หลังจากที่ไมโครซอฟท์ โชว์ตัวอย่าง Start Menu แบบใหม่ พร้อมเปิดรับคิดความเห็นจากชาว Windows Insider ให้ได้เลือกว่าถูกใจแบบใหม่หรือแบบเก่ามากกว่ากัน นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ไมโครซอฟท์ถามความเห็นจากภายนอกบริษัทอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อนำมาปรับปรุง Start Menu ที่เป็นเอกลักษณ์คู่กับ Windows มาตั้งแต่ Windows 95 และเจ้า Start Menu นี่เองที่ใช้งานได้ดีจนทำให้ผู้ใช้งานเคยชินถึงระดับที่ว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิมก็อาจเจอเสียงบ่นกันระงมเลยทีเดียว ดังจะเห็นได้จาก การเปลี่ยน Start Menu เป็น Start Screen ใน Windows 8
เลยนึกอยากเขียนถึงบทสัมภาษณ์ผู้สร้าง Start Menu รุ่นแรก เกี่ยวกับที่มาที่ไปและความรู้สึกของเขาหลังจาก Windows 10 เปลี่ยนกลับมาใช้ Start Menu อีกครั้งซักหน่อย (เป็น บทสัมภาษณ์โดย Business Insider เขียนไว้ตั้งแต่ Windows 10 ออกใหม่ๆ อาจจะเก่าไปหน่อยแต่คิดว่ายังมีคุณค่าแต่การพูดถึงอยู่ครับ)
ภาพ Windows 95 ที่มาพร้อมกับ Start Menu และ Task bar จาก Wikipedia
Daniel Oran อดีตพนักงานผู้ออกแบบและถือสิทธิบัตร Start Menu และ Task bar บน Windows 95 เข้าร่วมไมโครซอฟท์เมื่อปี 1992 ในฐานะนักจิตวิทยาพฤติกรรม Oran จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ที่เขาได้ทำโปรเจ็กต์ด้านการออกแบบอินเตอร์เฟซเป็นครั้งแรกร่วมกับนักจิตวิทยาพฤติกรรมชื่อดัง BF Skinner กับความพยายามออกแบบคีย์บอร์ดสำหรับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่จะสอนชิมแปนซีวัยรุ่นสองตัวให้สามารถพูดภาษาอังกฤษได้!
"แล้ว ชิมแปนซีเรียนการพูดได้หรือไม่? คำตอบคือไม่ ไม่ใกล้เคียงเลยซักนิด"อ้างอิงจาก สไลด์ที่ Oran ได้เขียนไว้ อย่างไรก็ตามโปรเจ็กต์ดังกล่าวก็ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกมากมายเกี่ยวกับการออกแบบโปรแกรมให้ใช้ได้ง่ายกระทั่งชิมแปนซีก็ใช้งานได้
คีย์บอร์ดที่ Oran สร้างขึ้นมาใช้สอนชิมแปนซีให้หัดพูดจาก สไลด์ของ Oran
ปี ค.ศ. 1992 ยุคสมัยของ Windows 3.1 อันเป็นที่เลืองลือกันถึงความใช้งานยาก ในตอนนั้น Oran ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบ Windows ให้ผู้ที่ไม่ได้ทำงานด้านเทคนิคสามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น ด้วยความที่ Oran เป็นแฟนตัวยงของระบบปฏิบัติการ Mac OS ของแอปเปิลทำให้เขาสามารถออกความเห็นที่เป็นมุมมองจากคนนอกได้
หนึ่งในก้าวแรกของการออกแบบคือการเก็บข้อมูลในขณะที่ลูกค้ากำลังใช้งาน Windows กันจริงๆ Oran และโปรแกรมเมอร์จะต้องสอนให้ผู้ทดสอบรู้ถึงวิธีการสั่งงานง่ายๆ บน Windows และดูว่าพวกเขาทำได้หรือไม่อย่างไร ภายในเวลาไม่นานการทดลองดังกล่าวก็ได้เป็นประสบการณ์น่าอึดอัดใจสำหรับ Oran เมื่อทางโปรแกรมเมอร์มองไม่ออกว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้ใช้งานแต่เป็นตัวระบบปฏิบัติการเอง
Oran ยกตัวอย่าง ผู้ทดสอบคนนึงที่ใช้เวลาจ้องหน้าจอเดสก์ทอปของ Windows 3.1 เป็นเวลาถึง 20 นาทีก่อนจะสามารถเปิดโปรแกรมแก้ไขข้อความได้ โปรแกรมเมอร์คนนึงที่รับไม่ได้ถึงกับโพล่งออกมาว่า "ลูกค้าเรามันทึ่ม" ("Our customers are morons!") เรื่องน่าอึดอัดใจไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เมื่อพวกเขาพูดคุยกับผู้ทดสอบถึงได้ทราบในภายหลังว่าผู้ทดสอบทำงานวิศวกรรมการบินด้านการขับเคลื่อนให้กับบริษัทอย่างโบอิ้งเลยทีเดียว
"ผู้ใช้งานคนนั้นเป็นถึงนักวิทยาศาสตร์จรวด แต่ก็ยังมองไม่ออกว่า Windows ใช้งานยังไง"Oran กล่าว
ระหว่างทางที่ Oran นั่งรถกลับไปยังสำนักงานใหญ่ของไมโครซอฟท์ที่ Redmond เขาก็ครุ่นคิดว่าสิ่งที่ผิดพลาดน่าจะเป็นที่การออกแบบและริเริ่มแนวคิดที่จะใช้ปุ่มกดเพียงปุ่มเดียวที่จะนำพาผู้ใช้งานไปสู่ทุกอย่างๆ เริ่มแรกเขาตั้งชื่อปุ่มดังกล่าวว่า "System"และวางมันไว้บนสุดของหน้าจอ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าใช้ศัพท์ที่ฟังดูเทคนิคเกินไป ไม่มีผู้ทดสอบคนใดคิดจะกดปุ่มนั้น แต่เมื่อตั้งชื่อใหม่เป็น "Start"ผู้ใช้ก็เริ่มเข้าใจมันในทันที
Oran มั่นใจว่ามาถูกทางเมื่อผู้ทดสอบสามารถใช้ Start Menu สั่งงานได้จนเสร็จสมบูรณ์ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการสอนการใช้งานให้ก่อน
ภาพสเก็ตช์คอนเซปต์ของ Start Menu จาก สไลด์ของ Oran
อีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญในการออกแบบครั้งนี้คือ Task bar ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่บน Windows 3.1 เนื่องจากผู้ใช้มักจำไม่ได้ว่าเปิดโปรแกรมอะไรขึ้นมาบ้างแล้วและเปิดไปแล้วกี่โปรแกรม เป็นไปได้ที่ผู้ใช้งานจะเปิด Solitaire ขึ้นมาเล่นใหม่อีกหน้าต่างหลังจากที่เพิ่งจะย่อหน้าต่างเดิมลงเมื่อเจ้านายเดินผ่าน
แม้ว่า Windows 3.1 จะมี Task Manager เพื่อแสดงผลโปรแกรมที่กำลังรันอยู่แต่ผู้ใช้ทั่วไปก็มักจะไม่รู้ว่าต้องเข้าใช้งานผ่านทางไหน จนอาจส่งผลถึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงเรื่อยๆ เนื่องจากมีโปรแกรมที่เปิดค้างไว้แล้วไม่มีการปิด จนกว่าผู้ใช้จะรีสตาร์ทนั่นเองเครื่องถึงจะกลับมาเป็นปกติ
"พวกเขาไม่มีทางรู้เลย"Oran กล่าว
Oran แก้ไขปัญหานี้ด้วยไอเดียพื้นๆ อย่างการวางแถบที่จะแสดงผลว่ารันโปรแกรมอะไรอยู่บ้าง ต้นแบบแรกๆ ของแนวคิดนี้กลายมาเป็นชุดของแท็บที่วางตำแหน่งไว้ด้านบนของหน้าจอคล้ายกับแท็บที่ปรากฏในเบราว์เซอร์อย่าง Chrome หรือ Safari เป็นอย่างมาก
แต่แท็บดังกล่าวกลับใช้เนื้อที่ของหน้าจอมอนิเตอร์มากเกินไป โดยเฉพาะกับจอมอนิเตอร์สมัยนั้นที่ส่วนใหญ่จะเล็กและมีความละเอียดเพียง 640 x 480 เท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้แนวคิดนี้เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ Oran จึงตัดสินใจทำแท็บให้เล็กลงและเปลี่ยนให้กลายเป็นปุ่มแทน
เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน Start Menu และ Task bar จึงถูกผนวกเข้าด้วยกันแต่ด้วยเหตุผลที่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดไมโครซอฟท์ย้าย Task bar ไปไว้ข้างล่างหน้าจอแทน (Oran กล่าวว่ามีข่าวลือเรื่องไมโครซอฟท์เกรงว่าจะออกมาคล้ายกับ Mac OS เกินไปจนอาจเกิดการฟ้องร้อง แต่ตัว Oran เองก็ไม่ได้สืบดูว่าจริงหรือไม่) และกลายมาเป็นค่าตั้งต้นของ Start Menu เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
วิวัฒนาการของการออกแบบ Task bar บน Windows 95 จาก สไลด์ของ Oran
Oran ออกจากไมโครซอฟท์ในปี 1994 ก่อนหน้า Windows 95 จะวางจำหน่ายเพื่อกลับไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปัจจุบันเขาทำงานด้านสาธารณสุขโดยใช้ความเชี่ยวชาญที่มีในการสร้างกลยุทธ์เพื่อการช่วยเหลือและป้องกันการฆ่าตัวตาย
ในตอนนี้เขาแค่เฝ้ามองไมโครซอฟท์จากภายนอก แต่ในฐานะผู้ได้ออกแบบ Start Menu การได้เห็น Windows 10 ใช้สิ่งที่เขาสร้างไว้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึง 20 ปีแล้ว ให้ความรู้สึกที่ดีและน่าผิดหวังเล็กๆ ในเวลาเดียวกัน
แม้ว่านี่จะหมายถึงการมีผู้คนนับล้านใช้งานสิ่งประดิษฐ์ของเขาในทุกๆ วัน แต่ก็หมายความว่าภายในเวลา 22 ปีให้หลังจากที่เขาได้คิด Start Menu ขึ้นมานั้น ไม่มีการสร้างสิ่งที่ดีกว่าขึ้นมาแทนที่ได้เลย
"เมื่อได้ลองมองย้อนกลับไป, ผมว่าผมอยากได้ค่าลิขสิทธิ์ล่ะ"Oran กล่าวติดตลก
เขายังบอกอีกว่ามันเป็นการดีแล้วที่มีความพยายามทดลองแนวคิดใหม่ๆ ใน Windows 8 นอกเหนือจากแนวคิด Start Menu เดิมที่มีอายุถึงสองทศวรรษ
Oran ยังหนุ่มมากเมื่อตอนที่เขาทำงานให้ไมโครซอฟท์ แต่สิ่งที่เขาสร้างนั้นกลับส่งผลยาวนาน แน่นอนว่าประสบการณ์ของ Oran จะเป็นบทเรียนอย่างดีให้กับผู้สร้างและนักประดิษฐ์รุ่นหลัง
"สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ อาจสร้างผลกระทบได้อย่างน่าประหลาด"Oran กล่าวทิ้งท้าย
ภาพ Start Menu ขณะที่ Windows 10 เปิดตัวได้ไม่นาน
ที่มา - Business Insider via Windows Central
Comments
ทำไมถือสิทธิบัตรแต่ไม่ได้ค่าลิขสิทธิ์ล่ะน่ะ
ลิขสิทธิ์น่าจะตกเป็นของบริษัทmicrosoftครับ เพราะถือว่าถูกจ้างให้คิด
มองจากมุมโปรแกรมเมอร์นี่มันยากจริงๆ นะ ทุกวันนี้ก็ยังทำลายกำแพงนี้ไม่ได้
"การได้เห็น Windows 10 ใช้สิ่งที่เขาสร้างไว้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึง 20 ปีแล้ว ให้ความรู้สึกที่ดีและน่าผิดหวังเล็กๆ ในเวลาเดียวกัน"
ตกลงว่าเขาผิดหวังเพราะอะไร ใครอ่านแล้วเข้าใจช่วยสรุปให้ฟังหน่อยฮ่ะ
"แม้ว่านี่จะหมายถึงการมีผู้คนนับล้านใช้งานสิ่งประดิษฐ์ของเขาในทุกๆ วัน แต่ก็หมายความว่าภายในเวลา 22 ปีให้หลังจากที่เขาได้คิด Start Menu ขึ้นมานั้น ไม่มีการสร้างสิ่งที่ดีกว่าขึ้นมาแทนที่ได้เลย"
จริงๆ แกไม่ควรผิดหวังนะ เพราะในอีกมุมหนึ่งนี่อาจเป็นสุดยอดการออกแบบที่สมบูรณ์แบบจนไม่อาจไปต่อแล้วก็ได้ (เว้นแต่ส่วนติดต่อผู้ใช้จะเปลี่ยนจากหน้าจอสี่เหลี่ยมไปเป็นอย่างอื่น)
เหมือนคลิปหนีบกระดาษที่สมบูรณ์แบบในตัวมันเองจนไม่รู้จะพัฒนาต่อยังไงแล้ว
ผิดหวังว่าผ่านมา 20 ปีแล้วก็ยังไม่มีอะไรใหม่ๆที่ดีกว่ามาแทนที่ ผมว่าเขาอยากเห็นอะไรใหม่ๆที่ดีกว่าของที่เขาเคยทำ
เคยอ่านจากเว็บเมืองนอกสักที่ เขาว่าผิดหวังที่เห็น windows 10 กลับมาใช้ start แบบเดิมอีก ทั้ง ๆ ที่หลุดพ้นไปแล้วตอน windows 8
อ่อ สรุปคือผิดหวังที่ยังไม่มีอะไรใหม่ๆมาแทนที่มันได้
ตอนแรกผมเข้าใจว่า เค้าผิดหวังเพราะมันห่วย มันไม่ดี อะไรแบบนี้
Start Menu แบบ Windows 8 นี่น่าจะใช้เวลาคิดแค่ 10 นาทีเสร็จ
เอาซะโปรแกรมเมอร์ไมโครซอฟต์จุกอกเลยทีเดียว
ผมชอบ start menu แบบนี้ มากกว่า start menu รุ่น windows 95 เพราะผมใช้ surface pro เป็น แทบเล็ท จอสัมผัส ปุ่มใหญ่ๆ แบบนี้ผมชอบกว่า กด windows แล้วจิ้ม ตอนหลังมีปุ่ม power เพิ่มเข้ามา ปิดเปิดเครื่องง่ายดีครับ หลังๆ surface pro ผมเปิดทิ้งไม่ได้ เพราะจอชอบติดเอง เลย shutdown ให้เครื่องสงบดีกว่า
จนผมต้องไปพึ่ง Start8 ตอน Windows 8 ออก
oxygen2.me , panithi's blo g
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
สิ่งที่ผมชอบใน windows และอยากให้พัฒนาต่อ คือการ พิมพ์ แล้ว search อยากให้เลือกแอพหรือไฟล์ หรือ ค้นหาในเว็บขึ้นมาเลย โดยไม่ต้องให้เลือกคำสั่งต่อ อาจจะกินแรงเครื่องแต่ผมว่ สมัยนี้คอมแรง เน็ตแรง เกินความต้องการแล้วครับ
อย่างเมื่อก่อน ผมเปิด Notepad กด windows + R พิมพ์ notepad กด enter กด F5 ลงวันที่ แล้วพิมพ์ๆๆ บันทึกรายละเอียดประจำวัน หัวหน้าผมสั่งให้บันทึกแล้วส่งให้ดูทุกวัน
สมัยนี้ใช้ windows 8.1 ใน surface pro3 เวลาเปิด photoshop cc 2015 กดปุ่ม windows พิมพ์ pho กด enter ก็เรียก photoshop ได้ แบบนี้แหละที่ชอบ
แต่เวลาค้นหาการเดินทาง google now ทำได้ฉลาดกว่า แค่พูดแล้วเลือก maps ก็คำนวนการเดินทางได้ ตอนนี้เลยสลับกัน
แต่ผมว่าแบบ windows 8 ใช้งานได้ดีจริงๆนะ
ถ้าไม่ใช้เมาส์และคีย์บอร์ดล่ะก็นะครับ
ผมไม่ชอบเพราะมันหาโปรแกรมไม่ค่อยเจอถ้าไม่ด้ใช้การค้นหา
ตั้งแต่ Windows 8.1 การที่เอาปุ่ม Start กลับมา ทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนหักหลังเอาจริง ๆ ก็ยอมรับว่าตัวใหม่หาโปรแกรมด้วยเมาส์มันยากนะ แต่ผมรู้สึกดีกว่าที่มันมีการเปลี่ยนแปลงแบบแปลก ๆ ใหม่ ๆ ไปเลย มันตื่นเต้นดี
แต่หายไปเลยแบบ Windows 8 นี่ก็มีปัญหานะครับ คือมันเอานิ้วจิ้มบนจอลำบากมาก
จริงๆ เหลือปุ่มไว้ผมก็ไม่มีปัญหาครับ ถือว่าภายในเปลี่ยนแปลง จะว่ามันเป็นเอกลักษณ์ของวินโดวส์ไปเลยก็ได้ :D
สามารถให้สามารถ ?
กลยุทธ => กลยุทธ์
แก้แล้ว ขอบคุณครับ
Achievement Unlocked: Being a Blognone's Writer
สำหรับผม Win7 นั่นก็ OK มากแล้ว แค่อย่ากให้ความสูง Taskbar เล็กลงจนเท่า 98/XP
ย่อ ไอคอนได้ แต่ความสูงดันเท่าเดิม ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่
และ Pin Short-Cut บน Taskbar หลักได้บ้าง ไม่ใช่ Pin ได้แต่ App
ส่วน Win8 สิ่งที่ไม่เข้าท่าที่สุดก็คือ เพียงแค่การเลือกโปรแกรม ดันใช้พื้นที่ไปหมดทั้งจอ
มันดูเยอะไม่เข้าเรื่องเลย ตัวไทล์ เลือกสีได้น้อย
ดูลดรูปมากเกินไปจนเหมือนของเล่นเด็กอนุบาล
ทัชสกรีน มันโอเคเฉพาะอุปกรณ์พกพา แต่กับเครื่อง Desktop มันผิดที่ผิดทาง
ถ้าจะมีระบบสนับสนุนตัวทัชสกรีน ผมคิดว่ามันไม่ควรรวมอยู่ในตัว OS เพราะไม่ใช่ทุกคนจำเป็นต้องใช้มันควรจะแยกเป็น Shell ต่างหากคล้าย Media Center มากกว่า
้ถ้าทำแยกออกไป จะใช้ทัช ใช้รีโมท อะไรให้ User เลือกเอง
+แสน
ผมเห็นต่างนิดนึง
"ส่วน Win8 สิ่งที่ไม่เข้าท่าที่สุดก็คือ เพียงแค่การเลือกโปรแกรม ดันใช้พื้นที่ไปหมดทั้งจอ"
ก็มีพื้นที่เหลือตั้งเยอะ (หน้าจอสมัยนี้ใหญ่กว่าแต่ก่อนมาก ไม่ใช่แค่ 800x600) แล้วทำไมไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ แสดงรายชื่อโปรแกรมเต็มหน้าไปเลย แต่ที่ผมไม่ชอบคือ Windows 8 มันดันเรียงแบบ บน-ล่าง ซ้าย-ขวา (เหมือน List view ใน Explorer.exe) ซึ่งมันกวาดสายตาลำบาก ส่วน Windows 10 หน้า all apps ก็ดันหดไปด้านซ้ายแคบนิดเดียว กว่าจะ scroll เจอก็นาน ควรจะใช้เต็มจอเหมือน Windows 8 เพียงแต่เรียงใหม่ให้ดูง่ายขึ้น
ในหลาย ๆ จังหวะ ตาเราโฟกัสที่งาน สมมติว่าผมกำลังจ้อง ไฟล์ Powerpoint แล้วจังหวะนั้น ผมต้องการกดเครื่องคิดเลขคำนวนค่าเงินคร่าว ๆ เพียงแค่กด win+calc ผมก็จะได้ เครื่องคิดเลขมา
โดยไม่ต้องละสายตาจากหน้างานเลยสักวินาที
-ผมเห็นต่างจากคุณ ผมชอบ List View มากกว่าไทล์เยอะ ไทล์ใช้เนื้อที่หน้าจอสิ้นเปลืองเกินไป และผมคิดว่า เรียงตามแนวตั้งอ่านง่ายกว่าแนวนอน
จอคุณ 9 นิ้วเหรอครับ? ลองมาใช้ 23 นิ้วแล้วจะเข้าใจเหตุผลนะ
ปกติผมจะต่อครั้งละ 2 จอครับมี 39(TV),23,20,19,17,14x2(NB)
List View นั้นแสดงข้อมูลได้มากกว่า Tile เยอะ หนึ่งหน้าจอ แสดงได้นับร้อยรายการ
แต่ Tile ได้สัก 50 เท่านั้นแต่การจัดเรียง ผมอยากให้เรียงตามแนวตั้งก่อน แล้วค่อยไล่ไปทางแนวนอน ประมาณ List ในหน้าต่างไฟล์
เทียบกับ List View แบบ Control Panel แล้วอย่างหลังอ่านยากกว่า
ถ้าจอ 9" ผมว่าทำแบบ Android หรือ iOS เหมาะกว่านะ - -'
เอาจริงๆ ผมเห็นด้วยว่า พื้นที่จอมีตั้งเยอะ ทำไปต้องไปกระจุกตัวที่มุมขวาล่าง ใช้มากขึ้นได้มั้ย ? Start Screen ใน W8 เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี (และผมชอบที่มันกินพื้นที่ทั้งจอ) ผมไม่ชอบตรงที่มันหา folder ยากมากเท่านั้น ถ้ามันยุบเป็น folder แล้วแตกออกตอนที่มีคนกดจะดีกว่ามาก
แต่ก็อีกนั่นแหละ folder ใน start menu ส่วนหนึ่ง เกิดจากคนที่สร้าง shortcut เองออกแบบ shortcut มาไม่ดี ทำไมเราต้องมีปุ่ม uninstall อยู่ใน start menu (ไปรวมกันใน add/remove ได้มั้ย?) หรือพวกวิธีการใช้งาน ฯลฯ มันทำให้ start menu มันเละเทะไปหมด และสุดท้ายก็ไปสร้างปัญหาอยู่ใน Start Screen อีกที
ทั้งนี้ Start Menu ของ W10 นี่ยังต้องแก้อีกเยอะครับ ...
มันปรับความสูงได้นะ อยู่ใน options ของเมนู ผมชอบปรับให้สูงเต็มหน้าจอเลย หาง่ายดี
ความสูงของ Taskbar นะครับที่ผมต้องการลด ไม่ใช่ความสูงของ กล่องค้นหาโปรแกรมนะครับ
ตอนนี้เครื่องผมมันมีขนาดประมาณ 46 Pixel ผมอยากให้เหลือแค่ 32 Pixel เท่า Icon ขนาดเล็ก
ทำได้ด้วยหรือครับ
ไม่แน่ใจ แต่ใช่แบบนี้หรือเปล่าครับ ซ้ายแบบเล็ก ขวาแบบปกติ
อ้าว ผมใช้ win7 อ่ะครับใช้win8 กับ 10 ได้ไม่เคยเกิน 2 week
แบบนี้เหรอครับ
ตอนนี้ที่ทำได้ขนาดประมาณนี้ แต่อยากให้ ความกว้่าง น้อยลงสัก 30% ความสูงลดลงอีกสัก 20% อ่ะครับ
< img src='https://i.imgur.com/QOSrGkt.jpg'> แก้ไขภาพ
+1Start screen นี่เวลากดทีไรเหมือนโดนเอาอะไรปาใส่หน้ามากๆ
บางทีดูเว็บอยู่ submit form ไป รอเมล์ โอเค เป็นโปรแกรมเช็คเมล์ดีกว่า กด start แล้วหน้า start screen วูบเข้ามา ทำเอาอารมณ์สะดุดไปเลย
+1 อารมณ์เดียวกันเลย คือมันรู้สึกสะดุดมากกว่า (เหมือนเสียโฟกัส) และมันวูบเกินไปอันนี้มันก็ส่วนตัวแต่ละคนไม่เหมือนกันอะเนอะ อย่างพี่ที่ทำงานผมแกชอบมาก ฮ่าๆ
ลองเปลี่ยนขนาดจอดูนะครับ ให้เป้น ความละเอียดสูงๆ จะเห็นว่าได้ว่า ขนาดไม่ใช่ปัญหา
Full Hd 23" กับ 39" นี่พอไหมอ่ะครับ
แค่อยู่ๆแสง background เปลี่ยนสีไปมาก็ทำให้เสียสายตาแล้วครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
เห็นความใส่ใจของคนสร้างโปรแกรมระดับโลกแล้วตื้นตัน
ที่ทำงานผมในเสินเจิ้น มีโปรแกรมให้พนักงานไว้จัดการตารางเวลา การลงเวลาลากิจ ลาป่วย โอทีต่างๆนาๆ ซึ่งทุกอย่างเป็นภาษาจีน
ซึ่งเป็นเรื่องอิดหนาระอาใจพนักง่นต่างชาติเป็นอย่างมาก ถึงพนักงานต่างชาติจะมีแค่ 5-6คน จาก 100 กว่าคนก็เถอะ เราจึงต้องให้คนจีนช่วยทำ ช่วยกรอกโปรแกรมนี่อยู่เสมอ คือถ้าไม่มีคนจีนช่วย ก็ทำอะไรไม่ได้ มันซับซ้อน เยอะไปหมด
ผ่านไป 5 ปี ไม่รู้อะไรดลใจ บริษัทออกโปรแกรมเวอร์ชั่น 2 มาให้ใช้ มีภาษาอังกฤษด้วย พนักงานต่างชาติก็ยิ้มออก
แต่ยิ้มออกได้แป้บเดียว เพราะพอกดใช้ไปไม่เท่าไหร่ ตรงที่สำคัญๆ พวกก็เป็นภาษาจีนเหมือนเดิม คือหนักเลยทีนี้ จีนมั่งอังกฤษมั่ง แล้วจะทำมาทำไม แสดงถึงความไม่สนใจ user แม้แต่นิดเดียว สักแต่ว่าทำๆไป
ผมว่าเค้าไม่ควรต้องผิดหวังนะ จริง ๆ ไม่ใช่ว่ามันเหมือนเดิมนะสำหรับผม เพราะว่าถึงแม้ว่าปุ่ม Start ยังอยู่ แต่อยู่แค่แนวคิดตั้งต้นมากกว่าว่าปุ่มนี้คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งในคอมเครื่องนี้ แต่ลักษณะการใช้งานเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากต้องคลิกแล้วเลือกไปทีละอย่างจนถึงตัวโปรแกรมแล้วคลิก กลายมาเป็นคอนเซป Customize จะเอาอะไรไปวางก็ได้ ส่วนอันไหนไม่ต้องการวางก็ Search เอา และ Win 10 ระบบ Search ค่อนข้างฉลาด (และโง่ในเวลาเดียวกัน ถ้าเทียบกับ Google search) เพราะผมคลิกตรง All program น้อยครั้งมาก จะคลิกก็ต่อเมื่อไม่มีหรือขี้เกียจกดคีย์บอร์ดเท่านั้นและที่ปุ่ม Start มันยังอยู่และจำเป็นสำหรับ Desktop เพราะว่ามันอยู่ตรงมุมจอก็แค่นั้น (Ui ที่ใช้เม้าส์ ตรงมุมทั้งสี่จะเข้าถึงง่ายที่สุด)
สิ่งที่ควรให้เครดิตและเป็นการออกแบบที่เฟอเฟกจริง ๆ คือ Taskbar นะผมว่า เพราะมันไม่ได้พัฒนาไปมากกว่า Win95 ไปมากเลย เพิ่มมาแค่ Peekview เท่านั้น และมันก็ใช้งานสะดวกจริง ๆ และสำหรับผม Taskbar ที่เพอเฟกที่สุดคือ Taskbar ของ WinXP ที่มีฟังก์ชั่นที่โยนมันไปอยู่ข้างหลังหน้าต่างทุกอันที่เปิดได้ สุดยอดจริง ๆ ใช้พื้นที่จอได้คุ้มค่ามาก Win10 นอกจากจะทำไม่ได้ พอเวลาเอา Taskbar ไว้ด้านบนบางทีมันดันไปบัง Title bar ของ หน้าต่างโปรแกรมอีก เซ็ง
เอา On top ออกก็ได้นิครับ รึว่าผมเข้าใจผิด
เอ่อใช่ครับ WinXP มีฟังก์ชั่นนี้แหละครับเอา On top ออกได้ และได้หายไปตอน Win7 ผมนี้น้ำตาจะไหล T^T (เราจะไม่พูดถึง Vista เนอะ) หลังจาก 7 มาก็ไม่มีเลย
โปรแกรมเมอร์คนนึงที่รับไม่ได้ถึงกับโพล่งออกมาว่า "ลูกค้าเรามันทึ่ม" ("Our customers are morons!")ไอ้ Morons นี่มันแรงกว่าทึ่มเลยนะ
เหมือนที่มุกเค้าว่ากัน การที่เราจะปิดเครื่อง ทำไมเราต้องไปที่ start กันครับ
เทียบกับ app luncher ในปัจจุบันไม่ได้เลย น่าจะเพราะความเคยชิน ที่ windows อยุ่กับเรามานานมากกว่า
ผมเห็นต่างนะครับ
เทียบ XP กับ 7 นี่ผมยังก้ำกึ่ง ว่าตัวไหนดีกว่า เพราะมีบางจุดที่ 7 แย่กว่า XPแต่ถ้าเทียบ 8/10 กับ 7 แล้ว
ตัวไหม่เทียบไม่ติดทั้ง ประสิทธิภาพและความสวยงาม
ส่วนตัวผมเป็นคนปรับตัวและเรียนรู้ได้เร็วมาก ไม่ค่อยอะไรกับพวกนี้อยู่แล้ว
แต่ก็จะหงุดหงิดถ้าต้องมีขั้นตอนเยอะกว่าจะได้ใช้อะไรสักอย่างนึงหรือต้องทำในขั้นตอนที่เราไม่ควรจะไปเสียเวลาทำ
แต่ที่ค่อนข้างประหลาดใจกับแอพในวินโดว์สโตรที่ทำออกมาได้แบบว่าทำให้เสร็จแบบส่งๆมาก ทำไรแทบไม่ได้เลย ไม่มีซะยังดีกว่า
Linux Mint เกิดเพราะแทบจะไม่ต้องปรับความเคยชินจาก Windows มากนัก ส่วน Ubuntu หาเรื่องไปใช้ Unity พาลให้ผู้ใช้งานเลิกใช้ไปเลยก็มี
เหตุผลส่วนตัวที่ยังไม่ใช้ 10 เป็นเครื่องหลักนอกจากบั๊กกับ GUI ห่วยๆ แล้ว kernel ไม่เสถียรอีก ไม่เหมาะกับคนทำงานสาย hardware เลย
ผมใช้ Gnome 3 ที่คนด่ากระจาย 555
แต่ผมว่ามันใช้ง่ายกว่า Gnome 2 และ Mint พอสมควร มันดูสมเหตุสมผลกว่า และกับจอความละเอียดสูงแล้วมันดูดีกว่ามากด้วย (แต่คนใช้จอความละเอียดต่ำจะบ่นว่าจะเหลือที่ทำไมเยอะแยะ)
ผมว่าง่ายนะ แต่ปรับแต่งอะไรไม่ได้มากเท่ารุ่น 2
สมัยที่ผมใช้จอ 800x600, Gnome เป็นอะไรที่กินเนื้อที่มาก ทุกวันนี้ก็ยังกินอยู่
เอาจริง ๆ ที่คนด่า Start Screen กัน เกือบทั้งหมดเกิดจากความเคยชิน แล้วก็ไม่อยากปรับตัว
และผมว่า MS น่าจะดันต่อไปอีก ไม่ใช่ว่าพอลูกค้าบอกว่ามันไม่ดีเพราะไม่เหมือนเดิม ก็ไปแก้กลับให้มันเป็นเหมือนเดิม ของแบบนี้มันต้องใช้เวลาปรับตัว
ปล. Start Menu ทำให้ Windows กลายเป็น OS บนพีซีที่ใช้งานง่ายที่สุด (กว่า Mac มากด้วย) เราควรยกย่องชายผู้ไว้เป็นหนึ่งในตำนาน :)
อันนี้แล้วแต่จะคิดก็แล้วก้นครับ
แต่ถ้าผมปรับตัวไม่เก่ง ผมคงจะบ่นมาตั้งแต่ Win95 แล้ว
เพราะตอนนั้นผมชอบ NDW มาก ๆ
และผมคิดว่า ที่คนด่า Start Screen ไม่ใช่เพราะมันไม่เหมือนเดิม
แต่เพราะมันแย่กว่าเดิม จริง ๆ
Start Screen มันก็ไม่ได้แย่หรอกครับ ปุ่มใหญ่ สังเกตุง่าย สวยงาม น่ากด พลาดแค่อย่างเดียวคือมันเป็น Full screen เท่านั้นเอง มันน่ารำคาญที่เหมือนทุกอย่างต้องหยุดชงักลง เพียงเพราะแค่เราจะกด Start จากเมื่อก่อนที่มันดูรวดเร็วและไม่เบียดบังงานอื่น ๆ แต่พอตอนนี้แบบเก่าแบบใหม่ถูกผนวกเข้าด้วยกันใน Windows 10 มันก็สมบูรณ์แล้วครับ
ตอนที่กำลังมองหาอะไรสักอย่างใน Start Menu นี่ มีเวลาคิดและดูส่วนอื่น ๆ ของหน้าจอด้วยเหรอครับ ?
คือผมว่ามันชะงักหมดแหละไม่ว่ามันจะปิดหน้าจอไปกี่เปอร์เซนต์ :)
อย่างที่ยกตัวอย่างไปข้างบน
ถ้าเรียกใช้ตัวที่เราคุ้นเคยอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องมองไปที่มุมล่างด้วยซ้ำไป
แต่ยังไงต้องขอบคุณที่มีโปรแกรมอย่าง
Classic Shell มาช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น