การประชุม Berkshire Hathaway ในวันศุกร์ที่ผ่านมา Warren Buffett ซีอีโอของ Berkshire และเป็นนักลงทุนชื่อดังระดับโลกได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับ Apple ว่าเป็นบริษัทที่ดีที่สุดในกลุ่มบริษัทที่ลงทุน ซึ่งเขาเชื่อว่า “ไอโฟนมีความจำเป็นต่อผู้ใช้มากกว่ารถคันที่สอง” จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นของ Apple ถึงมีสัดส่วนมากกว่าหุ้นอื่นๆ ใน Berkshire
Berkshire Hathaway ได้เข้าซื้อหุ้นของ Apple ตั้งแต่ปี 2016 ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะออกมาย้ำหลายรอบว่าเขาไม่เข้าใจในอุปกรณ์อย่างไอโฟนเท่าไหร่นัก แต่เขาเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคและการที่ลูกค้ามี loyalty ต่อแบรนด์ได้ดี และบัฟเฟตต์พึ่งเปลี่ยนมาใช้ไอโฟนเมื่อปี 2020
วอร์เรน บัฟเฟตต์ให้เหตุผลว่า Apple อยู่ในจุดที่ลูกค้าอาจจะยอมจ่าย 1,500 ดอลลาร์ (ประมาณ 50,909 บาท) สำหรับโทรศัพท์ และถ้าต้องจ่าย 35,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 1 ล้านบาท) สำหรับการมีรถคันที่สอง แต่ถ้าต้องเลือกสละของอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้ใช้จะยอมสละรถคันที่สองทิ้งและเลือกไอโฟนแทน ซึ่งบัฟเฟตต์มองว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ธรรมดาเลย และถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นเจ้าของธุรกิจนี้แบบ 100% แต่ก็รู้สึกดีมากที่มีหุ้นถึง 5.6% (มูลค่าประมาณ 116 พันล้านดอลลาร์)
ย้อนกลับไปปี 2020 บัฟเฟตต์ได้กล่าวว่า “Apple อาจจะเป็นธุรกิจที่ดีที่สุดในโลก” และในการประชุมที่ผ่านมาเขาแสดงความมั่นใจมากกว่าเดิม โดยกล่าวว่า “Apple เป็นธุรกิจที่ดีกว่าทุกๆ ธุรกิจที่ลงทุนอยู่” ถ้านับตามสัดส่วนที่ Berkshire เข้าไปลงทุน พบว่ามีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น Apple สูงถึง 40%
รายชื่อหุ้นใหญ่ 5 อันดับแรก
- Apple: 116.31 พันล้านดอลลาร์
- Bank of America: 33.45 พันล้านดอลลาร์
- Chevron: 29.25 พันล้านดอลลาร์
- Coca Cola: 25.44 พันล้านดอลลาร์
- American Express: 22.40 พันล้านดอลลาร์
ที่มา: 9to5mac
Comments
Mac นี่ล่ะเพื่อนแท้ MBP M2 ทำงานไปยาวๆ 8 ชม ไม่ต้องเสียบปลั๊ก ไม่ต้องนั่งสตาร์บั๊คอีกต่อไปแล้วตอนนี้ ที่ไหนก็ทำงานได้
บอกตรงๆว่าอิจฉาครับที่ได้เครื่องที่แบตอึดขนาดนั้นทำงาน ผมเองดันชอบ Linux มากกว่า MacBook
..: เรื่อยไป
ผมว่า Mac กับ Linux ก็ไม่ต่างกันมากนะถ้าเปิด Terminal ขึ้นมาใช้
อ้อ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ ผมเข้าใจว่าด้วยความที่โน๊ตบุ๊คทั่วๆไปยังรัน x86-64 อยู่ ก็เลยคิดว่าแบตน่าจะอึดไม่เท่าเครื่องแมคบุ๊ค M2 ที่รันบน ARM
พอดีตอนนี้ยังใช้ WSL เป็นหลักอยู่ เลยวัดอะไรไม่ได้ เพราะแบตหมดเร็วตามสไตล์ Windows แต่เดี๋ยวกำลังจะหาเครื่องมารัน Linux + DE เพิ่มอีกเครื่อง
..: เรื่อยไป
ขอโทษครับ ผมหมายถึงว่า Mac ก็เปิด Terminal ได้เหมือน Linux ครับ
แต่ถ้า workflow development บางอย่างอาจจะยังไป Mac ไม่ได้ ลองเช็คดูครับ
แต่ถ้าใช้ Docker บน mac ได้ผมว่าย้ายมาได้สบายครับ
ส่วนเรื่อง Battery,
Mac M1, M2 Batt อึดกว่า x86 อยู่ครับ แต่ได้ยินว่า intel-Gen ใหม่ ๆ 12/13 ก็ทำได้ดีขึ้นนะครับ
ฮ่าๆ เคครับ จริงๆก็ใช่แหละครับ เวลาใช้งานผ่าน terminal + shell ก็ทำงานได้แทบจะเหมือนกัน ที่บอกว่าชอบฝั่ง Linux มากกว่าก็อารมณ์ประมาณความคุ้นเคย package manager นี่ล่ะครับ ถ้าไม่นับอารมณ์แฟนบอยที่ชอบท่านศาสดากับเจ้า Tux แบบไม่มีเหตุผล
แต่ในอนาคต ไว้ตอนมีตังค์เหลือๆ MBP ก็เป็นหนึ่งใน item ที่ต้องมีล่ะครับ เพราะทั้งสวย ทั้งดี
..: เรื่อยไป
สำหรับผมคือ มันทนอึดถึก และเสถียรครับชีวิตไม่ต้องมาวุ่นวายกับการซ่อมจุกจิก
รถเช่นกัน นอกจากความสวยแล้ว ก็ต้องการความ Reliability เช่นกัน
ติดอยู่อย่างเดียว คือ เดี๋ยวนี้ถ้าจะเปลี่ยนอะไหล่เอง โดยเฉพาะ iPhone 7 ขึ้นไป นอกจากส่งศูนย์ ซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำเรื่องเข้าโครงการซ่อม, ซื้ออะไหล่และซื้อ/เช่าอุปกรณ์ของ Apple แล้วก็ติดต่อ Apple Call Center เพื่อช่วย Activate อะไหล่ใหม่ด้วย
ไม่งั้นโปรแกรมหลายๆ อย่างจะใช้งานไม่ได้ เช่น Touch ID, ปรับแสงจอ, ยืนยันตัวตนด้วยใบหน้า ฯลฯ กลายเป็น e-waste ไปอีก
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ผมว่าคนส่วนมากที่ใช้ก็ไม่ได้คิดจะซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่เองเท่าไรนะครับ ซึ่งก็ไม่ต้องมาติดปัญหาความจุกจิกพวกนี้แต่จะซ่อมทีเข้าศูนย์ก็ราคาแพงเลย 555
ผมเห็นเซเล็บท่านนึง เอาแม๊คบุ๊คไปใช้ข้างนอกหรือไง แล้วมดขึ้น ไปกัดลำโพงแม็คบุ๊คขาด
... ชิ้นส่วนลำโพงดันติดอยู่บนแบตเตอรี่เลยต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ด้วย ศูนย์แจ้งสองหมื่นกว่าบาท มีแอปเปิ้ลแคร์เลยลดเหลือสามพัน
คำถามคือ แล้วถ้าคนไม่ซื้อแอปเปิ้ลแคร์ ชิ้นส่วนที่มันไม่ควรจะแพงแบบลำโพงเนี่ย มันควรจะโดนถึงสองหมื่นบาทไหมครับ ? คือถ้าจะบอกว่ามัน reliable นี่มันต้องรวมว่าเวลาเสียมันควรจะซ่อมได้อย่างสมเหตุสมผลด้วยนะผมว่า
อย่างการเอาลำโพงไปแปะอยู่บนแบตเตอรี่นี่ มันเป็นการออกแบบเพื่อลดต้นทุนในการประกอบเครื่องหรือเปล่า?
ถ้าเป็นแบตเตอรี่ผมก็ไม่ติดใจอะไรนะ
เรื่องการซ่อม Apple ไม่เน้นครับ ผมเดาว่าถ้าออกแบบให้ซ่อมง่าย ยอดขายเครื่องใหม่จะตก เน้นอะไรล้ำ เอาว้าวตั้งแต่แรกที่จับ ดีกว่าว้าวที่พึ่งมารู้ตอนที่เครื่องเสียครับ แล้วก็ไปเน้นเรื่องคุณภาพให้มันทนผ่านอายุตามสมควรของมัน จนทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจซื้อเครื่องใหม่ดีกว่าซ่อม
ส่วนรักษ์โลกอะไรอันนั้นก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการตลาด
ส่วนตัวใช้ไอโฟนเพราะรับไม่ได้ราคาโทรศัพท์แอนดรอยด์เวลาขายต่อนี่แหละ
รถมันแพงกว่าตั้งเยอะนี่ หรือรถบ้านเขาราคาถูกหว่า
เอาแค่ในไทยเมื่อก่อน เวลาคุณซื้ออะไรราคาสูงๆมาใช้งาน คุณจะเจอบุคคลที่เอามาเทียบกับรถยนต์ครับ ผมโดนเพื่อนผมพูดใส่บ่อยตอนซื้อ macbook สมัย 2009 โน่นเลย ว่า โห ราคานี้ ได้รถยี่ห้อ ???(ผมไม่่ได้ตามอุตสาหกรรมรถยนต์ชื่อรุ่นชื่อแบร์นเลยไม่เข้าหัว) มาครึ่งคันแล้วนะ เราก็คิดในใจว่ามันใช้กันคนละงานนะเทียบกันได้ยังไง ยุคนั้นยุค windows รุ่งเรืองนั่นล่ะ Mac นี่โดนมองว่าของหรูราคาแพงที่อเมริการาคารถยนต์ผมไม่แน่ใจนะแต่ภาษีนี่แพงจัดแน่นอน
ก็จริงนะ ออกกอะไร ก็ขายดีตลอด