Financial Times รายงานว่า Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba หลบไปใช้ชีวิตอยู่ในกรุงโตเกียวแบบเงียบๆ มาได้เกือบ 6 เดือนแล้ว เพื่อหลบเลี่ยงปัญหาการเมืองในประเทศจีน
Ma ลงจากตำแหน่งที่ Alibaba ในปี 2019 หลังจากนั้นเขาก็ถูกรัฐบาลจีนกดดันในเรื่องต่างๆ เช่น การสั่งเบรกแผนการ IPO ของ Ant Financial
แหล่งข่าวของ Financial Times บอกว่า Jack Ma และครอบครัวย้ายมาอยู่ญี่ปุ่น โดยไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตสาธารณะมากนัก มีจ้างเชฟส่วนตัวและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัย เขาหันไปสนใจเรื่องงานศิลปะ มีไปเที่ยวบ่อน้ำร้อนและรีสอร์ทสกีบ้าง รวมถึงมีกิจกรรมสังคมกับนักธุรกิจจีนคนอื่นๆ ผ่านคลับเอ็กซ์คลูซีฟในย่าน Ginza และ Marunouchi
Ma ยังมีเดินทางไปต่างประเทศบ้าง โดยไปอเมริกาและอิสราเอลบ่อยๆ และก่อนหน้านี้เคยมีคนเห็นเขาปรากฏตัวที่สเปนและเนเธอร์แลนด์ด้วย
ที่มา - Financial Times
ภาพจาก Alizila
Comments
อยู่ยาว นี่ขอ VISA แบบไหนเนี่ย
พวกนี้น่าจะได้ Visa Long Stay ที่อยู่ได้ปีนึงเป็นพื้นฐานอยู่แล้วล่ะครับ
การซื้อสัญชาติประเทศญี่ปุ่น
ราคาประมาณ 1,400,000 บาท
เงื่อนไข
- ก่อตั้ง ลุงทุน หรือบริหารจัดการธุรกิจในญี่ปุ่นโดยลงทุนอย่างน้อย 5 ล้านเยนขึ้นไป
- เมื่อถึง 10 ปี ถึงเริ่มทำเรื่องขอสัญชาติได้
- ต้องมีที่อยู่ในญี่ปุ่นติดต่อกัน 5 ปีขึ้นไป
อย่าง Jack Ma ทำได้สบายๆ
เอาแบบ พิ้วดิพาย จ่ายเยอะจนได้เป็นคนญี่ปุ่น ก็ได้นะครับ แต่ผมว่าเค้าไม่ทำหลอก ก็ รวยน้อยลง ดังน้อยลง ใช้ชีวิตสบายๆ ไป เห็นใจนะ ผู้บริหารเด่นๆแบบนี้ นาน ๆ มีคนนึง ก็จะโดนอิจฉาจากคมมีอำนาจในประเทศเสมอ อยู่เงียบๆ แบบหม่า ทรานเซ้น อาจจะจบสวยกว่านี้ หรือกราบไหว้สีจิ้นผิง ถูกครับท่าน ดีครับนาย ก็อาจจะจบอีกแบบนึงนะ
เอาแบบ พิ้วดิพาย จ่ายเยอะจนได้เป็นคนญี่ปุ่น ก็ได้นะครับ แต่ผมว่าเค้าไม่ทำหลอก ก็ รวยน้อยลง ดังน้อยลง ใช้ชีวิตสบายๆ ไป เห็นใจนะ ผู้บริหารเด่นๆแบบนี้ นาน ๆ มีคนนึง ก็จะโดนอิจฉาจากคมมีอำนาจในประเทศเสมอ อยู่เงียบๆ แบบหม่า ทรานเซ้น อาจจะจบสวยกว่านี้ หรือกราบไหว้สีจิ้นผิง ถูกครับท่าน ดีครับนาย ก็อาจจะจบอีกแบบนึงนะ
แหม่ ไม่น่าออกมาจากประเทศในฝันของคนไทยหลายๆคนวัยBaby Boomer เลยนะไหนจะไปแต่ประเทศNatoทั้งนั้นอีก
ผมยังไม่เคยเห็นคนพวกนี้ย้ายกลับไปอยู่จริงๆเลยครับ
น่าอิจฉาาาา
ผมว่าแค่คนหรือครอบครัวมีรายได้สูงๆ การหลี้ภัยหรือย้ายที่อยู่ข้ามประเทศก็ทำได้ง่ายอยู่แล้วนะครับ ไม่จำเป็นต้องถึงระดับ Jack Ma ก็ทำได้ ยิ่งมีญาติหรือคนรู้จักด้วยนี้ง่ายเลย
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
แอบคิดถึงคนหน้าคล้ายเลยครับ ชะตากรรมแบบนี้😞
พวกโปรจีนที่เคยเชียร์อีตานี่หายไปไหนหมดนะ โดนพี่สีเล่นซะ อยู่ประเทศตัวเองไม่ได้เล้ย ว่าแต่ ทำไมเค้าไม่ไปอยู่รัสเซียนะ ทำไมต้องไปอยู่อเมริกา อิสราเอล ญี่ปุ่นด้วย ว้าๆๆๆ อย่างนี้ลิ่วล้อก็หน้าแหกหมดสิ
ในเมืองจีน ห้ามใครใหญ่กว่าพรรคคอมฯ จริงๆ แค่มีแววจะเป็นภัยก็เกมแล้วแบบแจคม่า
โดนทีเดียวเงียบเลย
คิดไปคิดมา ระบบคอม ทำให้เสียโอกาสกับมนุษย์ชาติไปเยอะมาก คนเกือบครึ่งโลกอยู่จีน ถ้าเค้าได้สิทธิ์ และเสรีภาพในการคิด โลกคงก้าวหน้ากว่าปัจจุบันนี้
คนหัวก้าวหน้า ส่วนใหญ่ทนอยู่ในประเทศไม่ไหว หนีกันกระจุยอยากรู้พวกโปรจีนนี่ในหัวคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงได้เชียร์อยู่ได้
จริงครึ่งนึง ผมว่ามีระบบที่ขัดแย้งกันให้มันสมดุลกันดีแล้วครับ ต่างฝ่ายต่างแข่งว่าตัวเองเจริญกว่า ทำให้มีการพัฒนา แม้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจมีการสูญเสียไปบ้าง แต่โดยรวมน่าจะเป็นผลบวกต่อมนุษยชาติ
งั้นขอบคุณพวกโปรจีน ที่ทำให้คนขัดแย้งกัน เพื่อการแข่งขันสองฝ่ายได้แนวคิดใหม่อีกแล้ว ขอบคุณครับ
ผมว่าระบอบ 2 ระบอบใหญ่บนโลกนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาในการพัฒนาความเจริญมั้งครับ (เดา)
เพราะว่าระบอบไหนไม่ทำให้เจริญ มันคงหายไปเอง และนี่ก็มีระบอบแบบนี้มานานพอควรแล้ว จะเห็นได้ว่ามันมีการพัฒนาปรับเปลี่ยนแต่ยังคงความเป็นระบอบคล้าย ๆ เดิมอยู่ (บางอย่างเปลี่ยนไปก็ตาม ซึ่งผมว่าทั้ง 2 ระบอบก็มีการเปลี่ยนแปลงทั้งแบบที่เห็นได้ชัด และแบบปากแข็งที่แอบทำแต่ไม่บอก)
จีนก็พัฒนาก้าวกระโดดมาก ๆ ในช่วงก่อนหน้านี้ และทุกวันนี้ก็ลงไปแข่งขันในเทคโนโลยีระดับสูงที่เป็นความรู้ที่ค่อนข้างใหม่ได้ดี
ผมว่ามันอยู่ที่ผู้นำ วิสัยทัศน์ และความต้องการเขาว่าเขาต้องการพัฒนาให้เห็นผลกับใครมากกว่า
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
ครึ่งโลกตรงไหน คนจีนคิดเป็นแค่ 18% ของประชากรโลกเอง
เข้าใจการใช้คำเปรียบเทียบมั้ยนะ ไม่งั้นต้องมาปรับตัวเลขตลอดอะดิ สมมติปีหน้าประชากรเพิ่ม ต้องมาปรับ 19 20 30% ตลอดอะดิ จะอยากจะแสดงความเห็น ไปแสดงด้านอื่น เรื่องอื่นจะดีกว่านะ
ค่าโดยประมาณ เข้าใจครับแต่ปัดเลขเยอะขนาดนี้ผมก็ไม่เข้าใจนะครับ 18% -> 50% นี่ ถ้าบอกว่าราว 1 ใน 5 นี่น่าจะเหมาะกว่าและมันห่างกับครึ่งไปเยอะอยู่
ถ้าจะบอกว่าเลขไม่ได้อัปเดตถี่ขนาดนั้น ประชากรจีนเข้าใกล้ 50% ของประชากรโลกเมื่อไหร่นะครับ ดูกราฟย้อนหลังไปหลายสิบปีนี่ผมว่าไม่น่าใช่เร็วๆ นี้นะ
เรื่องนี้กระทบความหมายของความเห็นมากพอควรครับ มีการคุยกันไม่ให้คนที่ไม่รู้ข้อมูลมาเห็นแล้วเข้าใจผิดก็ดีแล้ว
โอเคครับ ทีหลังจะหลีกเลี่ยงการใช้คำ จะใช้คำว่า ครึ่งโลก ใช้ คำว่าประเทศที่มีประชากรที่เยอะที่สุดในโลกแทน
พอดีไม่ได้โฟกัสเรื่องข้อมูลยิบย่อย รายละเอียด แค่มองเป็นภาพใหญ่ คงคิดว่าคิดไทยมีพื้่นฐานพวกนี้อยู่แล้วกลับกลายว่าคนไทยส่วนใหญ่เลือกเชื่อความคิดเห็นมากกว่าการหา fact บน google ด้วยตัวเอง
การมองบนภาพรวม หรือการทำนายเชิงวิเคราะห์ หรือวิสัยทัศน์แล้วแต่คนจะเรียก จะมองบนพื้นฐานของข้อมูล และความเป็นจริงด้วยครับ แล้วจะไม่พูดข้อมูลเชิงตัวเลขออกมา หรือข้อมูลเปรียบเทียบที่ทำให้เข้าใจผิด ข้อเท็จจริงส่วนใหญ่ก็จะให้ดูผ่านภาพ สไลด์ หรือไม่ก็อ้างอิงไปยังแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ แต่จะพูดในเชิงวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากตัวแปรที่เปลี่ยนไปครับ เพื่อให้ผู้อ่านนำไปวิเคราะห์เองภายหลังด้วย รวมถึงให้เกิดการถกด้วยเหตุผล เพื่อก่อให้เกิด knowledge
ถ้าบอกว่าการวิเคราะห์ข้อมูลแล้วไม่สนใจเรื่องยิบย่อยนี่ยิ่งผิดอย่างแรงเลยครับ คนที่จะวิเคราะห์จะสนใจตัวแปร ทุกตัวแปรแหล่ะครับ เพียงแต่ในที่สาธารณะจะพยายามไม่พูดออกมาเพื่อให้ผู้ฟัง หรือผู้อ่าน focus ไปยังผลวิเคราะห์ หรือภาพรวม แต่เมื่อมีผู้ตั้งคำถามขึ้นมาถึงตัวแปรยิบย่อย ก็ต้องตอบคำถามได้ว่าตัวแปรเหล่านี้จะก่อให้เกิดผลอะไรกับภาพรวม ซึ่งผู้บริหารส่วนใหญ่ก็จะเป็นแนวนี้แหล่ะครับ เพื่อไม่ให้ผู้ฟังรู้สึกฟังแล้วเข้าใจยากเขาถึงไม่พูดเรื่องยิบย่อยกัน ถ้าเป็นผู้บริหารระดับสูงที่มีความสามารถส่วนใหญ่ (เน้นจะครับว่าผู้บริหาร ไม่ใช่ผู้นำ ผู้บริหารคือผู้ปฏิบัติงานในหน้าที่ควบคุมองค์กร ซึ่งอาจไม่ใช่ผู้นำก็ได้) ก็จะตอบได้โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสนใจ หรืองานของตน
ส่วนผู้นำนั้นไม่จำเป็นต้องตอบได้ทุกคำถามก็ได้ เพราะเขาคือที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ และมองคนเก่ง แต่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นถ้าถามคำถามยิบย่อยกับเขา เขาก็จะบอกว่าเขาไม่รู้และเชิญให้เราอธิบายให้เขาฟังหน่อยเพื่อประเมิน knowledge ของเรา ซึ่งคนแบบนี้หายากกว่าผู้บริหารเก่งๆ อีก
ผมเข้าใจพี่นะ แต่ถ้ามีคนมาแย่งแล้วออกลูกงอแงแบบนี้ก็ไม่ไหว
"หลบ" หรือ "ลี้" กันแน่นะ