Darius Watola ทีมงานฝ่ายดีไซน์ภายในรถยนต์ของ Volkswagen ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ Autocar ถึงแนวทาง "ใหม่" ในการออกแบบรถยนต์ ว่าจะกลับไปใช้ปุ่มควบคุมแบบดั้งเดิม หลังเปลี่ยนมาใช้จอสัมผัสในรถรุ่นหลังๆ เช่น Mk8 Golf และ ID3 แล้วได้รับเสียงวิจารณ์จากลูกค้า
รถยนต์รุ่นแรกที่จะใช้แนวทางใหม่คือ รถยนต์ไฟฟ้า Volkswagen ID 2all ที่จะเป็นรากฐานของแนวทางออกแบบรถรุ่นอื่นๆ ต่อไป โดย ID 2all มีหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ตรงกลาง แต่มีแถบปุ่มกดควบคุมระบบปรับอากาศแยกต่างหากอยู่ใต้จอ และมีวงแหวนหมุนเพื่อสั่งงานหน้าจอโดยไม่ต้องสัมผัสหน้าจอโดยตรง
ก่อนหน้านี้ Thomas Schäfer ซีอีโอของ Volkswagen เคยยอมรับว่าแนวทางการใช้จอสัมผัสล้วนๆ สร้างผลเสียให้กับแบรนด์อย่างมาก (did a lot of damage) และทำให้บริษัทต้องมาทบทวนใหม่หมดว่า ผู้ขับขี่ใช้ฟังก์ชันใดบ้าง ใช้บ่อยแค่ไหน ตรงไหนควรเป็นปุ่ม ตรงไหนควรเป็นสวิตช์ รวมถึงกำหนดนโยบายว่าห้ามย้ายตำแหน่งของปุ่มควบคุมต่างๆ ไปมาในรถรุ่นต่างๆ อีก เพราะยิ่งสร้างความสับสนให้ลูกค้าเดิม
ที่มา - Autocar
ภาพแผงคอนโซลด้านหน้าของ ID 2all
Comments
เรื่องอย่างนี้ผู้ผลิตรถยนต์อายุเกือบร้อยปี คิดเองไม่ได้หรอต้องให้ลูกค้าด่าก่อนหรอเรื่องอย่างนี้ใช้ความรู้สึกทั่วๆไปก็น่าจะตอบได้แล้ว
ไม่มีผู้ผลิตรายไหนไม่รู้หรอกครับ ที่เอาปุ่มออก ง่ายๆเลย "ลดต้นทุน"
จีนเขารู้เลยพัฒนาใช้คำสั่งเสียงแทน
ต้องพูดสำเนียงจีนครับ ถึงจะเข้าใจ
👲: "ฮังโหล ****** เปิกซังรุก"🚘: "ได้เลย อั๊วะจะเปิกซังรุกให้ลื้อ"
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ระวังโดนแคนเซิลนะครับ. 😂😂😂😂😂😂
55555
ขับรถไปกินข้าวกับเพื่อน เหตุการณ์เกิดในรถจีนยี่ห้อนึง
👦 : ……. ถ้าไปร้านนี้คงรถติด
🧑 : ไปร้านนี้ดิ่ อยู่แถวบ้าน ทางเดียวกับทางกลับบ้าน
🚘 : เริ่มด้วยการตั้งค่าที่อยู่บ้านของคุณก่อน (ไม่ได้ตั้งที่อยู่บ้าน/ออฟฟิศไว้)
👦 : ยกเลิก
🚘 : ฉันไม่เข้าใจ
👦 : ยกเลิก (พร้อมกับกดยกเลิกที่จอ)
🧑 : ต้องเปิดเพลงฟังมั๊ง รถมันคงจะ… (แอบฟังเรา)
🚘 : กำลังเปิดวิทยุ
oxygen2.me , panithi's blo g
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
ปกติเขาต้องเรียกคำสั่งก่อนแบบ เฮ้กูเกิ้ล เห้เบ่บี้ เฮ้ยโอร่า อะไรพวกนั้น และที่เข้าท่าคือมีปุ่มใช้คำสั่งเสียงที่พวงมาลัย กดปุ่มแล้วค่อยสั่ง มันก็น่าจะสะดวกกว่าไปกดหน้าจอ
ก็หวังว่าค่ายรถจีนจะรู้ตรงนี้ด้วย แล้วเอาปุ่มกลับมา เพราะตอนนี้เกือบทุกรุ่นทั้งสันดาบ, Hybrid และ EV เป็นแบบจอสัมผัส ไม่ก็เป็นปุ่มสัมผัสไปทั้งหมดเลย
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ปุ่มจริงเท่านั้น จนกว่าจะไม่ต้องขับเองแบบมั่นใจได้
ใช่เลยครับ ตราบใดที่เรายังต้องขับเอง การหันไปมองจอคือเรื่องอันตรายมาก ยิ่งถ้าต้องกดหลายทีก็ยิ่งอันตราย ขนาดปุ่มเข้าไปอีก ระยะต้องเอื้อมอีก ทุกวันนี้แค่รับสายโทรต้องไปกดที่จอ ผมก็รำคานพอควรเลย กดที่มือถือยังง่ายกว่า แม้จะไม่ได้ปลอดภัยเช่นกัน
ฝากไปบอกเฮียอีลอนหน่อยเถิด M3 ล่าสุดไฟเลี้ยวกลายเป็นปุ่ม ส่วนเกียร์ไปอยู่ในจอเรียบร้อย กราบ
เอาความจริงนะ ถ้าถามผมว่า ให้ผมเลือกรถจากเครือ VW Group เหมือนกัน แพลตฟอร์มเดียวกัน ระหว่าง Audi E-Tron GT กับ Porsche Taycan S จะเอาคันไหน ผมก็คงเลือก Audi E-Tron GT แบบไม่ลังเล เพราะสาเหตุเดียวเลยคือ ปุ่มจริงบน Infotainment (แม้เบาะหลังของ E-Tron GT จะแคบกว่า Taycan S เยอะ แต่ระบบควบคุมทุกอย่างของ Taycan S อยู่บนจอหมดเลย)
และนี่คือสิ่งที่ผมโคตรเกลียดสำหรับรถสมัยใหม่ทั้งหมด เพราะเอะอะอะไรก็ไปจับยัดใส่จอหมดเลย ไม่มีปุ่มหรือตัวหมุนปรับอะไรเลย ไปเดินดูรถทีไร เจอทุกยี่ห้อ (และผมก็ด่าทุกยี่ห้อเช่นกัน) บางอันที่ไม่ควรไปไว้บนจอ 100% (ในแบบไม่มี physical control เช่น ระบบแอร์) หลายรายก็ยัดไว้บนจอซะหมด ไม่เว้นแม้แต่ยี่ห้อเก่าแก่
ตรงนี้ มันไม่ใช่แค่ VW Group ที่ควรปรับ มันควรปรับทุกเจ้า
Coder | Designer | Thinker | Blogger
+1 ux ที่ต้องเรียกจากจอแย่มากแอบงงเหมือนกันว่าทำไมตามกันเยอะมาก
ลดต้นทุน กับตามกระแสมินิมอลครับ
+1 เอาเข้าจอแล้วออกแบบ UI ไม่ดี บางเมนูจะเข้าทีโคตรลึก ขับรถอยู่คืออันตรายมาก
เลิกลดต้นทุนเกินเหตุได้ก็ดี
ผมล่ะไม่ชอบรถยนต์ที่เอาอะไรๆ ไปจับยัดระบบที่ไม่ควรจะยัดไปไว้ในจอจอซะหมด โดยเฉพาะการควบคุมระบบหลักของรถ
..คือผมอยากจะรู้จะ ถ้าจอภาพมีปัญหาขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น จอเสื่อมสภาพจนทำให้จอดูไม่รู้เรื่อง(จากความร้อนที่จอดรถตากแดดหรือสายแพรจอมีปัญหา), พาแนลระบบสัมผัสมีปัญหาทัชจอไม่ทำงาน, จอพัง ..แล้วจะสั่งการรถได้ยังไง? ..หรือหนักๆ หน่อยก็ จู่ระบบปฏิบัติการรวน จนทำให้การควบคุมรถควบคุมไม่อยู่และเกิดอุบัติเหตุ ..คือระบบพื้นฐานอย่างระบบขับเคลื่อน เปิด/ปิดแอร์ มันก็ใช้การอะไรไม่ได้เลยงั้นสิ?
..ระบบควบคุมรถที่อยู่ในจอ มันควรจะเป็นทางเลือกที่ 2 ในการควบคุมนะ ไม่ใช่เป็นทางเดียวในการควบคุมรถ
..แล้วก็ เอาจริงๆ ผมว่ารถไฟฟ้าก็สามารถใส่ระบบเกียร์ได้นะ เพราะมันจะช่วยผ่อนแรงมอเตอร์ทำให้ใช้ไฟฟ้าน้อยลงได้ด้วย เหมือนกับการปั่นจักรยาน ถ้าใช้เกียร์ต่ำ(จานหน้าเล็ก-จานหลังใหญ่) การปั่นขึ้นเนินก็จะใช้แรงน้อยลง และถ้าใช้เกียร์สูง(จานหน้าใหญ่-จานหลังเล็ก) ก็จะทำความเร็วสูงได้โดยใช้แรงน้อย ..ซึ่งถ้าเทียบกับไม่มีเกียร์ รถยิ่งทำความเร็วมาก การหมุนมอเตอร์ก็จะเร็วมาก และใช้ไฟฟ้ามากตามไปด้วย ..จะว่าไป ต่อให้รถมีเกียร์ ใช้เกียร์ 1 ตลอดก็คงไม่ต่างกับรถที่ใช้มอเตอร์เพียวๆ ล่ะนะ ก็คือรอบมอเตอร์ที่เร็วแปรผันตามการกินไฟฟ้าที่มากขึ้น แต่ถ้าใช้เกียร์สูงก็คือรอบมอเตอร์ใช้น้อยลงแต่ทำความเร็วเท่ากับรถที่ใช้รอบมอตเตอร์สูงได้ ..ไม่รู้มียี่ห้อไหนทำไหมนะ ที่ว่ารถไฟฟ้า 100% แต่ยังใช้ระบบเกียร์อยู๋
ผมคิดว่า แค่ปุ่มกดยังลดต้นทุน แล้วระบบเกียร์มันแพงกว่าปุ่มเยอะ มันน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกยกทิ้งเป็นอันแรกๆเลยหรือเปล่า
เกียร์เดี๋ยวนี้ก็พิลึกกึกกือมาก เพราะคุมด้วยสัญญาณไฟฟ้าหมดแล้วจะออกแบบยังไงก็ได้มั้ง 😵💫
ลดหมดแหละครับ แค่เรามองไม่เห็น รถใหม่ๆ ลดต้นทุนหนักมาก
มี taycan ครับที่ใช้เกียร์ แต่เรื่องความประหยัดมันไม่ได้ช่วยอะไรเยอะขนาดนั้น Tesla ไม่มีเกียร์ ยังกินไฟน้อยกว่าอีก
ทุกวันนี้บริษัทรถยนต์โดน Regulation เข้มๆหลายเรื่องครับ เช่นเรื่องความปลอดภัยและไอเสีย รวมถึงต้องทำจุดขายให้ผู้บริโภคชอบด้วย ทุกอย่างมันคือต้นทุน เขาเลยหาช่องทางลดต้นทุน เอาทุกทางแหละที่คนไม่รู้สึก
สมัยก่อนเขาก็จะวางแผนใช้ปุ่มซ้ำในรถหลายๆรุ่น พอคนเบื่อก็เปลี่ยนปุ่มซักที แต่ตัวเปิดฝากระโปรงคนไม่เบื่อก็ใช้วนไป จนมีดราม่าเอาสติกเกอร์ฝาน้ำมันมาติดนี่แหละ แตก
พอกระแสเทสล่ามันมาช่วงเปิดM3 เขาก็เอ้าขายดีเฉย คนชอบนี่หว่า แล้วเราจะทำของแพงไปทำไม ก็งับกระแสกันหมด
ส่วนเรื่องเกียร์คือมันแพงจริงครับ ถ้าใส่มามันก็ประหยัดไฟได้จริงแหละ เอาแบบตั้งใจออกแบบมาเพื่อประหยัดนะ แต่ปัญหาส่วนต่างของความประหยัดมันยังไม่คุ้มพอ สมมุติตอนนี้ ev ใช้ไฟกิโลละ 60สตางค์ ใส่เกียร์ตีว่าประหยัดได้ 20% ก็ลดลงไปแค่ 12สตางค์เองนะ เกียร์ใหม่รถน้ำมันประมาณลูกละแสน ต้องขับประมาณ 8แสนกิโลถึงจะคุ้ม ยังไม่รวมค่าออกแบบระบบนั่นโน้นนี่
อีกอย่างรถไฟฟ้าเกียร์เดียวมันยังขับได้ แต่รถน้ำมันถ้าไม่มีเกียร์มันขับไม่ได้ (คือมันก็ไปได้แหละแต่ข้อเสียเยอะมากๆๆ)
ผมว่าระบบเกียร์มันหนัก แบกเกียร์วิ่งมันน่าจะกินไฟเพิ่มแถมยังต้องเสียค่าบำรุงรักษา ดูอย่างไรก็ไม่คุ้ม
การหมุนมอเตอร์เร็วมาก ≠ ใช้ไฟฟ้ามากตามไปด้วยครับ
การปั่นจักรยานขึ้นเนินด้วยเกียร์เบา ทำให้ใช้แรงน้อยลง (force) แต่ใช้กำลัง (power = force × rotation speed) เท่ากันนะครับ งาน (work) ที่ได้ออกมาก็ยังเท่ากัน
สาเหตุที่เราต้องใช้เกียร์ คล้ายกับเครื่องยนต์สันดาปที่มันมีความเร็วรอบที่ efficiency ดีอยู่ เมื่อเราสับอัตราทดของเกียร์ไปที่ความเร็วรอบที่ efficiency ดีกว่ามันก็เลยรู้สึกเหนื่อยน้อยลงเหมือนเครื่องยนต์สันดาปที่ใช้อัตราน้ำมันดีขึ้นครับ
กรณีของรถยนต์ไฟฟ้า ตัวรอบมอเตอร์ไฟฟ้ามีช่วงที่ efficiency ดีอยู่ในระดับกว้างมากๆ ไม่ว่าตอนขับช้าๆ หรือขับเร็วๆ การใส่ชุดเกียร์เข้าไปจะทำให้มีการสุญเสียพลังงานที่ชุดเกียร์มาก (และเรื่องน้ำหนักที่มากขึ้นก็ทำให้ใช้พลังงานมากขึ้น รวมถึงเพิ่มเรื่องการบำรุงรักษาด้วย) เมื่อเทียบกับว่า efficiency ที่รอบต่ำและสูงไม่ต่างกันมากแล้วการเอาชุดเกียร์ไปสูญเสียพลังงานจึงไม่คุ้มครับ