้ยังไงครับ
ส่วนเรื่องน้ำ ถ้าเห็นต่างกันเอาข้อมูลมาแลกกันครับว่าทำไมถึงเป็นของเหลวทำไมถึงเป็นของแข็ง จะเชื่อไม่เชื่อยอมรับหรือไม่ยอมรับกันก็อีกเรื่องนึง แต่ถ้าไม่พอใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมรับแล้วต่อยเพื่อให้ยอมรับกันคือยอมรับความเห็นที่ต่างออกไปไม่ได้
ยอมรับความเห็นต่าง ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยครับ และถึงแม้ไม่เห็นด้วยก็ไม่มีสิทธิไปทำร้ายร่างกาย
คุณอย่าเอาเรื่องเห็นต่างมารวมกับการคุกคามครับ
อนึ่ง เห็นต่างเป็นคนละเรื่องกับกวนโมโหครับ และถึงจะถูกกวนโมโหก็ไม่มีสิทธิไปทำร้ายร่างกายกัน
และถึงแม้กฎหมายจะไม่ให้สิทธิทำร้ายร่างกาย แต่คนที่โมโหเลือดขึ้นหน้าจะทำอะไรก็บอกไม่ได้ครับ คนเราควบคุมตัวเองได้ไม่เท่ากัน สติมาตอนเดินเข้าคุกก็เยอะ
ที่คุณงงเพราะคุณเอาเรื่องเห็นต่าง เห็นด้วย และการทำร้ายร่างกายมารวมกัน แยกประเด็นออกจากกันครับ
ปล. เห็นต่างยังไงก็ควรอยู่บน fact ครับ ถ้าเอา opinion มาคุยกัน โดยเฉพาะแบบสุดโต่ง คุยให้ตายก็ทะเลาะกัน
ถ้าในตัวอย่างเพื่อนคุณอาจจะเห็นว่าเค้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องทำท่าไม่พอใจกันด้วย การตอบโต้ด้วยการมาต่อยโดยไม่คิดจะหาเหตุผลว่าเพราะอะไร คิดแต่ว่าฉันก็ทำถูกมาเสมอหนิ ถ้าไม่ชอบฉันมันต้องโดนต่อยแบบนี้น่าจะเรียกว่าไม่ยอมรับความเห็นต่าง สรุปคือพื้นฐานของการไม่ยอมรับความเห็นต่างคงเป็นความคิดที่ว่าตัวเองถูกเสมอมั้งครับ
จบครับแยกย้ายไม่มีใครเข้าใจครับว่าผมต้องการเข้าใจว่าอะไรคือ เห็นต่าง ที่ว่ากันมา ที่ยกตัวอย่างคือให้พอเข้าใจเฉย ๆ ผมก็จะเข้าใจต่อไปว่าการที่รูปคุณช่อที่แชร์ ๆ กันมานั้นคือการกระทำล้อเรียนไม่ใช่ความเห็นต่างอย่างที่ว่ากัน มีคุณ TNkyo พิมพ์เข้าใจมากขึ้น จบแยกฮ่า ๆ
สรุปกลายเป็นไม่มีใครเข้าใจคุณเลยซะงั้น ผมยังพยายามเข้าใจคุณ ว่าคุณไม่เข้าใจอะไรอยู่นะครับ
เอาจริง ๆ ผมก็ไม่เข้าใจครับ
That is the way things are.
ถามใหม่ละกันไม่ขยายที่หัวเม้น งง แล้ว การทำการล้อเรียนคนอื่นหรือการทำท่าทางไม่พอใจอย่างเดียว มันคือการเห็นต่างหรือเปล่า
สามารถใช้เป็นการ "แสดง" การเห็นต่างได้ แต่ควรดูลักษณะด้วยว่ามากน้อยขนาดไหน
การ์ตูนล้อเลียนไม่ว่าจะเป็นล้อเลียนการเมือง ล้อเลียนศาสนา เสียดสี แซะ มีมานานพอๆ กับที่เริ่มมีสิ่งพิมพ์ครับ
การแสดงท่าไม่พอใจก็เป็นการเห็นต่างได้ ตราบใดที่ไม่คุกคามอีกฝ่าย เช่น ผมทำหน้าหงุดหงิด เบ้หน้า เหยเก กรอกตามองบน แต่ผมไม่อยากพูด ไม่อยากเถียง เพราะไม่อยากให้ทะเลาะกัน แต่แค่มองก็เข้าใจได้ว่าไม่เห็นด้วย
การเสียดสี การล้อเลียน (ล้อเลียนสะกดแบบนี้นะครับ) การแสดงท่าทางไม่พอใจ ก็เป็นการแสดงออก และเป็นการสื่อสารอย่างนึง แต่ผมมองว่ามันเป็นวิธีการสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพ คนรับสาส์นอาจตีความไม่ถูกต้อง ผมมองว่าควรฝึกพูดให้ตรงประเด็นเพื่อสื่อสารความคิดมากกว่า
ผมมองว่าการล้อเลียนเป็นการแสดงความเห็นต่างที่มุ่งให้อีกฝ่ายเกิดความโมโห ไม่พอใจมากกว่า
เห็นต่างมันย่อมาจากความเห็นแตกต่างอ่ะครับ แล้วมันไม่ใช่ logic ที่จะมาตีเป๊ะๆ ว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ อีกอย่างคือมนุษย์ไม่ได้สื่อสารกันด้วยปากอย่างเดียวนะครับ คนใบ้พูดไม่ได้ จะแสดงออกทางสีหน้า หรือท่าทางอย่างเดียวก็ไม่แปลก
ช่อพรรณิภาผมรู้มานานแล้วว่ามีแนวคิดแบบนี้ ผมติดตามเธอมานาน สมัยก่อนนี่แต่ละโพสโครตเสี่ยง ท้าทาย นี่ยังไม่รวมคอมเม้นที่ไปเม้นในเพจและกลุ่มต่างๆโหดกว่านี้แปลกใจอยู่ทำไมก่อนมาลงเล่นการเมือง เธอไม่ลบเฟสนี้ซะ ถึงจะปิดส่วนตัวแต่คอมเม้นที่เธอไปเม้นตามเพจและกลุ่มต่างๆก็จะตามมาหลอกหลอนอยู่ดี ถ้าเค้าขุดพบ
ว่าแต่ที่เค้าว่า ช่อ เป็นขั้นกว่าของ ดอก นี่จริงไหมครับ?
ผมไม่ค่อยใช้คำพวกนี้เลยไม่ค่อยรู้ 555
ผมอ่านแล้วรู้สึกเสียใจครับ
มันไม่เคยเป็นคำด่ามาก่อนจนมีสส.ท่านหนึ่งเอาคำนี้มาใช้แล้วอ้างว่าเป็นคำด่าท้องถิ่น
https://pantip.com/topic/32247782
จากกระทู้นี้ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นคำด่ามาก่อนหน้านี้นะครับ แต่อาจจะไม่ใช่ภาษาถิ่นอาจจะเป็นคำเฉพาะกลุ่มเฉพาะช่วงเวลามากกว่า อารมณ์ประมาณภาษาถิ่นวัยรุ่นสมัยนึง อย่างเช่นจ๊าบ หรือเปิ๊ดสะก๊าด
มันน่าจะเป็นคำด่าแบบเฉพาะกลุ่มมากๆครับ แต่มาอ้างภาษาท้องถิ่นราชบุรีหรือไปบิดเบือนว่าแปลว่าคนไม่ทำในระเบียบ อันนี้ไม่ใช่แน่ๆ
อิช่อ อันนี้ผมเคยได้ยินจากที่ไหนสักที่แต่จะไปในทาง ประมาณ ช่อราชบังหลวง อะไรทำนองนั้น
เพิ่งรู้ว่ามีไปในทางขั้นกว่าของ ดอก ด้วย O_O!!
อันนั้น "ฉ้อ" ครับ
อ้าวเหรอครับ
เออแฮะ จริงด้วย >> ฉ้อราษฎร์บังหลวง
ได้ยินคำว่า ขี้ฉ้อ รึปล่าวครับ เพราะคนใต้จะเรียกคนที่ขี้โกงว่าขี้ฉ้อ
เป็นไปตามกรรม
มันก็ขุด ก็ล่าแม่มด กันทั้ง 2 ฝ่ายนั่นล่ะครับ
อยู่ที่ว่า ท่านชอบคนๆนั้น หรือเปล่า
ถ้าชอบก็จะขุดไปกับเขา ถ้าไม่ชอบก็จะบาดตานิดนึง
Totally agree
เบื่อนะ เรื่องคนดังโดนขุดอะไรแบบนี้เพื่อโจมตีหรือทำลายชื่อเสียงคนอื่น โดยไม่สนอะไรเลยตอนทำอะไรเขาไม่ได้ อย่างกับเด็กขี้แพ้ชวนตีชะมัด ถึงชนะก็ได้แค่สะใจแต่จะเสียใจในภายหลังหรือย้อนกลับมาทำลายตัวเองแทน
แต่ถ้าคนที่โดนขุดนั้นเคยมีปัญหาร้ายแรง มีความผิด หรือทำอะไรไม่ดีจริงๆ ตั้งแต่แรก ก็อาจคิดอีกอย่างไปเลย
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
เรื่องล่าแม่มดตอนนี้ทำกันเป็นขบวนการครับ สังเกตดูได้ มีรับมีส่ง มีคนเจาะคนขุดคนแซะ แล้วเดี๋ยวพอเล่นตัวหลักพรรคนี้หมด ก็มาดูว่ามีใครอีกบ้างที่กล้าท้าทายอำนาจ ไม่ผิดก็โดนยัดให้ผิดหมดล่ะครับ
เรื่องการเมืองสกปรกแบบนี้ต้องยกให้ฝั่งนั้น
พูดเท่านี้ดีกว่าเพราะไม่ใช่เพจข่าวการเมือง เดี๋ยวลากประเด็นไปวุ่นวายอีก
มีวิธีลบ account ตัวเองของ blognone ไหม
ต้องย้อนกลับไปดู post เก่าๆ ของ blognone บ้างละ
การแสดงท่าทางที่ดูแล้ว ไม่รัก ใครสักคนหนึ่งสำหรับประเทศนี้ ถือเป็นสิ่งที่ผิดด้วยเหรอ นึกว่าเป็นสิทธิของผู้นั้นเสียอีก
มีประเทศหรือบุคคลอื่นใดในโลกนี้อีกมั้ย ที่ห้ามแสดงท่าทาง ไม่รักออกมา แปลกดี
ความผิดจากกฎหมายมีสองแบบ ผิดเพราะว่าเป็นสิ่งที่ผิดอยู่แล้ว เช่น ความผิดจากคดีอาญาส่วนมาก ลัก ฆ่า ชิง ปล้น
กับความผิดเพราะกฎหมายบอกว่าผิด
กฎหมายมีการบังคับใช้ และมีบทลงโทษตรงไปตรงมา
กฎหมายบางตัวก็มีการบอกว่าสิ่งใดผิด รวมถึงมีการบังคับใช้ และมีบทลงโทษตรงไปตรงมา ... มากกว่ากฎหมายตัวอื่น
(ดัดแปลงมาจากบางช่วงของหนังสือที่ลุงของผมแนะนำให้คนอื่นได้อ่านครับ)
สำหรับตัวผมมองว่าไม่ผิดนะ จะรักใคร ชอบใคร เกลียดใคร สิทธิ์ของเค้าเลย ขอแค่ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็พอ
แต่สำหรับคนอื่นจากในข่าวช่วงนี้ ถ้าไม่รักใครซักคน ถือว่าผิดเพราะเขาอยากบังคับให้ทุกคนรักเหมือนเขามั้งครับ และชอบอ้างเรื่องผลงานเก่าๆที่ผ่านมา แต่ก็นั่นล่ะครับก็เป็นกลุ่มเดิมที่คอยฉุดประเทศให้ล้าหลัง โดยไม่คิดถึงวันข้างหน้าเลย เช่น ถ้าลูกหลานเหลนเกิดมา แล้วถาม ตอนนั้นตอนพ่อแม่อายุ 25-30 ประเทศเป็นไงบ้าง เจริญแค่ไหน ตอนนั้นก็เป็นประเทศกำลังพัฒนานะ ได้ยินคำนี้ลูกจะอึ้งมั้ยถ้าไปศึกษาประวัติศาสตร์ ไทยจากต่างประเทศ ว่าประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนามาเกือบ 150 ปี(นับอายุคนเฉลี่ย 70 ปี หรือ 2 อายุคนคือ พ่อแม่ของเรา และเราที่เป็นพ่อแม่คน)
ไม่รัก ไม่ชอบใคร ไม่มีใครว่าครับ แต่ไม่ใช่เที่ยวพูดป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ เพราะบางคนก็ไม่ชอบที่จะฟัง และไม่ใช่เอาความไม่ชอบ ไม่รักของตัวเองเที่ยวไปไล่ทำร้ายคนอื่น หรือที่เลวมากกว่าคือพูดโน้มน้าว สั่งให้คนอื่นไปทำร้ายคนหรือส่งที่เราไม่ชอบแทน
มันก็มีให้เห็นในประวัติศาสตร์นะ ที่รู้จักกันมากสุดคือ ฮิตเลอร์ ของเยอรมันที่ตัวเองไม่ชอบชาวยิว ไม่ชอบนักการเมืองของเยอรมันที่ยอมทำตามที่ประเทศที่ชนะสงคราม ก็เอาความไม่รัก ไม่ชอบเหล่านี้เที่ยวไล่ฆ่าคนอื่นที่เป็นยิว ที่ตัวเองไม่ชอบ ที่เห็นต่างจากตัวเอง
ผมไม่เคยเห็นคนกลุ่มแรกไป ทำร้ายคนกลุ่มหลังนะครับ
แต่คนกลุ่มหลังไป ทำร้ายคนกลุ่มแรกนี่เห็นบ่อยๆ แม้บางคนจะไม่ใช่คนกลุ่มแรก แต่ก็โดนคนกลุ่มหลังชี้ว่าเป็นคนกลุ่มแรกไปซะงั้น เช่นโรงหนัง
ช่วยยกตัวอย่างกรณีคนกลุ่มแรกไปทำร้ายคนกลุ่มหลังหน่อยครับว่าทำยังไง ทำร้ายเรื่องอะไร
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
+1000 ผมประสบการณ์ตรงโดนล่าแม่มด เพราะวันนั้นเสื้อสีดำหมดไม่มีใส่ และไม่ได้คิดว่าจำเป็นต้องซื้อเพื่อใส่ให้ครบทุกวัน แต่ต้องออกไปธุระ ดันโดนไล่กลับบ้านไป ไม่ให้เดินผ่านทางซะงั้น ฉะนั้นถามหน่อยคนกลุ่มที่คุณว่าจะไปทำร้ายหรือว่าถูกทำร้าย ถูกริดรอนสิทธิ์กันแน่
“คำพูด” ที่กระทบต่อความรู้สึกนี่นับเป็นการ “ทำร้าย” ด้วยหรือเปล่าครับ?บางทีการมองอะไรตื้นๆ ก็ทำให้เราขาดความเข้าใจถึงต้นตอของปัญหาที่แท้จริงนะครับ
ตลกครับ คำพูดที่กระทบความรู้สึกเรียกว่าทำร้าย ทำร้ายยังไงครับ? คำพูดแบบไหน? แค่เค้าว่าไม่รักก็เจ็บแล้วแบบนั้น?
แล้วที่คนบางกลุ่มโดนไล่ออกนอกประเทศนี่เรียกว่าอะไรดีครับ? คุณหน่อมแน้มมองแต่ความต้องการตัวเองมากไปหรือเปล่า
เห็นคุณบอก กลัวอีกฝั่งจะกลายเป็นฮิตเลอร์ทำไมไม่มองกลับกัน ไม่ตักเตือน กลุ่มตัวเองที่กำลังทำตัวเป็นฮิตเลอร์ก่อนหล่ะครับ หรือว่าแค่มันสบายใจสำหรับคุณ คุณเลยปล่อยผ่าน?
+10000000 ใส่ 0 infinite เลยครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
คำพูดถือเป็นการ provoke, abuse อย่างนึงครับ (การนิ่งเฉยก็เป็นความรุนแรงได้ อันนี้หลักสากลครับ ความรุนแรงและการทำร้าย ไม่ได้มีแค่ physical เท่านั้น) กฎหมายมันมีขอบเขตพิจารณาของมันว่าแบบไหนเรียกว่าเป็นการ abuse
แต่ส่วนมากออกแนวความอดทนต่ำ แล้วเผอิญว่ากฎหมายมันสนับสนุนคนที่มีความอดทนต่ำพอดี
ปล. ฝากครับ ไม่จำเป็นต้องใส่ adjective แย่ๆ ให้คู่สนทนาก็ได้ครับ เข้าใจว่าคุณหงุดหงิด (หน่อมแน้ม) ถ้าคุณจำได้ที่คุณ Be1con บอกว่า อย่าโกรธผมนะ ก็เพราะแบบนี้แหละครับ เค้ากลัวโดนใส่ adjective แย่ๆ ให้
ผมเลยอยากรู้หน่ะครับว่าคำพูดประเภทไหนที่ไปทำร้ายคนพวกนั้น จนมองว่าจะมาเป็นฮิตเลอร์ไปได้
ถ้าแค่โดนพูดว่าไม่รักแล้วทำให้คิดได้แบบนั่นเนี่ยมันก็หน่อมแน้มเกินไปครับ แถมยัดภาพฮิตเลอร์ให้คนอื่นมั่วๆซั่วๆอีก ได้ตราหน้าคนอื่นว่าเป็นแบบนั้นแบบนี้แล้วมันน่าจะสบายใจหรือเปล่า
ปล. ผมไม่ได้หงุดหงิดครับ หาคำพูดที่ตรงกับคำว่าหน่อมแน้มกว่าหน่อมแน้ม(innocent+naive)ไม่ได้จริงๆ คำใกล้เคียงคงเป็นกระแดะซึ่งน่าจะแรงไปครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ผมตอบเฉพาะช่วงหงุดหงิดละกันครับ ผมเชื่อว่าคุณไม่ได้หงุดหงิดครับ แต่พอใช้การ label คนอื่นด้วย adjective แล้วมันเหมือนหงุดหงิดน่ะครับ คนเลยเกรงๆ แหยงๆ กัน อันนี้ไม่ใช่ตำหนินะ เหมือนแจ้งให้ทราบมากกว่าครับ
ตัวผมเองไม่มีปัญหากับ adjective แบบนั้น ผมรับได้ครับ แต่มันทำให้การสนทนากร่อย เลยลองแนะนำดู จะได้สนทนากันยาวๆ ไหลลื่น
ไม่ชอบฟังก็เลยตรากฎหมายห้ามพูด เพราะไม่อยากฟัง
แล้วเอาคนที่ทำเลวๆ มาเทียบกับ ม.112 เพื่อหาความชอบธรรม
คุณควรคิดให้เยอะๆ ครับ
การไม่ชอบใครก็ตามไม่ผิดครับ แต่การไล่ฆ่าคนอื่นผิดครับ
ประโยคแรก ลองเปลี่ยนเป็น รัก กับ ชอบ แล้วลองอ่านใหม่ดูครับ
แล้วการไล่ฆ่านี่ ส่วนใหญ่เห็นแต่คนเอาความไม่รักไม่ชอบของคนอื่น ไปไล่จับไล่ปิดปากนะครับ
ส่วนความไม่รักไม่ชอบเทียบกับฮิตเลอร์ไม่ชอบยิวนี่เหมือนเอาปืนเทียบกับอาวุธนิวเคลียร์นะครับ แทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลย
แนะนำตัวนี้ครับ ทีเดียวหมด 159 บาท
https://chrome.google.com/webstore/detail/delete-facebook-posts-pho/aefggpbkeofepfhnjcndhfgmbkhodcdb?_asi=1
ภาพที่ออกข่าวจากการโดนล่าแม่มด คนที่ล่าแม่มดก็กลุ่มเดิมทีี่คอยฉุดประเทศให้ล้าหลัง และปากบอกรักสถาบัน แต่ดันเอาสถาบันมาเป็นเครื่องมือในการล่าแม่มด แถมเคยด่าลูกในไส้ของคิงองค์ก่อนด้วย
ผมเชื่อว่าถ้าติ่งเกาหลีสามารถบังคับใช้กฎหมายห้ามหมิ่นดาราที่ตนชื่นชอบได้ ติ่งเกาหลีก็จะมีความสุข ยินดี หรือเห็นว่ากฎหมายฉบับดังกล่าวมีความชอบธรรม เหมาะสมครับ
แต่ติ่งเกาหลี ไม่เคยด่า ลากจูง บังคับให้ไปรักนิครับ เขาก็รักของเขาไป แต่ถ้าไปด่า ก็ก็โวยวายแน่นอน จริงๆ การไปด่า ไม่ว่าใครก็โวยวายครับ ไม่ใช่แค่ติ่งเกาหลี//มีเพื่อนเป็นติ่ง ไปทุกคอน แต่ไม่เคยบังคับเพื่อนรอบตัว ที่ไม่ได้มีท่าทีฝักไฝ่เกาหลี ให้ไปรักเกาหลีแบบเขาให้ได้เลย
ที่ผมจะสื่อคือ บางคนพูดว่ารักแค่ลมปาก แค่ต้องการอาวุธไว้จัดการใครก็ตามที่ขวางทาง ซึ่งใช้ได้ผลดีด้วยถ้าถามว่า ทำไมคนกลุ่มนี้ยังโหยโหน กันไม่ยอมหยุดตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ง่ายๆ ครับ อาวุธที่ดีมีประสิทธิภาพ ใครจะทิ้งง่ายๆ
จะสื่อประมาณนั้นแหละครับ ขอบคุณที่ช่วยเสริม
ในระบอบคอมมิวนิสท์สมัยก่อน คุณรวยก็ผิด คุณมีการศึกษาสูงก็ผิด
แล้วก็มีคนเห็นด้วยกับกฎหมายดังกล่าว
ผมเรียนรู้ว่ามนุษย์บางจำพวกไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย
มันขึ้นอยู่กับวาทะศิลปและการศึกษา การเรียนรู้ของผู้รับสารแหละครับ ไม่เกี่ยวกับระบอบการปกครองเลย ปัจจุบันนี้ก็มีอยู่ แม้แต่ประชาธิปไตยก็เถอะ
เกี่ยวสิครับ เพราะพวกที่ไม่เรียนรู้นั้นผมรวมคนแบบคุณอยู่ด้วย และผมจัดให้คุณเป็นคนกลุ่มเดียวกับคนที่สนับสนุนกฎหมายให้ฝ่ายปกครองคอมมิวนิสท์ล่า และกำจัดคนรวยและคนมีการศึกษาครับ
กฎหมายออกจากฝ่ายปกครอง และคนอย่างคุณก็สนับสนุนกฎหมายนั้น
ผมถึงบอกว่าผมเรียนรู้ว่าคนบางจำพวกรวมถึงคนแบบคุณไม่เคยเรียนรู้อะไรเลย โดนผมเหน็บเต็มๆ ยังไม่รู้เลยครับ
ขนาดที่คุณบอกเองว่าอยู่ที่การเรียนรู้ของผู้รับสาส์น แต่ดูเหมือนว่าคุณก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย
จริงมั้ยครับ
ผมว่าคนในพรรคนี้ไม่เคยดูช่องโหว่ตัวเองเลย มีเรื่องให้ติได้ตลอด ยิ่งทำก็ยิ่งเข้าทางฝ่ายตรงข้าม
เขาไม่สนความคิดที่ไม่ชอบ และไม่ได้บังคับให้รัก
แต่ที่โดนขุดหนัก คือ การโพสประชดประชัน แซะ ทั้งในเฟสตัวเอง เพจต่างๆอีกหลายเพจ
แบบนี้แหละที่คนเขาไม่ชอบ และโดนล่าอยู่ตอนนี้
การเป็น สส ทำให้คนรักสถาบันได้อย่างรวดเร็ว
โพสอะไรในอดีต มันก็กลับมาทำร้ายปัจจุบันได้ เพราะโดยสำนึกแล้ว คนเราไม่สามารถเปลี่ยนความคิดได้สุดโต่งในเวลาเพียงไม่กี่ปี
เรื่องขุดไม่มีใครกังวลหรอกครับ เรื่องที่มีคนไม่ชอบก็ไม่มีใครกังวล
ไอ้ที่กังวลก็ตรงที่คุณบอกว่าไม่ได้บังคับให้รัก แต่กฎหมายไม่ได้คิดเหมือนคุณครับ และกฎหมายฉบับนี้กักขังก่อน ไต่สวนทีหลัง หรือไม่ไต่สวนเลยก็มี แถมการบังคับใช้ยังเป็นปัญหามากๆ มีการยัดหลักฐานเท็จ มีการไต่สวน และพิจารณาอย่างไม่เป็นธรรม
และอย่างที่บอกว่ากฎหมายนี้ขังก่อนไต่สวน แค่ผมไปแจ้งความตามโพสท์ที่ถูกขุดมา และพนักงานสอบสวนเห็นว่ามีมูลขัดต่อ ม.112 แค่นี้ก็ทำให้คุณช่อก็นอนในคุกแล้วครับ
อันนี้ fact ล้วนๆ ครับ ผมหาให้อ่านได้ ไม่ได้พูดลอยๆ อ่านได้ แชร์ได้ไม่ผิดกฎหมายด้วยครับ
และการที่กฎหมายให้อำนาจที่จะเอาผิดต่อใครก็ตาม ที่ทำให้คนกลุ่มนึงไม่พอใจ คือห้ามพูด ห้ามแสดงออกใดๆ ทั้งสิ้น ... จะเรียกว่าไม่บังคับให้รักคงไม่ได้จริงๆ
แต่หนักกว่านั้น คือยังคับเลยว่าห้ามแสดงออกว่าไม่รัก
ปล. รัก ไม่รัก เฉยๆ เกลียด มันคนละ spectrum กัน คุณแสดงออกได้อย่างเดียว คือ รัก
จริงครับ เพื่อนผมขึ้นศาลทหารด้วย เสียเวลาชีวิตมาก
ที่คุณช่อโพสต์มันไม่ผิดหรือไม่เหมาะสมอะไรเลยนะ ถ้าเจ้าจะล้มเพราะเรื่องแค่นี้ก็หน่อมแน้มเกินไปละ แล้วทีพวกลูกมโนโพสต์ด่าลูกจริงเมื่อไม่เกี่เดือนก่อนนั่นล่ะ? เรียกว่าอะไร?
ผมรู้แค่ตัวผมตอนนี้ กับตัวผมเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มันแทบจะคนละคนกัน คุณวุฆิต่างกันอย่างมาก โดยเฉพาะช่วงเรียนจบใหม่ๆ มันเหมือนผ้าไร้สี (ไม่ใช่สีขาว หรือเทา) มีแต่ความรู้ แต่ยังไม่รู้ว่าอะไรผิดถูกจริงๆ ผมมองว่า 90% ของเด็กจบใหม่เป็นแบบนี้ทั้งนั้นฉะนั้นการขุดข้อผิดพลาดคนอื่นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะช่วงเรียนจบ มันมีเหตุอย่างเดียวคือ กลั้นแกล้งเท่านั้น
และผมขอยกตัวอย่างสถาบันศาสนา ผมมองว่ามันคือเครื่องมือ ที่ใช้ควบคุมกลุ่มคนครับ ใช้ถูกก็มีประโยชน์ ใช้ผิดก็มีโทษ
แต่สิ่งที่ผมเห็นมีคนเอาไปใช้ในทางผิดๆ มากกว่าเช่น ธรรมกาย, สงครามปาเลสไตน์ (ผมเองก็ไม่รู้ละเอียด) รู้แต่จริงๆ มันดำนินมาเกือบพันปีด้วยเหตุผลแค่ต้องการดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์
ฉะนั้้นผมคิดว่าเครื่องมือแบบนี้ไม่มีจะดีกว่า ต่อจากนี้ลองเอาไปคิดต่อดูเอง
ศาสนา ความเชื่อ ลัทธิ เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ทุกคนพึงมีครับ แต่ไม่ควรเอาเรื่องเหล่านี้มาตราเป็นกฎหมายให้เอาผิดคนไม่เชื่อ เอาผิดคนไม่ทำตาม แบบที่เป็นปัญหาเลยคือชารีอะห์ที่เอาคำสอนมาเป็นกฎหมาย เพราะนั่นหมายความว่าคนที่นับถือศาสนาอื่นๆ มีวัตรปฏิบัติที่ไม่เหมือนกับมุสลิมจะมีปัญหาทันที (ผมไม่ได้ว่าศาสนาอิสลาม และไม่ได้ว่ามุสลิม ผมว่าประเทศที่เอาชารีอะห์มาใช้)
อย่างในไทยก็มีปัญหาเรื่องกฎหมายห้ามขายแอลกอฮอล์วันพระที่ส่งผลกระทบต่อคนศาสนาอื่น และรวมถึงคนไม่มีศาสด้วย
ผมยังคิดว่ากฎหมายควรเอาผิดคนที่ใช้ศาสนา ความเชื่อ หรือแม้ประทั่งวัฒนธรรม ประเพณีเก่าแก่มาละเมิดคนอื่นด้วยครับ เช่น แนวๆ ว่าไม่กราบพระ ไม่ถือพุทธ ไม่รักแมว ไม่รักโอปป้าก็ออกจากประเทศไปเลย กฎหมายควรปรามคนพวกนี้ด้วย เพราะมันละเมิดคนอื่น
ปล.พิมพ์ซะยาว คือผมเห็นด้วย แต่ขอเสริมในหลายๆ มุมครับ
ใช่ครับ เวลามองย้อนไปก็เห็น โพสต์โซเชียลที่ครบรอบก็เห็นว่าความคิดเปลี่ยนไปมาก
แต่ผมเลือกที่จะไม่ลบนะ ผมเลือกที่จะเก็บไว้เพื่อแสดงว่าคนเราเปลี่ยนไปได้แค่ไหนและการเปลี่ยนความคิดเรามันเปลี่ยนไปยังไงบ้างได้ยังไง
(นอกเรื่องนิด)
ผมย้อนกลับไปดู Rank SS แรกๆแล้วก็ อืม เรา(ร่วง)มาไกลเหมือนกันนะ lol
? ผมนี่เรียกว่าแทบไม่พัฒนาครับ แต้มห่างจากแรกๆ นิดนึง แรงค์เดิมด้วยซ้ำ
การที่ประเทศเราจะมีคนเก่งคนดีทำงานให้ประเทศเราได้เป็นเรื่องยากมาก คนที่หลุดรอดตัวกรองจริยธรรมทางสังคมมาได้จะมีแต่ skill survival skill stealth หรือไม่ก็ต้องเกิดมามี spacial bloodline ไม่งั้นจะไม่ผ่านการคัดกรอง สุดท้ายก็ไม่ค่อยได้พกความสามารถในการทำงานมากันเท่าไหร่ คือถ้ายังเรื่องมากกันกับเรื่องเหล่านี้ก็จะวนอยู่ในอ่างแบบนี้ต่อไปครับ
ได้แต่หวังว่าสังคมจะคิดเป็นกันมากขึ้น เรียนรู้ประวัติศาสตร์มากขึ้น ใช้ศรัทธาน้อยลงใช้ปัญญาให้มากขึ้น
That is the way things are.
แต่จากสิ่งที่ผมเห็นอยู่ในตอนนี้กับสังคมที่เราอยู่ มันแสดงให้เห็นว่า ส่วนใหญ่ไม่คิดและไม่เคยเรียนรู้จากความผิดพลาดและประวัติศาสตร์ในอดีตเลย หนำซ้ำยังเดินซ้ำรอยอยู่อีกต่างหาก
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
โทษคนในสังคมกลุ่มใหญ่ก็ไม่ได้นะครับหากมีคนที่พยายามทำให้เค้าเป็นแบบนั้น
ผมว่าหวังอะไรแบบนั้นกับสังคมดูท่าจะยากครับ ในสังคมของประเทศพัฒนาก็ยังมีคนเหล่านี้อยู่ ไม่งั้นทรัมพ์ไม่ชนะหรอก
แต่สิ่งที่ประเทศพัฒนาแล้วเค้าไม่ทำกัน ก็คือเอาความเชื่อ ความศรัทธามาตราเป็นกฎหมายเพื่อเอาผิดคนไม่เห็นด้วยอ่ะครับ
เป็นเรื่องที่ละะเอียดอ่อนที่คนไทยแบ่งกลุ่มกัน กลุ่มที่อยู่ตรงกลางก็ไม่มีกลางจริงๆ หาความเป็นกลางระหว่างขนบทำเนียมกับความจริงและความถูกต้อง ยากมาก
เราควรใช้ตรรกะมากกว่าใช้อารมณ์?
เรื่องโพสในโซเชี่ยลนี่น่ากลัวมาก เหมือนอัปโหลดรูปภาพ,ข้อมูลส่วนตัวเราขึ้น"คอมของคนอื่น" ต้องเชื่อใจว่าเขาจะรักษาข้อมูลให้ดีจริงๆ
เห็นต่างได้แต่ด่าพ่อ ล้อแม่ แล้วไม่โดนว่ากลับ นี่มันแปลกนะผมว่า
แต่ปัญหาคือ ไม่ได้มีการด่าพ่อ ล้อแม่ นะสิครับ
คงจะบอกกลับมาว่านับถือเหมือนพ่อแม่อะไรประมาณนั้นแหละครับ
แต่ก่อนสมัยเด็ก รุ่นผมเขาล้อชื่อพ่อแม่กันอยู่เรื่อยเลยนะครับ แต่ก็เรียนโรงเรียนเดียวกันมาจนโตได้ ไม่เห็นเกลียดกัน
That is the way things are.
ด่าพ่อล้อแม่ โทษไม่ได้หนักเท่า 112 ครับ คนส่วนใหญ่ที่โดนประกันตัวไม่ได้ ระยะเวลายืดยาวหลายปี แถมสุดท้ายถึงยกฟ้อง ก็ฟ้องกลับใครไม่ได้ด้วย แม้จะถูกกลั่นแกล้งก็ตาม
เพราะแบบนี้ไงถึงควรยกเลิกกฎหมายตัวนี้ ตัวปั่นป่วนสังคมของแท้ แต่ทำไม่ถึงไม่มีใครยกเลิกได้ ขนาดในหลวงในรัชการที่ 9 ยังไม่เห็นด้วยเลยนะ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ใครรัก ใครไม่รักไม่รู้ แต่การบังคับให้คนที่ไม่ได้รักมารักเนี่ย....เป็นรักที่ไม่ยั่งยืนแน่นอน
ไปด่าพ่อคนอื่น ก็โดนฟ้อง ต่างกันตรงไหน ด่าในใจไม่มีใครรู้ ทำไปสิพาดพิงถึงก็โดนเขาว่า
กรรม มัน คือ ผลของการกระทำ
พ่อคนอื่นฟ้องแล้ว ผู้ถูกฟ้องไม่ได้ติดคุกพร่ำเพรื่อ แถมโทษอย่างมากก็ปรับ ยกเว้นไม่มีเงินก็ติดคุกเอาแทน
ถ้าไม่แม่นกฎหมาย และไม่มีสิทธิมนุษยชนพื้นฐานในหัวใจ แนะนำว่าอ่านเงียบๆ ครับ
ผมกล้าท้าให้คุณยืนบอกว่าไม่รักพ่อของใครก็ได้กลางถนนหรือที่สาธารณะอื่นๆ หรือบอกว่าคุณไม่แคร์วันเกิดของพ่อคุณประยุทธ์ก็ได้ ผมเชื่อว่าตำรวจจะไม่ทำอะไรคุณ จะไม่มีใครแจ้งข้อหาใดๆ ต่อคุณครับ
ผบกระทบต่างกันนะครับ กรณีพ่อคนคนนึง กับพ่อของแผ่นดิน การบอกว่าไม่รักพ่อคนคนนึง ก็กระทบแค่คนรอบตัวพ่อคนนั้น แต่ถ้าพ่อของแผ่นดิน ก็จะกระทบความรู้สึกคนหมู่มาก คนที่มีความยับยั้งชั่งใจก็คงจะแค่แจ้งตำรวจ แต่คนที่ไม่อาจยับยั้งชั่งใจได้ ก็จะใช้ความรุนแรง ผลกระทบก็จะออกไปเป็นแนวกว้าง
อันนี้ลองพูดให้คิดนะครับ คนยุคไทยใหม่ ศาสนาไม่เอา กษัตริย์ไม่เอา กฎหมายก็ไม่เข้มพอ แล้วกรอบอะไรที่จะมาคุมครับ ปล่อยอิสระ ไม่ต้องกลัวอะไร แน่ใจเหรอว่าจะคุมอยู่ Ego ของคนไทยที่พร้อมจะทำตามใจ อยากให้ตรองดูครับ อิสระมันเหมาะกับคนที่มีการยับยั้งชั่งใจดี แต่มองย้อนมาที่คนไทย ตรงจุดไหนที่เป็นจุดที่พอดี ... ขอสักกรอบเถอะ เป็นไม้สุดท้ายกันเหนียว เผื่อกรณีที่ฝ่ายบริหารทำพัง ทหารเอาไม่อยู่ ขอให้มีสถาบันซักสถานบัน ที่จะมาดูแลความสงบ เป็นจุดยับยั้งชั่งใจสุดท้ายของคนไทย อย่าล้ำเส้นนี้เลยครับ
ปล. ผมขอเป็น 1 เสียง สนับสนุนให้มีกฏหมาย มาตรา 112 ครับ และถึงที่สุด หากกรณีที่มีมติให้ยกเลิก ผมก็เคารพการตัดสินใจร่วมกัน ขอบคุณครับ
กฎหมายที่ทุกคนเห็นร่วมกัน(consensus)ไงครับ (ย้ำว่าทุกคนฉะนั้น ต้องยึดโยงจากประชาชน ไม่ใช่ให้ใครประทานมาให้)
ศีลธรรมไม่เคยใช้บังคับสำเร็จเลย โลกอุดมคติ ไม่เคยเกิด ดูยุคศาสนจักรสิ เผาแม่มดไปเท่าไร สังคมสงบสุขขึ้นไหม?
คุณพูดแต่ข้อดีในการบังคับใช้ แต่ไม่พูดข้อเสียเลยล่ะ? ใครที่โดนกลั่นแกล้ง โดนเข้าคุกไปฟรีๆหลายปี ทำอะไรได้ไหม? (ผมตอบเลยว่าไม่ได้ และข้อหานี้ฟ้องกลับใครไม่ได้ด้วย แม้จะโดนกลั่นแกล้งก็ตาม) การที่เขาเปรียบกับการล่าแม่มด เพราะระบบการล่าแม่มดมันถูกพิสูจน์มาเป็นร้อยปีแล้วว่ามันไม่มีประสิทธิภาพ แถมทำลายคนบริสุทธิ์อีกมากโดยไม่ให้ความเป็นธรรม
และเมื่อเริ่มต้นก็ไม่ให้ความเป็นธรรม แล้วจะคิดได้อย่างไรว่า มันจะสงบสุข?
ผมไม่แน่ใจว่าจะมีคนอื่นให้ข้อมูลที่ดีกว่านี้ได้ไหม แต่เท่าที่อยู่มาจนถึงวันนี้ และถามจากคนรุ่นก่อน (เอาเฉพาะที่ผมได้รับรู้) ก็สงบสุขดีนะครับ หรืออาจจะรู้ไม่หมด ยังไงยกตัวอย่างหน่อยก็ดีนะครับ ว่าเวลาที่มี กฏหมาย 112 มันไม่สงบยังไง คดีไหนบ้างที่เห็นว่ามีการกลั่นแกล้ง ศาสนจักรผมเคยอ่าน แต่โดยส่วนตัว ไม่คิดว่ามันเหมือนในประเทศไทยนะครับ
ผมยังไม่ว่างค้นฎีกา หรือคำพิพากษาให้นะครับ แต่มีหลายคดีที่ยกฟ้อง จริงๆใน blognone ก็เคยมาลงบางคดีว่ามีการสร้างหลักฐานเท็จด้วยซ้ำ(คดีที่เกี่ยวกับระบบคอมฯ)
แต่กระบวนการระหว่างดำเนินคดี โดยส่วนใหญ่คือประกันตัวไม่ได้อยู่หลายปีครับ แถมคนฟ้อง มักจะเป็นกลุ่มหรือองค์กรชื่อดัง แต่พอยกฟ้องไม่มีความผิด ก็ไม่สามารถเอาผิดกลับคนที่ฟ้องมั่วๆได้(กฎหมายนี้ไม่มีช่องให้ฟ้องกลับครับ)
กลายเป็นหลายๆคนโดนผลกระทบจากคดีทั้งๆที่ไม่ผิด
คุณคิดว่า"สงบ"เพราะคุณมองแค่"ตัวเอง"ไงครับ
ก็หวังว่าคุณจะ"โชคดี"ตลอดไป ไม่เปลี่ยนใจ หรือบังเอิญไปขัดแข้งขัดขาผู้มีอำนาจ จนโดนฟ้องกับคดีแบบนี้ และเสียเวลาเสียอนาคตไปหลายปี กับกระบวนการดำเนินคดี แม้คุณจะไม่ผิดเลยก็ตาม
เรื่องการรักษา ปกป้อง เคารพประมุขของประเทศ ไม่ว่าประเทศไหนๆก็มีกฎหมายปกป้องครับ แต่กระบวนการ และบทลงโทษเขา โปร่งใส และดูเหมาะสมมากกว่าบ้านเรา
รู้ไหมว่าโทษ 112 ของบ้านเรามันหนักกว่ายุค สมบูรณายาสิทธิราชย์อีกนะครับ มีการเพิ่มโทษจาก 3ปี เป็น 7 ปี และ 15ปี ตามลำดับเหตุการณ์รปห.ทั้งสองครั้ง(ปี 2500/2519) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูทางการเมืองในยุคนั้นๆเป็นหลักเลย คุณจะบอกว่าบทลงโทษมันสมเหตุสมผล เพราะคณะรัฐประหารยุคนั้นบอกว่าดี?
ย้ำว่าบทลงโทษ 112 เทียบเท่าการฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาครับ แถมรุนแรงกว่า คือไม่มีเหตุให้ยกเว้นหรือลดโทษเหมือนคดีฆ่าคนตาย(ฆ่าคนตายยังมีรอลงอาญาฯครับ แต่112 ไม่มีครับ)
แถมอีกนิด อย่าให้บ้านเราไปถึงขั้นเหมือนสมัย red guard ของเหมาฯเลยครับhttps://mgronline.com/china/detail/9560000102228
ยุคนั้น ลูก แจ้งจับพ่อแม่ตัวเองเพราะไม่เคารพเหมาฯ แล้วจับประหารกลางตลาด...
ของบ้านเราจริงๆก็ใกล้แล้ว เคยมีข่าว พี่ชายแท้ๆแจ้งจับ 112 กับน้องชายตัวเอง กับ อาจารย์แจ้งจับลูกศิษย์ตัวเองครับ สองคดีนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ลองค้นดูได้
ผมหลับตาแล้วพยายามคิดโปรไฟล์ของคุณนะครับ น่าจะไปอยู่ต่างแดนมานาน หรือยังอยู่ต่างแดน? ถึงไม่ได้เห็นความต่างของสิ่งที่คุณยกมา กับสิ่งผมพบเจอจริงในประเทศนี้ตอนนี้
ผมคิดว่า น่าจะเป็นเพราะจุดที่เรารับรู้ และดำรงอยู่ในสังคมมันอาจจะไม่เหมือนกัน ผมไม่ได้ว่าสิ่งที่คุณคิดมันผิดนะครับ คนเราชอบแตกต่างกันได้ แต่อยากให้ลองมอง ว่าสถาบันกษัตริย์ประเทศเรา มันเป็นแนวอย่างที่ว่าหรือเปล่า ยิ่งถ้าโยงไปถึง Red guard สมัยประธานเหมา เจ๋อตุง นี่ผมตกใจนะ สถาบันกษัตริย์เราเหมือนสมัยประธานเหมาเหรอครับ
ที่ผมเคารพรัก เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ ก็เพราะพระราชจริยวัตร และพระราชกรณียกิจที่ได้ทรงกระทำเพื่อประชาชนของพระองค์ และหากคุณจะเห็นต่าง กระหายใคร่การเปลี่ยนแปลง และ ส่งผลให้เกิดความไม่สงบในประเทศไทยที่เคารพสถาบันกษัตริย์ด้วยหัวใจแล้วไซร้ การยุติ เพื่อให้เกิดความสงบ คงต้องดำรงไว้ ซึ่งกฎหมาย มาตรา 112 ครับ
ปล. และย้ำอีกครั้ง ถึงที่สุดแล้ว หากกรณีที่มีมติให้ยกเลิก กฏหมาย มาตรา 112 ผมก็เคารพการตัดสินใจร่วมกัน ขอบคุณครับ
What?
คุยเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่าครับ?
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
เค้าอยากพูดอะไรก็ได้ครับ ส่วนคุณๆ ผมๆ ต่อให้ความจริงเป็นยังไงก็พูดอะไรไม่ได้
นั่นสิครับ
ประเทศที่ไม่ได้มีอะไรแบบมาตรา 112 ก็ไม่เห็นสถาบันกษัตริย์จะล่มสลายนะครับ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ น่าสนใจครับ น่าลองวิเคราะห์ เรื่องความรับผิดชอบต่อหน้าที่พลเมือง การบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงการมีระเบียบวินัยของประชากรส่วนใหญ่ในประเทศเหล่านั้นนะครับ เปรียบเทียบลงรายละเอียดกับประเทศเราดู ถ้านำมาปรับใช้ได้ กฎหมาย มาตรา 112 น่าจะลดบทบาทลงได้
สิ่งที่ผมพูดคือ fact อีกด้านของม.112 ที่หลายคนไม่อยากฟังไงครับ
เรื่องดีๆไม่เถียงครับ แต่ก็มีคนใช้ประโยชน์จากการโหนเรื่องดีๆ เพื่อทำลายศัตรูตัวเองอย่างโหดร้ายเสมอมา ตรงนี้แหละที่เขาถกเถียงกัน
6 ต.ค. 19 นี่ก็แทบไม่ต่างจาก red guard นะครับ ขวาพิฆาตซ้าย เคยอ่านบทสัมภาษณ์กระทิงแดง นวพล เขาภาคภูมิใจนะครับ...
ผมเห็นด้วยกฎหมายปกป้องประมุข ยังต้องมี แต่ทำแบบประเทศที่เจริญแล้วหน่อยไหม ไม่ใช่ให้ใครมาร้องก็ได้แบบนี้ แถมโทษรุนแรงเทียบเท่าการฆ่าคนตาย แม้แต่ประเทศต้นแบบของกฎหมายนี้ ยังไม่แรงขนาดนี้เลยครับ
คำว่า "พ่อของแผ่นดิน" เป็นคุณค่าที่แต่ละบุคคลตั้งขึ้นมาครับ
สำหรับผมพ่อคือ biology father หรืออย่างน้อยต้องเป็นผู้อุปการะ ส่วนกษัตริย์ผมมีความเคารพในแบบสถาบันกษัตริย์
ถ้าบอกว่าฉันจะขาดความยับยั้งชั่งใจ ฉันอยากจะใช้ความรุนแรง เพราะฉันจะปกป้องพ่อของฉัน ... ผมคิดว่าคนที่ต้องถูกคุมอีโกน่าจะเป็นคนที่คิดแบบคุณนะครับ
ตกลงจะให้มี ม.112 เพราะว่าตนเองขาดความยับยั้งชั่งใจ และจะใช้ความรุนแรง ก็เลยจะให้ ม.112 ปิดปากคนอีกกลุ่มเอาไว้ เพราะกลัวว่าตนเอง และคนที่คิดเหมือนกันจะใช้ความรุนแรง แบบนี้เหรอครับ?
ถูกต้องครับ จะได้ไม่บานปลาย แค่นั้นเลยครับ ที่อยากให้มี 112
ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ใช่พวกที่จะออกไปใช้ความรุนแรง เพราะเป็นผมก็คงโทรแจ้งตำรวจ หรือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ที่ผมกลัว คือกลุ่มที่จะเข้าห้ำหั่นกันนั่นแหละครับ ชนะกันเพื่อบอกว่าตัวเองรักหรือไม่รักพ่อ ผมมองว่า ประเทศมีแต่เสียหาย) ถ้าไม่มี 112 ตำรวจ หรือคนที่มีอำนาจ จะเอาอะไรมาระงับเหตุละครับ
ระงับเหตุอะไรเหรอครับ?
คือคุณจะโทรไปหาตำรวจ แจ้งว่ามีคนที่สนับสนุน ม.112 ได้ใช้ความรุนแรง และขาดความยับยั้งชั่งใจ รบกวนคุณตำรวจใช้ ม.112 มาจัดการกับผู้สนับสนุน ม.112 ที่ใช้ความรุนแรงหน่อย แบบนี้เหรอครับ?
คือตำรวจมีอำนาจระงับเหตุการณ์รุนแรงทุกกรณีอยู่แล้วครับ ผมยกตัวอย่างที่คนส่วนมากน่าทราบกัน คือ วินมอไซค์ตีกันจนมีคนถูกยิง ... ตำรวจไม่ได้ใช้ ม.112 ไประงับเหตุนะครับ
ส่วนที่คุณต้องการอ่ะ คือต้องการให้มีการใช้ ม.112 มาระงับสิ่งที่คุณไม่อยากฟัง เพราะถ้าฟังแล้วคุณจะโมโห ขาดความยับยั้งชั่งใจ และอาจใช้ความรุนแรง ซึ่งผมแนะนำให้คุณควบคุมตัวเองนะครับ
ต่อให้ไม่ใช่กรณี ม.112 แต่เป็นกรณีมีคนพูดจาถึงครอบครัวของคุณในทางที่คุณไม่ชอบ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง แล้วคุณเกิดควบคุมตัวเองไม่ได้ก็เกิดเป็นปัญหาอยู่ดีครับ
คุณต้องหัดควบคุมตัวเองนะครับ ไม่ใช่พยายามควบคุมคนอื่น
ผมระงับแล้วครับ ผมอ่านคอมเมนท์คุณแล้วผมก็ยิ้ม
ไม่ต้องแจ้งตำรวจให้ใช้มาตรา 112 เหรอครับ
ไม่เห็นด้วยครับ
ไม่อยากย้อนประวัติศาสตร์ยาว ไม่อยากเล่าอะไรทั้งนั้น เพราะผมคิดไม่เหมือนคุณ หากผมพูดไป ผมอาจโดนเอาผิดจากกฎหมายบางมาตราที่ไม่เป็นธรรมได้
พอจะเห็นภาพเพิ่มขึ้นไหมครับว่ากฎหมายมันมีปัญหาตรงไหน ?
That is the way things are.
ยังเลยครับ สงบดี
ไม่ว่าจะพิมพ์อะไรไป ใช้ภาษาสุภาพแค่ไหน ผมก็สุ่มเสี่ยงจนต้อง edit ข้อความตัวเอง
คนเราคงคิดไม่เหมือนกัน มองขอบเขตของปัญหาไม่เท่ากันจริง ๆ ครับ
That is the way things are.
คนที่สนับสนุน ม.112 จึงกล้าใช้คำว่าคนส่วนมากก็สนับสนุนม.112 ไงครับ เพราะใครๆ เค้าก็ตกอยู่ในภาวะเดียวกับคุณนี่แหละ พูดอะไรเป็นอื่นไม่ได้
เถียงเรื่อง ม.112 กับผู้สนับสนุน ม.112 ก็เป็นเรื่องสบายๆ ของผู้สนับสนุนครับ พูดไม่เข้าหูก็แจ้ง ม.112 ได้
มองไม่เห็นปัญหา เพราะไม่เป็นปัญหากับผู้สนับสนุนครับ ใจสงบดีครับ ปัญหาคนอื่นช่างมัน เพราะใจสงบครับ
ด่าเพื่อเรียกร้องความสนใจ ติเตียนเพื่อให้พัฒนาขึ้น หรือแม้แต่ล้อเลียนเพื่อความบันเทิงพวกนี้ต่างกันอยู่นะครับ ถ้าใช้กับพวกแรกผมเห็นด้วยเต็มที่ แต่ดูจากข่าวที่ออกมาแค่ช่วงนี้ก็เหมือนพยายามจะใช้ทำลายกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งซะมากกว่า (น่าตลกที่กลุ่มคนที่ใช้ควรจะเป็น "คนดี" แต่พอใช้แล้วออกมาดูไม่ดีซักเท่าไร)
ผมไม่เห็นด้วยในการมีสิ่งที่มีสถานะ "สิ่งศักสิทธิ์" ใดๆทั้งนั้น คนเราควรใช้ความมีเหตุมีผลมากกว่า แต่อันนี้เคารพความคิดเห็นคุณครับถ้าหากว่าจำเป็น