นอร์เวย์เป็นประเทศแถวหน้าของโลกในแง่การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า สถิติยอดขายรถยนต์ของนอร์เวย์ปี 2023 มีรถยนต์ไฟฟ้าขายได้ 104,590 คัน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 82.4% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด 126,953 คัน (ทะลุ 80% ต่อปีเป็นครั้งแรก)
ถึงแม้ตัวเลขรถยนต์ไฟฟ้าเป็นสัดส่วนดูเพิ่มขึ้น แต่จำนวนยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2023 กลับลดลงจากปี 2022 (กลุ่มรถยนต์ BEV ลดลง 24.4%) อันเป็นผลมาจากตลาดรถยนต์ในภาพรวมที่หดตัวลง 27.2%
แบรนด์รถยนต์ยอดนิยมอันดับหนึ่งคือ Tesla มีส่วนแบ่งตลาด 20% เพิ่มขึ้นมากจากปีก่อนหน้าที่มีส่วนแบ่ง 12.2% โดยรถรุ่นที่ขายดีที่สุดคือ Model Y ขายได้ทั้งหมด 23,085 คัน ตามด้วยอันดับสอง VW ID.4 จำนวน 6,614 คัน, Skoda Enyaq จำนวน 5,740 คัน, Toyota bZ4X จำนวน 5,395 คัน
Comments
เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอันดับต้นๆ ของโลกด้วยนะ ขุดมาให้คนอื่นใช้ 555ปล...renewable energy นี่เค้าก็ผลิตได้อันดับต้นๆ เหมือนกันนะ
Teslabjorn ถูกใจสิ่งนี้
จุดจอดชาร์ทบ้านเขานี่เหลือเฟือเลย เห็นตามเน็ทบ้านเราที่ปั้มละหัวสองหัวนี่บอกพอแล้ว นี่งงเลย พอจริงเปล่าเนี่ย หรือขับยาวๆ ยังใช้รถน้ำมันกันมันเลยพอ
ส่วนตัวมองว่า พอแล้วในแง่การลงทุน เพราะผมคิดว่ามันไม่คุ้มเลยที่จะลงหัวชาจเยอะ ๆ แล้วปล่อยว่างนาน ๆ ทีมีคนมาชาจ
รถยนต์ไฟฟ้าตอนนี้ไม่เหมือนรถน้ำมันตรงที่ส่วนใหญ่คนซื้อจะมีที่ชาจเป็นของตัวเองอยู่แล้วไม่ต้องไปเติมที่ปั้มทุกคัน (ใช้คำว่าส่วนใหญ่นะครับไม่ใช่ทั้งหมด) แล้วจะชาจนอกบ้านนาน ๆ ที ตอนออกต่างจังหวัด เพราะงั้นการลงทุนหัวชาจเยอะ ๆ ขาดทุนยับ ๆ แน่นอน เพราะอย่าลืมว่าหัวชาจมันก็มีอายุการใช้งานของมัน ขนาดตี เบสเคส มีคนชาจทุกวันวันละ 6 ชม กว่าจะคืนทุนก็ 6-7 ปี แต่เอาจริง ๆ ในระหว่าง 6-7 ปี เทคโนโลยีการชาจมันก็ต้องพัฒนาไปไกลแล้ว เมื่อก่อนชาจแบบ 50 KW ก็หรูแล้ว ผ่านมาสองปี ถ้าหัวชาจไม่ใช่แบบ 120KW ใครจะอยากใช้ อนาคต เดี๋ยวก็จะมี 240 KW และมากขึ้นเรื่อย ๆ ไอที่บอกลงทุนแล้วจะคืนทุนใน 6-7 ปี เป็นไปได้จริง ๆ เหรอ เอาแค่คนชาจทุกวันวันละ 6 ชม ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
ทุกวันนี้บริษัทที่ลงทุนหัวชาจเค้าทำเพื่อราคาหุ้นมากกว่ารายได้จากการชาจเสียอีก (อันนี้ความเห็นส่วนตัว)