Craig Federighi หัวหน้าฝ่ายวิศวกรรมซอฟต์แวร์ของแอปเปิล ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ The Wall Street Journal ในประเด็น ระบบสแกนภาพอนาจารเด็ก ในโทรศัพท์ (CSAM) ซึ่งมี กระแส ตีกลับ แสดงความกังวล อยู่มาก แม้แต่ใน กลุ่มพนักงานของแอปเปิล เอง
โดย Craig บอกว่ากระแสตอบรับที่ออกมามีความเข้าใจในด้านลบอยู่มาก เขาจึงอยากชี้แจงให้ทุกคนเห็นข้อดีและเข้าใจสิ่งที่แอปเปิลทำอยู่ ประเด็นแรกคือแอปเปิลเปิดตัว 2 ฟีเจอร์ใหม่พร้อมกัน นั่นคือ ระบบสแกนภาพโป๊เด็ก ที่มีการอัปโหลดขึ้น iCloud และ ระบบวิเคราะห์หาภาพโป๊ใน Message สำหรับผู้ปกครองใช้ตรวจสอบเด็ก โดยสองฟีเจอร์นี้ทำงานแยกขาดจากกันเด็ดขาด ไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด
Craig ลงรายละเอียดของส่วนการสแกนภาพโป๊เด็ก โดยย้ำว่าจะสแกนเฉพาะภาพที่อัปโหลดขึ้น iCloud เท่านั้น จึงไม่มีการสแกนหาภาพที่ระดับโทรศัพท์ และระบบจะตรวจจับภาพที่เข้าข่ายโดยจับคู่กับฐานข้อมูลภาพโป๊เด็กที่มี ซึ่งมาจากองค์กรที่มีการตรวจสอบข้อมูล และต้องมีจำนวนภาพถึงระดับหนึ่งเท่านั้น (ในข่าวระบุว่า 30) แอปเปิลจึงจะได้รับการแจ้งเตือนเพื่อเข้าไปตรวจสอบบัญชี ฉะนั้นรูปที่ไม่เข้าเกณฑ์เช่น ภาพลูกที่บ้านนั่งเล่นในอ่างอาบน้ำ ซึ่งมีคนตั้งคำถามเป็นจำนวนมาก หรือภาพโป๊อื่น ๆ ก็จะไม่ถูกตรวจสอบในกรณีนี้ รวมทั้งรูปในฐานข้อมูลที่อ้างอิงก็เป็นหน่วยงานที่ทำด้าน CSAM โดยเฉพาะ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีการสอดแทรกข้อมูลเพื่อตรวจสอบในแง่อื่นหรือไม่
ส่วนระบบของ Message ที่ให้ผู้ปกครองรับการแจ้งเตือนเมื่อเด็กรับส่งภาพโป๊นั้น การแจ้งเตือนจะส่งให้กับผู้ปกครองเท่านั้น แอปเปิลจะไม่รับทราบเรื่องนี้ และผู้ใช้ต้องกดยินยอมก่อนการใช้งาน
ที่มา: The Wall Street Journal
Comments
สุดท้ายก็พูดวนไปวนมาอยู่ที่เดิม ไม่ได้ตอบคำถามที่เค้าอยากรู้กันว่ากระบวนการนี้น่าเชื่อถือขนาดไหน รูปที่ผิดพลาดจะจัดการยังไง อนาคตจะแอบสอดไส้อะไร
หมายถึง iMessage หรือ Message นะครับ?
คงหมายถึง แอพ Messages
ถ้าเอาตามนี้ https://support.apple.com/en-us/HT206906
ใช้แอพ iMessage โดยการเปิดแอพ Messages
ขอบคุณครับ ??
ตอนนี้อาจจะตั้งให้สแกนแค่ตอนขึ้น iCloudจะให้สแกนในเครื่องหรือไม่มันก็แค่นิดเดียว
ตอนแรกบอกสแกนจากฐานข้อมูลบนตัวเครื่องก่อนอัพโหลด คราวนี้บอกไม่ได้สแกนในระดับตัวเครื่อง ยังไงกันแน่ล่ะครับนี่
เด็กที่ว่านี่คือต้องเด็กมากๆใช่มั้ย ระดับประถมถ้าระดับม.ปลายกับมหาลัยนี่รู้สึกร่างกายแทบจะไม่แตกต่าง นอกจากทรงผมและชุด
ยิ่งตอบก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าไม่เห็นหัวลูกค้าและจะดันทุรังทำต่อไปแม้ว่าจะมีเสียงทัดทาน แถมยังด่าลูกค้าว่าเข้าใจผิดเป็นด้านลบเองอีก ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่เรื่องภาพโป๊เด็ก แต่มันอยู่ที่แอปเปิลถือวิสาสะอะไรมาตั้งตัวเป็น "ผู้ตรวจการตรวจสอบข้อมูลและพฤติกรรมของลูกค้า-เพื่อจับผิด" แถมยังมีการรายงานออกไปหน่วยงานภายนอกอีก มันใช่หน้าที่ไหม? ที่สำคัญ คือ มาสแกนในเครื่อง แม้จะแถไปว่าสแกนก่อนจะถูกอัปโหลด มันก็คือสแกนในเครื่องนั่นแหละ โทรศัพท์คนใช้ซื้อขาดไม่ได้เช่าแอปเปิลใช้ เราจะเอาไปทำอะไรก็เรื่องของคนซื้อไหม คุณไม่มีอำนาจหน้าที่มาตรวจสอบพฤติกรรมของเรา มันคือการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างน่ารังเกียจ กูเกิลที่ถูกโจมตีมาตลอดว่าเอาข้อมูลผู้ใช้ไปหากินยังน่าเคารพกว่าเพราะอย่างน้อยเขาก็กระทำอย่างเปิดเผย ไม่ใช่มาแอบอิงเรื่องภาพโป๊เด็กแล้วได้ big data ไปฟรี ๆ ทั้งที่คนใช้จ่ายเงินแพงกว่าเพื่อ privacy ในฐานะคนใช้แมคมาเกิน 15 ปี และใช้ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของแอปเปิลแทบทุกอย่าง โทรศัพท์เครื่องถัดไปขอพิจารณาใช้แอนดรอยด์แทน อย่างน้องเราก็ได้ consent เอง ว่าจะให้กูเกิลล้วง ไม่ใช่จ่ายแพงกว่าเพื่อให้ล้วงฟรีแบบนี้
กรณีนี้ ผมเคยย้ายไป Android รุ่นท็อปยี่ห้อหนึ่งเมื่อสองสามวันก่อน แต่ยังไม่ได้ขายไอโฟนทิ้ง เพราะจะลองใจตัวเองก่อนว่ารับได้ไหม ที่ย้ายก็เพราะไอ้ข่าวนี้แหละ ผมกังวลจริงๆ
สรุปคือ ขายทิ้งครับ แต่เป็น Android เพราะผมชินกับการใช้งานฝั่งแอปเปิลไปแล้ว ปรับตัวยังไงก็ไม่ได้แล้ว ผมเซ็งตรงนี้แหละครับ
ส่วนเรื่องนี้ จากข่าวก่อนๆ เป็นไปได้ว่าที่ต้องออกมาแถแบบนี้ คงต้องถูกบีบจากรัฐบาลแบบปฏิเสธไม่ได้ เพื่อแลกกับอะไรบางอย่างที่แอปเปิลเผชิญอยู่หรือเปล่า เช่น เรื่องผูกขาดบริการของแอปเปิลเอง เป็นต้น และที่ผ่านมาก็รู้ๆกันว่าแอปเปิลจะไม่ยอมรับความจริง จนกว่าคนจะต่อต้านหรือด่าทั้งโลกเหมือนคราวที่ลดความเร็วเครื่องเมื่อสุขภาพแบตต่ำกว่า 80% ถึงจะยอมรับความจริงและแก้ไข ผมคิดว่าอย่างนั้น
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
สอบถามเป็นความรู้ครับว่าจุดไหนที่คิดว่าการใช้ android ยากกว่า iphone เท่าที่เข้าใจมันแทบจะเหมือนกันทุกจุดสำหรับ user ทั่วไปไม่น่าจะมีอุปสรรคอะไรทำให้การใช้งานมันยากเย็นขึ้นนะครับ
สำหรับผม เป็นที่แอพจากภายนอกที่ทำให้ iOS กลับให้ความรู้สึกดีกว่าเมื่อเทียบกับการใช้ Android ตัวอย่างง่ายๆก็ Facebook สำหรับ iOS มันสามารถอ่านโพสต์สลับไปมาได้ แม้จะไปดูหมวดกลุ่ม แจ้งเตือน หรือหน้าฟีด ก็ยังสลับมาอ่านโพสต์เดิมๆได้ แต่ของ Android ทำไม่ได้ครับ พอกดสลับไป ถ้ามันไม่อยู่ที่เดิมก็โดนรีขึ้นไปบนฟีดใหม่ ผมไม่ชอบในส่วนนี้ครับ
อย่างที่ 2 ก็พวกแอพที่เกี่ยวกับดนตรี โดยเฉพาะ GarageBand เป็นจุดตายที่ผมย้ายออกไม่ได้ เพราะช่วงเครียดๆผมก็เอามาเล่นเพลงแก้เซ็งได้ เข้าใจง่ายด้วย และพวกแอพร้องคาราโอเกะทั้งหลาย ผมยังโอเคกับฝั่ง iOS มากกว่า เพราะดีเลย์ต่ำสุด
อย่างที่ 3 ผมยอมรับว่าผูกพันกับ iOS มานานมากตั้งแต่ตอนใช้ iPad 3 , iPod Touch 5 แล้วสลับไปใช้ Android บ้าง แต่สุดท้ายก็กลับมาตายรังกับ iOS ทุกรอบ เพราะผมยอมรับมันได้เกือบทั้งหมด ไม่ค่อยชอบเน้นปรับแต่งอะไรเท่าไหร่ด้วย เน้นระบบที่มันมีมาให้ ก็ใช้เท่าที่มันให้มาครับ
อย่างที่ 4 ชอบฟอนต์ ธนบุรี ของตระกูล iOS/Mac ที่สุดแล้ว เพราะมันอ่านง่าย สบายตา ไม่เหมือนฝั่ง Android ที่ทุกวันนี้ในภาษาไทยยังใช้ฟอนต์ Droidsans อยู่ แม้ว่ามันจะเปลี่ยนฟอนต์ได้ในบางยี่ห้อ บางอันเปลี่ยนยันฟอนต์ธนบุรีได้ แต่สไตล์การใช้โดยรวมผมยังชอบฟอนต์ที่ iOS ตัว ธนบุรี อยู่ดีครับ
อย่างสุดท้าย สำคัญสำหรับผมมาก เรื่องการใช้พวกแอพ Messenger , LINE , Discord บน iOS เวลาเข้าไปสนทนาแบบเสียง สำหรับ iOS จะมองว่าแบบนี้เป็นเสมือนโหมดโทรศัพท์ ถ้าหากแอพอื่นแจ้งเตือนขึ้นมาในโหมดโทรศัพท์ เช่น มีคนโทร LINE เข้ามาในระหว่างที่ใช้ Discord มันจะตัดเสียงการสนทนาของ Discord ทันทีเมื่อรับสาย LINE และหลังวางสายจาก LINE ระบบจะต่อการสนทนากลับมา Discord อีกครั้ง โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าผมจะหลุดพูดอะไรออกไปในระหว่างที่โทรคุยไหม เพราะ Android มันรับสายซ้อนกันคุยซ้อนกันได้ ไม่ปรับเป็นโหมดโทรศัพท์แบบ iOS จุดนี้ผมถึงยังใช้มันอยู่ครับ
สำหรับไอ้เรื่องความเป็นส่วนตัวนั้น ผมก็ไม่โอเคกับสิ่งที่ Apple ทำ แต่ทำไงได้ มันไม่มีทางเลือกให้ผมเลย ย้ายไปแล้วต้องกลับมาเพราะผมไม่ชอบ Android เหมือนในอดีต และเคยชินกับ iOS ไปแล้วครับ
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
เห็นด้วยอย่างมากเรื่องฟอนต์ เพราะฟอนต์มาตรฐานของทั้ง android และ windows น่าเกลียดมาก ผมรับไม่ได้เลยจริง ๆ ตัวอักษรบูดเบี้ยวไม่สมส่วน ขนาดสระ/วรรณยุกต์ก็ผิดเพี้ยน และไม่เคยแก้ไข แต่ก่อนฟอนต์มาตรฐานบนแมคก็ไม่สวย จนเปลี่ยนมาใช้ Thonburi สมส่วนสวยงามทั้งบนหน้าจอและบนกระดาษ มันแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดของแอปเปิล บอกตามตรงจะกลับไปใช้แอนดรอยด์ก็กระดาก และคงขัดใจทุกวันกับ droidsans หน้าตาอุบาทว์ ส่วนคอมพิวเตอร์ ผมกลับไปใช้ windows ไม่ได้อีกแล้ว มาไกลเกินจะกลับ
สำหรับเรา ตั้งแต่เลือกซื้อเครื่องเลย เจ้านู้นมีปัญหานี้ เจ้านี้มีปัญหานู้น บางอย่างมาเจอตอนที่ใช้เครื่องไปแล้ว
ปัญหากวนใจต่างๆก็รู้สึกมันเยอะกว่าใช้แล้วรู้สึกต้องคิดเยอะต้องมี action ที่เยอะกว่า
ยกตัวอย่างที่เจอเลยก็ เอาให้ผู้ใหญ่ใช้ อาทิตย์นึงจะต้องมีและ นู้นนั้นนี่เป็นอะไร ทำไมมันไม่ได้ ทำไมมันอย่างนู้นอย่างนี้แต่กับ ไอโฟน นานๆที จะมาถามที ว่ามันเป็นอะไร
อันนี้ขอแชร์ประสบการณ์ครับ
อย่างแรกคือผมชิน Keyboard 3 แถวครับ แบบ iPhone หน้าจอเล็กๆแบบนั้นแหละ ลองหาใน Android นี่หาไม่เจอเลย (แต่ไม่ได้ช่วยให้ผมพิมพ์เร็วเลยนะ เชื่อว่า Swipe ยังเร็วกว่า)อย่างที่สองคือผม Sync playlist กับ iTunes พอมาลองพวก Doubletwist อะไรพวกนี้รู้สึกมันไม่ค่อยครบยังไงไม่รู้ สรุปคือโดน Apple ขังใน Ecosystem นี่แหละ
ที่หนักสุดสำหรับผมเลยคือไม่มี Tweetbot ใช้แล้วค่อนข้างหงุดหงิดเลย
แต่หลายอย่างก็ชอบกว่า iPhone มากเช่น Dex mode, File explorer, Hardware ที่ดูเหนือกว่า
2-3 วันนี่อาจจะให้เวลาน้อยไปนิดนึงสำหรับการเปลี่ยนความคุ้นเคยนะครับ แต่ก็ตามความสะดวกของแต่ละคนล่ะครับ คิดในแง่ดีว่าระบบนี้มันยังไม่มีแพลนเปิดตัวในไทย
+1
ชีวิติไม่ยาก ทำจริงก็รอเตรียมย้ายกลับ Android ก็แค่นั้น
ซื่อโทรศัพท์มาแล้ว ก็ยังต้องให้เอเปิลดูแล แม้กระทั้งด้านความปลอดภัย เอเปิลก็จะดูให้อย่างเต็ม สแกนไปเลย
ถึงมันอาจจะเป็นเรื่องไม่ดีแต่เข้าไปยุ่งเยอะมากๆคนก็ไม่ไว้ใจนะ
จะรู้ได้อย่างไรว่ารูปไหนเป็นภาพโป๊ รูปไหนเป็นถ่ายลูกตัวเอง
นั้น apple ก็ต้องเข้ามาดูเพื่อแยกแยะอยู่ดี จะบอกว่าตอนดูปิดตาไว้แล้วว่างั้น ?
ถ้าอิงกับค่า hash แล้วถ้าภาพถูกแต่งล่ะ ภาพถูกใส่ฟิลเตอร์ hash มันจะไม่เปลี่ยนหรอ
ยกเลิก iCloud ก่อนละกัน
แค่ iCloud กับ Message?
ยังไงสุดท้ายระบบนี้จะเกิดประโยชน์สูงสุดก็ต้องขยายการแสกนไปให้มากกว่านี้อยู่ดี ถ้า Apple คิดจะผลักดันเรื่องนี้จริงๆ (ไม่ใช่แค่ทำไปงั้นๆเพื่อลดแรงกดดัน) ยังไงมันก็ต้องขยายไปแทบทุกระบบแน่นอน
แค่รูปโป๊เด็กในฐานข้อมูล CSAM?
ไม่มีอะไรมาการันตีว่าจะจบแค่นี้ เมื่อมีแสกนหนึ่งอย่างแล้ว จะเพิ่มแสกนสองอย่างสามอย่างมันก็เป็นเรื่องง่าย แค่หาข้ออ้างหรูๆแบบที่ Apple ถนัดแบบในกรณีนี้ก็ได้แล้ว