Tags:
Topics: 
Node Thumbnail

ถึงแม้จะไม่ได้มีญาณวิเศษหยั่งรู้ ไม่ได้มีตาทิพย์ และพลังพิเศษแบบมนุษย์กลายพันธุ์หรือยอดมนุษย์จากดาวอันไกลโพ้น แต่นักวิจัย MIT และ Georgia Tech ก็อ่านข้อความในหนังสือได้โดยไม่ต้องเปิดมันออกมา เบื้องหลังของความน่าทึ่งนี้คือการทำงานด้านรังสีและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ด้านการวิเคราะห์ภาพอักขระ

การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อการ "ส่องผ่าน" วัตถุนั้นเป็นเรื่องที่มีการค้นพบและประยุกต์ใช้งานกันมานานเกินกว่าศตวรรษแล้ว คลื่นที่ใช้เพื่อการนี้อันเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคงหนีไม่พ้นรังสี X ซึ่งถูกค้นพบเมื่อปี 1895 โดย Wilhelm Röntgen ซึ่งจนทุกวันนี้รังสี X ก็ยังถูกนำมาใช้เพื่อส่องดูสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเพราะถูกบางสิ่งบดบังอยู่ ทั้งที่ใช้เพื่อการแพทย์, งานด้านความมั่นคง, งานตรวจสอบซ่อมบำรุงสิ่งต่างๆ ตลอดจนงานค้นคว้าวิจัย

alt=

แต่ใช่ว่ารังสี X จะช่วยให้มองเห็นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง และหนึ่งในสิ่งที่รังสี X มองไม่ได้ ก็คือข้อความจากหมึกพิมพ์บนกระดาษที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ เพราะพลังงานของมันที่สูงเกินไปทำให้รังสีส่องทะลุผ่านเนื้อกระดาษและหมึกพิมพ์ข้อความได้หมดจนไม่อาจมองแยกแยะได้ และนี่คือที่มาที่ไปของการใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในอีกช่วงความถี่ที่เรียกว่ารังสีเทราเฮิรตซ์มาทำหน้าที่นี้แทน

"รังสีเทราเฮิรตซ์" คืออะไร?

รังสีเทราเฮิรตซ์ คือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นในช่วง 100 ไมโครเมตร จนถึง 1 มิลลิเมตร (ความถี่ตั้งแต่ 300 GHz ถึง 3 THz) ซึ่งเป็นช่วงความถี่รอยต่อระหว่างช่วงคลื่นอินฟราเรดและคลื่นไมโครเวฟ

alt=

พลังงานของคลื่นรังสีเทราเฮิรตซ์ในช่วงความถี่ 550 GHz ถึง 1 THz นั้นสามารถส่องผ่านเนื้อกระดาษได้ แต่ทว่าจะถูกลดทอนในระดับที่สังเกตได้เมื่อรังสีตกผ่านกระดาษในบริเวณที่มีหมึกพิมพ์เอาไว้ ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมการใช้รังสีเทราเฮิรตซ์จึงสามารถตอบโจทย์การอ่านข้อความบนกระดาษที่ถูกปกปิดไว้ได้ในขณะที่รังสี X ทำไม่สำเร็จ

Barmak Heshmet นักวิจัยผู้นำทีมของ MIT Media Lab ซึ่งเป็นทีมงานวิจัยด้านเทคโนโลยีสื่อ ได้อธิบายถึงโจทย์สำคัญงานวิจัยที่ต้องการท้าทายอ่านหนังสือโดยไม่ต้องเปิดมันขึ้นมา ซึ่งแม้โจทย์ข้อแรกในการหาคลื่นที่เหมาะสมที่สามารถส่องผ่านกระดาษและแยกแยะบริเวณที่มีหมึกพิมพ์จะถูกแก้ได้ด้วยรังสีเทราเฮิรตซ์แล้ว แต่การที่จะ "อ่านหนังสือ" ได้นั้นย่อมหมายถึงผู้อ่านต้องไล่เรียงเนื้อความได้ ผู้อ่านต้องสามารถรับรู้ได้ว่าข้อความแต่ละประโยคที่เห็นนั้นอยู่บนกระดาษแผ่นไหน หน้าใดกันแน่ และนี่คือโจทย์ข้อถัดมาที่สำคัญ

หนทางในการพิชิตอุปสรรคเรื่องการแยกแยะและลำดับแผ่นกระดาษนี้คือการวิเคราะห์คลื่นสะท้อนจากหนังสือโดยอาศัยผลพวงความก้าวหน้าของงานวิจัยด้านการถ่ายภาพความถี่สูง (สูงระดับล้านล้านเฟรมต่อวินาที สูงเสียจนจับภาพการเคลื่อนที่ของอนุภาคแสงให้เห็นกันได้แบบจะๆ) ทำให้ MIT มีระบบเซ็นเซอร์และระบบวิเคราะห์ที่ไวต่อคลื่นสัญญาณอันแสนละเอียดอ่อนได้ ซึ่งเทคนิคที่ทีมวิจัยใช้คือในการส่องรังสีเทราเฮิรตซ์เพื่อดูเนื้อความในหนังสือ ก็จะทำการส่งคลื่นแบบเป็น pulse เพื่อใช้แยกแยะหน้ากระดาษควบคู่ไปด้วย คลื่นแบบที่ว่านี้จะถูกสะท้อนกลับมาบางส่วนโดยชั้นของอากาศที่คั่นกลางอยู่ระหว่างแผ่นกระดาษ ซึ่งเมื่อวิเคราะห์คลื่นสะท้อนเหล่านี้ได้แล้วก็จะทำให้ทีมวิจัยสามารถรับรู้ได้ว่าข้อความที่ระบบคอมพิวเตอร์มองเห็นนั้น เป็นข้อความที่ปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นไหน

โจทย์ข้อสุดท้ายของงานวิจัยอ่านข้อความจากหนังสือที่ปิดอยู่นี้ คือการทำให้คอมพิวเตอร์มีความความเข้าใจตัวอักษรที่มองเห็นด้วยรังสีเทราเฮิรตซ์ ซึ่งจุดนี้เป็นหน้าที่ของอัลกอริทึมที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย Georgia Tech ให้รู้จักวิเคราะห์ตัวอักษรที่ปรากฏในภาพถ่ายรังสีได้ โดยแม้ว่าในการทดลองจะมีภาพตัวอักษรจากกระดาษหลายแผ่นปรากฏเป็นเงาซ้อนกันหลายชั้น แต่คอมพิวเตอร์สามารถแยกแยะองค์ประกอบส่วนโค้งเว้าและแนวเส้นต่างๆ ของตัวอักษรที่มีความเลือนรางหลายระดับแตกต่างกันได้ ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถอ่านข้อความได้อย่างแท้จริงในท้ายที่สุด

alt=

งานวิจัยของ Heshmet นี้สามารถช่วยให้อ่านข้อความจากกระดาษที่ซ้อนกัน 9 แผ่นได้ การจะทำให้ตัวเลขผลลัพธ์เพิ่มมากขึ้นยิ่งกว่านี้จำเป็นต้องอาศัยพลังงานรังสีเทราเฮิรตซ์ที่สูงขึ้น ควบคู่ไปกับเทคนิคการวิเคราะห์คลื่นที่จะต้องดียิ่งกว่านี้ เพราะคลื่นสะท้อนจากชั้นอากาศระหว่างแผ่นกระดาษที่อยู่ลึกลงไปเกินกว่าแผ่นที่ 9 จะยิ่งมีกำลังอ่อนลง ทำให้ไม่อาจกรองมันแยกออกจากสัญญาณรบกวนได้ ส่งผลให้นักวิจัยไม่อาจทำการวิเคราะห์คลื่นได้สำเร็จ

บางคนอาจนึกประหลาดใจว่างานวิจัยนี้ จะนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์อะไรได้บ้าง เพราะดูเหมือนว่าการเปิดหนังสือพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยเพื่ออ่านข้อความนั้นจะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับมนุษยชาติ แต่แท้จริงแล้วงานวิจัยนี้ก็มีงานที่เหมาะกับมันอยู่ ตัวอย่างเช่นการใช้เพื่อการศึกษาวัตถุหรือบันทึกโบราณ ซึ่งอย่างน้อยในตอนนี้ก็มีพิพิธภัณฑ์ The Metropolitan ได้ติดต่อมายังทีมวิจัยเพื่อจะขอนำมันไปใช้สำหรับงานศึกษาหนังสือเก่าแก่อันแสนบอบบาง ที่แม้แต่ภัณฑารักษ์ก็ยังไม่อยากจะแตะมันมากนักด้วยซ้ำ

อันที่จริงงานวิจัยนี้ไม่ใช่งานใหม่ที่เพิ่งประสบความสำเร็จ นักวิจัยสามารถใช้เทคนิคที่ว่านี้เพื่ออ่านข้อความจากกระดาษที่อยู่ในซองปิดผนึกได้สำเร็จเมื่อ 10 ปีก่อนแล้ว แต่ความก้าวหน้าในวันนี้ที่สามารถอ่านข้อความบนหน้ากระดาษที่ซ้อนกัน 9 หน้า คือผลลัพธ์ที่เพิ่มพูนรุดหน้ากว่าทศวรรษที่แล้วมาก และวันหนึ่งอาจนำไปสู่การมองเห็นสิ่งใหม่ที่เปิดปูมประวัติศาสตร์จากบันทึกในอดีตซึ่งไม่เคยมีใครล่วงรู้มาก่อนได้สำเร็จ

ที่มา - MIT News

Get latest news from Blognone

Comments

By: put4558350
Contributor Android Ubuntu Windows
on 10 September 2016 - 03:27 #938946
put4558350's picture

ถ้าเป็นสมัยก่อน คงมีปัญหาเรื่องความเป็นส่วนตัวอย่างมาก แต่เดี่ยวนี้ จดหมายกระดาษแทบไม่มีใครไช้แล้ว

ว่าแต่ ธนาคาร ที่นิยมส่งบัตรเครดิตกับกระดาษpasswordลายสีดำ คงต้องคิดอะไรบ้างแล้วหละ


samsung ใหญ่แค่ใหน ?https://youtu.be/6Afpey7Eldo

By: tekkasit
Contributor Android WindowsIn Love
on 10 September 2016 - 10:07 #938966 Reply to:938946
tekkasit's picture

คือถ้าเข้าถึง physical ได้ จะใช้เทคโนโลยีไฮเทคในแล็บ หรือจะวิธีโบราณฉีกซองเปิดอ่านก็ไม่ได้แตกต่างครับ

By: hisoft
Contributor Windows Phone Windows
on 10 September 2016 - 11:08 #938982 Reply to:938966
hisoft's picture

ฉีกซองอ่านเลยมันยังเห็นว่าซองถูกฉีกนี่ครับ อย่างน้อยก็ต้องใช้ความสามารถในการทำซองใหม่ให้เนียนขึ้นมา

By: zerost
Android Windows
on 10 September 2016 - 15:04 #939011 Reply to:938966
zerost's picture

ความน่ากังวลก็จะเหมือนการแฮคแบบ MiM ไงครับ เราไม่รู้ตัวว่าโดนรู้ความลับไปแล้ว ถ้าซองโดนฉีกก่อนเราก็ยังบอกให้ทำการอายัดหรือเปลี่ยนบัตรและตรวจสอบรายการก่อนได้ ถ้าไม่รู้นี่ก็ใช้ๆไปรู้ตัวอีกทีอาจเสียหายหนักก็ได้

By: itpcc
Contributor iPhone Red Hat Ubuntu
on 10 September 2016 - 10:31 #938971 Reply to:938946
itpcc's picture

ผมนึกถึงการเอาไฟฉายแรงๆ ส่องระหว่างซองหน่ะครับ ถ้าอ่านดีๆ ก็ดูเนื้อในได้โดยไม่ต้องเปิดดูเลย //แต่ถ้าถมดำทั้งสองด้านก็ลาก่อน


บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P

By: 100dej
Android Windows
on 10 September 2016 - 11:18 #938984 Reply to:938946

นักวิจัยสามารถใช้เทคนิคที่ว่านี้เพื่ออ่านข้อความจากกระดาษที่อยู่ในซองปิดผนึกได้สำเร็จเมื่อ 10 ปีก่อนแล้ว แต่ความก้าวหน้าในวันนี้ที่สามารถอ่านข้อความบนหน้ากระดาษที่ซ้อนกัน 9 หน้า คือผลลัพธ์ที่เพิ่มพูนรุดหน้ากว่าทศวรรษก่อนมาก

คือ เขาถึงมีการถมดำไว้ไงครับ

By: Polwath
Contributor iPhone Windows Phone Android
on 10 September 2016 - 07:01 #938952
Polwath's picture

If NSA use it, we will have another huge problem for personal privacy.


Get ready to work from now on.

By: NocM on 10 September 2016 - 10:11 #938968

นึกถึงเครื่องสแกนในอนาคต วางหนังสือทั้งเล่มแล้วสแกนได้เลย ความปลอดภัยคงต้องอาศัยการเข้ารหัส หรือหมึกพิเศษ เปลี่ยนไปตามเทคโนโลยี

By: winit_a on 10 September 2016 - 10:34 #938972

ก็ยังต้องใช้ตาในการอ่านน่าจะเป็นอ่านหนังสือได้แม้ไม่ต้องเปิดหนังสือ

By: soginal
Android In Love
on 10 September 2016 - 12:12 #938989
soginal's picture

ผมว่าเราควรมี tag #jusci

By: Sephanov
iPhone Ubuntu
on 10 September 2016 - 12:35 #938996
Sephanov's picture

บอกไว้เป็นข้อมูล ในปี 2015 เคยทำได้กับการอ่านม้วนจารึกโบราณครับhttp://www.bbc.com/news/science-environment-30888767

By: eptc on 10 September 2016 - 13:13 #938999

ต่อไป​น่าจะ​มีแว่นตาเอ็กซ์​เรย์​ มองปุ๊ปรู้เลยว่าข้างในมีอะไรคงช่วยให้เห็นคนที่ซุกระเบิดได้

By: mrBrightside
iPhone Windows
on 10 September 2016 - 13:55 #939005 Reply to:938999

ปรากฎว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่มีแค่ 0.1% ที่เอาไปใช้ตรงวัตถุประสงค์

By: gab
Windows Phone Android Windows
on 11 September 2016 - 00:30 #939126 Reply to:939005
gab's picture

ผมนี่นึกถึงโหมด infared ของกล้อง sony ในตำนานเลย

By: Hadakung
iPhone Windows Phone Android Windows
on 10 September 2016 - 16:41 #939031 Reply to:938999

ต้องเสียบการ์ดกับใช้ไฟฟ้าสถิตย์ในตัวคนไหมครับ จะได้ไปพักผ่อนให้พอเหมาะ :P

By: Kittichok
Contributor
on 10 September 2016 - 19:26 #939067

วัตถุประสงค์ตรงกับที่คิดไว้เลย และอ่านความคิกเห็นของคนอื่นแล้วก็น่าเอาไปประยุกต์ใช้อย่างอื่นได้ (ไม่ว่าจะสร้างสรรค์หรือไม่ก็ตาม)

By: Virusfowl
Contributor Android Symbian Windows
on 13 September 2016 - 03:28 #939670

เป็นเทคโนโลยีที่ "ก้าวหน้า" จริงๆ ครับ :D


@ Virusfowl

I'm not a dev. not yet a user.