Jeff Bezos เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก เรารู้จักเขาดีในฐานะผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Amazon บริษัทอีคอมเมิร์ซชื่อดัง แต่เราอาจไม่รู้ประวัติของเขามากนักเมื่อเทียบกับซีอีโอบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ อย่าง Mark Zuckerberg แห่ง Facebook หรือ Steve Jobs แห่ง Apple
หลายวันที่ผ่านมา Jeff ไปเยือนอินเดีย และเขาได้พูดเกี่ยวกับความสำเร็จของตน โดยเมื่อปี 1986 เขาเรียนจบสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัย Princeton และปฏิเสธข้อเสนองานจาก Intel, Bell Labs และ Anderson Consulting เพื่อไป “นั่งแก้บั๊ก” ที่บริษัทสตาร์ทอัพด้านโทรคมนาคมชื่อ Fitel และทำอยู่ที่นั่นสองปีก่อนจะย้ายไปเป็นโปรแกรมเมอร์ที่ธนาคาร Bankers Trust
ต่อมา เขาวางแผนว่าจะย้ายไปหางานในบริษัทเทคโนโลยีโดยตรง แต่กลับไปได้งานที่บริษัทจัดการกองทุน D.E. Shaw เสียก่อนเพราะคุยถูกคอกับ David Shaw ผู้ก่อตั้งบริษัทที่เป็นคนสายคอมพิวเตอร์เหมือนกัน โดย Jeff ต้องรับผิดชอบการค้นคว้าหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ บนอินเทอร์เน็ต (ซึ่งเป็นของใหม่ในขณะนั้น) และวันหนึ่งขณะการประชุม เขาก็ปิ๊งไอเดียการขายหนังสือทางอินเทอร์เน็ต
ภาพจาก @JeffBezos
Jeff Bezos ได้พูดคุยกับ David Shaw เกี่ยวกับไอเดียการขายหนังสือ แต่ David ไม่เห็นด้วยโดยบอกว่ามันเป็นไอเดียที่ดี...สำหรับคนไม่มีงานทำ แต่ Jeff อยากทำตามไอเดียนี้มาก เลยตัดสินใจลาออกจากงานมาเริ่มทำเว็บไซต์ Amazon ในปี 1995 โดยเขาบอกว่า “ผมรู้ว่าผมจะไม่เสียใจเลย หากได้ลองทำแล้วไม่สำเร็จ” และกลายมาเป็นธุรกิจมูลค่ากว่า 9.26 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 28 ล้านล้านบาท
ที่อินเดีย Jeff ยังบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นใน 25 ปีที่ผ่านมานั้นเกินความคาดหมายของเขาไปมาก “ผมอยากสร้างบริษัท แต่ไม่ใช่บริษัทอย่างที่คุณเห็นทุกวันนี้” เขากล่าว
สุดท้ายเขาบอกว่าถ้า Amazon ไม่ประสบความสำเร็จ เขาคงทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ที่มีความสุขมากๆ อยู่สักแห่งหนึ่ง
ที่มา - CNBC
Comments
น่าจะใช่ คนที่สนุกกะการเขียนโปรแกรม น่าจะไม่ค่อยอยากไปบริหารอะไรซักอย่าง โดยเฉพาะคน แถมใหญ่โตซะขนาดนี้
ตอนนี้ผมเลยเป็นคนรวยที่มีความสุขมากๆ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม
ความรวยมักมาพร้อมกับความเครียด และภาระที่มากมายก่ายกองครับ
ความจนก็มาพร้อมกับความเครียตครับ ขอเครียตแบบรวยๆดีกว่า
แหม่ มาไม่ทัน อยากบอกว่าลองจนแล้วเครียด หรือฐานะปานกลางแล้วเครียดดูมั้ย คนทุกระดับมีความเครียดในแบบของตัวเอง และปัญหาทางการเงินมักเป็น 1 ในความเครียดนั้น จะมากจะน้อยก็แล้วแต่คน
อย่าลืมว่า แม้มีเงินเท่ากัน ปัญหาเหมือนๆ กันแต่ว่าคนแต่ละคนจัดการความเครียดได้ไม่เท่ากัน
ในยุคที่เงินไม่ใช่ทุกอย่างก็จริง แต่เงินช่วยให้ชีวิตมีทางเลือกอีกมาก ให้พ้นทุกข์
Jeff Bezos การันตีได้จาก การหย่ากับภรรยาที่แต่งกันมา 25 ปีแล้วต้องจ่ายไป ราว 2.1 ล้านล้านบาท ถ้าคุณฐานะปานกลางแล้วต้องแบ่งทรัพย์สินเพราะการหย่าร้างแบบครึ่ง-ครึ่ง ... คุณอาจชักหน้าไม่ถึงหลัง หรือกลายเป็นโฮมเลสก็ได้ครับ (ในแคลิฟอร์เนียอ่ะนะ เพราะมันเป็นกฏหมายของที่นั่น)
+1 ครับ
เอาชีวิตให้รอดบนโลกใบนี้มันเครียดหมดแหละ แต่ขอเครียดแบบรวยๆดีกว่า อย่างน้อยเครียดแล้วก็ยังมีเครื่องบรรเทา เจ็บป่วยยังหาทางรักษาได้ ไม่ใช่เครียดแบบจมอยู่กับที่แบบไร้ทางออก
ผมก็อยากจะเครียดแบบว่าวันนี้จะขับรถคันไหนดี วันนี้จะนอนโรงแรมห้าดาวที่ไหนดี วันนี้จะซื้อกันดั้ม PG กี่ตัว ซื้อด๋อยกี่ตัว อะไรแบบนี้อ่ะครับ
ตอนนี้ทำได้แค่ห้ามใจไม่ให้ซื้อ เก็บเงิน ใช้หนี้ จ่ายภาษี ฯลฯ
แก้ไข ไม่เอากันดั้ม PG แล้ว ขี้เกียจต่อ ปวดหลัง
ลองมีที่ดินแล้วไม่รู้ทำอะไรแล้วต้องเสียภาษีที่ดินเยอะๆ ดูสิ ก็จะเครียดไปอีกแบบ
ผมรู้ว่าจะทำอะไร แต่ผมไม่มีที่ดิน อันนี้ก็เครียดเหมือนกัน
อย่างน้อยนั่งร้องไห้ในเฟอร์รารี่มันก็ยังสบายกว่านั่งร้องไห้บนเบาะมอไซอ่ะครับ
รู้สึกเข้าใจอารมณ์แกเลยแฮะ
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของ ลัทธิเจฟ