ต่อจากข่าว Apple แพ้คดีสิทธิบัตร FaceTime ถูกปรับมากกว่า 300 ล้านดอลลาร์ ทางบริษัท VirnetX ที่ฟ้องชนะคดีแอปเปิลก็ยังเดินหน้าต่อไป โดยยื่นฟ้องคดีใหม่ เพิ่มสินค้าใหม่ๆ ของแอปเปิลอย่าง iPhone 5, iPad mini, iPad 4 และแมคอินทอชที่เพิ่งเปิดตัว
VirnetX ให้เหตุผลว่าสินค้ารุ่นใหม่ๆ ของแอปเปิลก็ใช้เทคโนโลยี FaceTime ที่ละเมิดสิทธิบัตรของตัวเองเช่นกัน ก่อนหน้านี้ VirnetX เคยชนะคดีไมโครซอฟท์มาแล้วในปี 2010 ได้เงินจากไมโครซอฟท์ไปแล้ว 200 ล้านดอลลาร์ และนอกจากนี้ก็ฟ้อง Cisco, Avaya, Siemens ด้วยสิทธิบัตรชิ้นเดียวกัน คดีของสามบริษัทนี้จะเริ่มไต่สวนในเดือนมีนาคม 2013
สิทธิบัตรเจ้าปัญหานี้เกี่ยวกับการใช้ DNS ในการสร้าง VPN ให้ผู้ใช้เชื่อมต่อเข้ามายังบริการออนไลน์
Kendall Larsen ซีอีโอของ VirnetX แถลงข่าวเรื่องนี้ว่าพอใจกับผลคดีที่ชนะแอปเปิลมาก และแสดงให้เห็นว่าสิทธิบัตรของบริษัทมีความสำคัญมากแค่ไหน
ที่มา - The Guardian
Comments
ไม่ต้องทำมาหากินละ ขายสิทธิบัตรกินดีกว่า 55555+
Educational Technician
สมควรแล้ว
คงจะมีแต่คนสะใจ
เต็มๆ แน่นๆ หนักๆ เน้นๆ ข่าวต่อไป.... แอปเปิลส่งคนเจรจาซื้อบริษัท VirnetX แล้ว
+100 เยอะดีนักซื้อแม่งเลย 55555
เดี๋ยวไปเอาคืนกับซัมซุง
ซื้อไปเลยสิ apple รวยอยู่แล้วนิ
ทนายมันห่วย ไปจ้างทนายของ samsung แทนดีก่า
ขนหน้าแข้งไม่ร่วง
"เราทำสินค้าที่ลูกค้ามีความพึงพอใจจะใช้มัน ไม่ได้ผลิตมันเพื่อให้คู่แข่งเอาไปลอกเลียนแบบ.." จากแถลงการณ์แอปเปิลในอดีต ;)
my blog
คดีนี้ผมคิดว่าไม่ใช่การลอกเลียนแบบครับ แต่บังเอิญกระบวนการทำงานมันไปตรงกับเจ้าของที่มีอยู่ด้วยมาก่อนมากกว่า
"สิทธิบัตรเจาปัญหานี้เกี่ยวกับการใช DNS ในการสราง VPN ใหผูใชเชื่อมตอเขามายังบริการออนไลน"
:pokerface: วันก่อนแอปเปิลก็เพิ่งได้สิทธิบัตรมุมแท็บเบล็ตมน
:america:
:genius:
Dream high, work hard.
เข้าแถวครับ... ไม่ต้องแซงคิว Apple, Cisco, Avaya, Siemens จัดเต็มทุกคนครับ
อย่าไปยอมมันแอปเปิล
ทำไมกูเกิลไม่โดนล่ะ หรือไม่มีฟีเจอร์วิดีโอคอล ?
ความเห็นส่วนตัว สิทธิบัตรมันน่าจะคุ้มครองหรือเรียกค่าเสียหายแก่บริษัทที่พัฒนาผลิตภัณฑ์จริงๆ ถ้าหากถือไว้แต่ไม่ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ก็สามารถคุ้มครองได้ แต่ควรที่จะไม่สามารถฟ้องร้องค่าเสียหายได้ เพราะบริษัทไม่ได้รับผลกระทบใดจากการละเมิดสิทธิบัตร (เพราะบริษัทไม่มี product ตัวนั้น และก็ไม่ได้มีส่วนได้เสียในการทำเงินจากมัน)
เพราะขืนเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ มันก็ยังลอยนวลต่อไป พวก Patent Troll ทั้งหลาย ไม่สร้างสรรคนวตกรรมอะไรให้แก่โลกแถมทำตัวเป็นปลิงอีก
+1
Coder | Designer | Thinker | Blogger
เห็นด้วยครับ แต่บางเรื่องอย่างการผลิตยา ต้องรอบริษัทยามาซื้อสิทธิบัตรนะครับ นักวิจัยทั่วไปไม่มีปัญญาผลิตขาย
เห็นด้วยครับ
+1
Dream high, work hard.
แต่ในทางปฏิบัติจริงมันก้อแยกคนดีกับคนร้ายยากนะครับ บางบริษัทอาจจะจดไว้และตั้งใจพัฒนาจริงๆ แต่ไม่มีเงินทุนหนาเท่าบริษัทดังๆ หรือ ทีมการตลาดไม่เก่งเท่า เลยคลานเตาะแตะๆไป หรือ บางบริษัทอาจมีผลิตใช้เฉพาะกลุ่ม แต่ scope ตลาดไว้แค่นั้น ไม่เน้น mass จะโดยเหตุผลอะไรก้อตาม ปัญหาคือ จะมีวิธีการอย่างไรปกป้อง บ. พวกนี้ด้วยน่ะครับ
+1
แต่ก่อนผมก็เคยคิดแบบคุณ Perl ครับ แต่พอรู้อะไรมากขึ้นก็เลยทำให้เข้าใจว่าบางทีบริษัท R&D พวกนี้บางบริษัทควรได้รับเครดิตมากกว่าบริษัทที่นำไปใช้(โดยบริษัท R&D นี้ได้รับผลประโยชน์หรือไม่ก็ตาม) แล้วอยู่ๆก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างนวัตกรรม และนำ สิ่งนั้น ไปจดเป็นสิทธิบัตร
บริษัทบางบริษัทผลงานเข้าตาและ/หรือมีลูกค้า/คู่ค้าอยู่แล้ว ก็มัก จะ ถูก ซื้อ ทั้งแบบเปิดเผยและลับๆอยู่เสมอ ส่วนบริษัทที่ไม่มีแรงกดดันแก่บริษัทใหญ่ๆมากพอก็จะไม่ถูกซื้อ และถูกนำผลงานมาใช้อาจจะอย่างฟรีๆ หรือจ่ายค่าทดแทนเล็กน้อย
บริษัทพวกนี้บางทีอาจเรียกได้ว่าเป็นผู้สร้าง possibility ให้กับวงการไอทีที่แท้จริง
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
กรณีอื่นๆ เห็นด้วยครับ
แต่กรณีที่เป็นข่าวนี่ไม่เห็นด้วยอ่ะ เพราะมันพื้นฐานเกินไปมากๆ กรณีนี้อยากจะโทษไปที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ มากกว่า ... ปล่อยมาได้ไงเนี่ย
เพราะต่อให้เป็นบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์เป็นของตัวเอง แต่สิทธิบัตรที่ถือครองอยู่มันพื้นฐานเกินไป แล้วก็เที่ยวเอาสิทธิบัตรพื้นๆ ไปไล่ฟ้องเจ้าอื่นแบบนี้ก็เข้าข่าย patent troll เหมือนกัน
สรุปสั้นๆ คือ troll หรือไม่ ผมมองไปที่สิทธิบัตรชิ้นนั้นๆ + พฤติกรรมการฟ้องมากกว่า
กรณีที่เป็นข่าวไม่เห็นด้วยเหมือนกันครับ แต่พอดีคุณ Perl กล่าวไว้รวมๆเลยต้องแสดงความเห็นหน่อยหน่ะครับ
US Patent Office นี่ f*****g **tarded จิงๆ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ข่าวต่อไป ซัมซุง ซื้อ VirnetX
VirnetX สรุปมันทำอะไรขายกันเนี่ย
มันไม่ง่ายเลยที่จะทำ GIF ให้มีขนาดน้อยกว่า 20kB
ทำสิทธิบัตรครับ ขายกระดาษไม่มีตัวสินค้า ( แซว )
ถอดออกจาก iOS ไปเป็น App แบบ iBook จะดีกว่ามั้ย จะได้อ้างจ่ายค่าปรับได้น้อยลง เพราะไม่ได้ติดตั้งทุกเครื่อง
พฤติกรรมแบบนี้ดูคุ้นๆ แค่เปลี่ยนคนฟ้องกับคนถูกฟ้องเป็นเจ้าอื่น มันคงจะมีอยู่ต่อไปจนกว่าระบบสิทธิบัตรที่อเมริกาจะปรับปรุง นี่ถ้าไม่ใช่เพราะอเมริกาเป็นตลาดที่ใหญ่เบ้อเร่อบ้าร่าที่สุดคงไม่มีใครแคร์เลยมั้งจะฟ้องก็ฟ้องไป
...iPhone 6 , iPad 5 ออกมาก็จ่ายกันอีกรอบ เพราะมี Facetime เหมือนเดิม
ได้ใจใหญ่เลยนะ
Mac ก็ Facetime ได้
งี้ก็เละสิครับ...
Dream high, work hard.
หุหุ