Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta ไปออกรายการพอดคาสต์ Joe Rogan Experience ซึ่งเนื้อหาการพูดคุยครอบคลุมหลายเรื่อง ทั้งการจัดการเนื้อหาบนแพลตฟอร์ม, การเข้าพบว่าที่ประธานาธิบดี Trump และหัวข้อที่เป็นประเด็นในข่าวนี้คือ แอปเปิล
Joe Rogan เปิดประเด็นว่าตอนนี้เขาย้ายจาก iPhone ไป Android เพราะไม่อยากยึดติดกับบริษัทใดบริษัทหนึ่ง และบอกว่าเขาไม่ชอบนโยบายหักค่าธรรมเนียม App Store ของแอปเปิล
Zuckerberg เลยให้ความเห็นเสริมเรื่องนี้ว่า iPhone ถือเป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่ง แต่หลังจากนั้นแอปเปิลก็ไม่มีนวัตกรรมใหม่ออกมาเลย เหมือนว่าสตีฟ จ็อบส์สร้าง iPhone ไว้ แล้ว 20 ปีผ่านไปก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ตรงนี้ทำให้เขาสงสัยว่าแอปเปิลขาย iPhone ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ หรือไม่ ซึ่งไม่น่าเป็นเช่นนั้น เพราะโทรศัพท์ย่อมดีขึ้นเรื่อย ๆ คนก็อัปเกรดช้าลง การคิดค่าธรรมเนียม 30% จึงเป็นวิธีที่ทำให้แอปเปิลยังมีรายได้เพิ่มขึ้นทุกปี
จากนั้น Zuckerberg ก็โจมตีแอปเปิลเรื่องการสร้างระบบปิด โดยยกตัวอย่างหูฟัง AirPods ว่าเป็นสินค้าที่เจ๋งมาก แต่ถ้าหูฟังอื่นสามารถเข้าถึงโปรโตคอลเชื่อมต่อกับ iPhone แบบที่ AirPods ทำ ซึ่งง่ายกับผู้ใช้งาน เราจะเห็นหูฟังคู่แข่งที่ดีกว่านี้มากมาย เขาเชื่อว่าถ้าแว่นตา Ray-Ban Meta Glasses เชื่อมต่อได้แบบนั้น ก็จะทำให้สินค้าง่ายและดีกับลูกค้ามากขึ้น
เขาบอกว่าด้วยทิศทางของแอปเปิลตอนนี้ สักวันบริษัทจะถูกคู่แข่งเอาชนะได้ และเรื่องนี้จะได้เห็นในเวลาไม่นานด้วย เพราะแอปเปิลไม่มีนวัตกรรมมานานแล้ว
Zuckerberg ยังพูดถึงแอปเปิลในอีกหลายประเด็นทั้ง iMessage กล่องสีฟ้า , Apple Vision Pro แพงและไม่ดีเท่า Quest
ความขัดแย้งของ Mark Zuckerberg กับแอปเปิล ไม่ได้เป็นเรื่องใหม่อะไร เพราะ Facebook เคย ได้รับผลกระทบ หนักจากนโยบายจำกัดโฆษณาติดตามใน iOS 14 จน ซื้อโฆษณา ในหนังสือพิมพ์ และล่าสุดปีที่แล้วก็ ประกาศขึ้นราคาบูสต์โพสต์ ผ่าน iOS เพราะแอปเปิลเริ่มคิดค่าธรรมเนียมส่วนนี้ 30%
Comments
Beats ก็ง่ายนะ (ของ Apple เหมือนกัน) แต่พังไวกว่าอย่างงี้น่าโดนผูกขาด
นวัตกรรมที่ขายข้อมูลผู้ใช้งานไม่น่าจะเป็นแนวทางนวัตกรรมของ Apple
ว่าแต่เว็บพนันโฆษณาในเฟส เมื่อไรจะแก้?
จะว่าไปเหมือนจะลืม Facebook phone ที่ล้มเหลวไปแล้ว ตอนพูดถึงไอโฟน อันนี้เปลี่ยนโลก?
บล็อก: wannaphong.com และ Python 3
ส่วนตัวมองว่านวัตกรรมของโลกคือ EU นู้น หลายเรื่องหลายราวถ้าไม่มี EU โลกถอยหลังย้อนกลับมากกว่านี้ Type C ที่รักก๋็เพราะ EU นี่แหละบังคับ ทุกวันนี้อุปกรณ์จีนที่ซื้อมาใหม่ๆ ทั้งขอแบรนด์ ของโนเนม เป็น Type C หมดแล้วก็เพราะ EU นึกสภาพว่าไม่มี EU มือถือ เทคโนโลยีต่างๆ อาจจะไม่เป็นแบบทุกวันนี้ อาจจะเป็นเต่าล้านปีก็ได้
ผมมองตรงกันข้ามเลยครับ ผมกลับมองว่า EU เนี่ยขัดขวางนวัตกรรมมากกว่า เช่นตอนนี้ USB-C หมดคู่แข่งไปแล้วเรียบร้อยเพราะ EU บังคับให้ใช้ ถ้าวันนึงมีคนคิดจะทำนวัตกรรมอะไรที่ดีกว่า USB-C หรือมี form factor ที่ดีกว่า ก็เป็นไปไม่ได้ละ เราต้องอยู่กับ USB-C ไปตลอด — เพื่อความสะดวก อาจใช่ แต่เพื่อส่งเสริมนวัตกรรม นี่ไม่ใช่แน่ // อีกตัวอย่างที่นึกออกก็พวก Self-Driving Car ใน EU นี่ข้อห้ามเยอะมาก เช่น ห้ามระบบหันพวงมาลัยเกินองศาที่กำหนด กลายเป็นพอโค้งเยอะเกิน ระบบต้องตัด — ห้ามเปลี่ยนเลนเองโดยอัตโนมัติ ต้องถาม user ก่อนเท่านั้น (แล้วจะ autonomous กี่โมง?) และมีข้อห้ามอีกเยอะเลย เพื่อความปลอดภัยอาจจะใช่ แต่ส่งเสริมนวัตกรรมไหม? ผมว่าไม่ใช่
USB-C เนียแหละนวัตกรรม Adapter ตัวเดียวผมซาตตั้งแต่โน๊ตบุ๊ค แท๊บ โทรศัพท์ ลำโพง ยันไม้ตียุง
USB-C นี่ถ้ามีข้อดีชัดเจนและเปิดก็ใช้พอร์ตอื่นแทนได้นะฮะ
เห็นด้วยว่า EU นี่ถ่วง แต่ถ่วงเพื่อให้ทุกอย่างไปต่อได้ระยะยาวๆ นะไม่ใช่พุ่งแหลกอย่างเดียวแล้วไปติด/จบที่มีคนมีอำนาจเหนือตลาด
เห็นด้วยครับว่า การไป Fix แบบนั้น เวลาเค้าจะคิดอะไรใหม่ก็ทำยาก แต่ก็มีบางท่านในนี้ก็บอกว่า Type-C นี่ คงเปลี่ยนกันไม่ได้ง่ายๆ แต่ผมว่าไม่ใช่นะครับ เทคโนลีมันมีใหม่ๆ มาตลอดทำไมต้องตีกรอบ Type-C เท่านั้น
อนึ่ง กรณี USB-C นั้นทาง EU ระบุว่าต้องรองรับการชาร์จด้วยสาย USB-C เฉยๆ ดังนั้น จะเพิ่มพอร์ตอื่นๆที่คิดว่าดีกว่าเข้าไปอีกพอร์ตก็ได้ ไม่มีใครห้ามครับ
แน่นอนว่า ถ้ามันไม่ดีกว่า USB-C มากๆ คนก็ไม่หันไปใช้ เพราะงั้นจะแทนที่ได้มันต้องดีกว่าจริงๆ ไม่ใช่แค่ดีกว่าครึ่งๆกลางๆแต่ตัดทางเลือกบังคับให้คนใช้ เพราะงั้นมันก็เกิดยากขึ้นแหละ แต่ไม่ถึงขั้นเกิดไม่ได้เลย
ส่วนส่งเสริมหรือขัดขวาง ส่วนตัวผมมองว่ามันมองได้หลายมุม มุมนึงก็ใช่ ถ้ามันไม่ดีกว่ามากๆก็แทบไม่มีทางเกิดเลย แต่อีกมุมนึงมันก็บีบให้บ.เทคต่างๆหันมาพัฒนาอะไรที่มันดีกว่าจริงๆ ไม่ใช่แค่เปลี่ยนหัวทำกำไรไปวันๆ
Type-C มือถือ จริงไปต่อถึงมาตรฐาน USB-4 หรือ Thunderbolt 5 ก็ได้นะครับ แรงเร็วเหลือๆ เลย ยังไงอุปกรณ์มือถือก็เดินตาม USB ไม่น่าเป็นห่วงอะไร
usb เกิดขึ้นที่อเมริกาครับ สมาชิกหลักของ USB-IF ที่พัฒนา usb-c ก็เช่น Intel, Apple, Microsoft, HP, Dell ก็เป็นบ.อเมริกัน
ใครบอกไม่มีนวัตกรรม มี AI ง่อยๆไง ฮ่าๆ
ไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ แต่มือถือทุกวันนี้หน้าตา ui จะเหมือน iOS หมดหละ visionOS ล่าสุดก็เห็นค่าย Meta ลอกทุกฟีเจอร์ไปนิ ยังกล้าพูดเรื่องโปรโตคอลเชื่อมต่อ Quest ตัวเองยังไม่อนุญาตให้ 3rd Party ทำ controller เลย
ชิป M4 Pro Max ใน MBP สั่นรัว ๆ แล้ว~
apple silicon?
เห็นด้วยว่า Apple จะถูกคู่แข่งแซงอีกไม่นาน แต่คู่แข่งที่แซง Apple ได้ ไม่ใช่ Meta แน่ๆ 5555
facebook ก็เตรียมโดนคู่แข่งอื่นแซงเหมือนกัน
algorithm โชว์แต่ใครไม่รู้จักมาใน feed
เพื่อนลงรูปสวัสดีปีใหม่กันวันที่ 1 วันที่ 5 เพิ่งขึ้นมาใน feed
Page ปลอม Page spam เลียนแบบ ยิง ad มาเต็มไปหมด
เจอคนก้อป profile fb ส่ง report ไป บอกไม่พบความผิดปกติ
ไร้นวัตกรรมเช่นกัน
ก็เรื่องจริงแหละตั้งแต่สตีฟจ้อบตายไปก็เหมือนเวลาทั้งหมดหยุดนิ่งไอโฟนไม่เคยออกนวัตกรรมอะไรใหม่ๆล้ำหน้ามาอีกเลย ส่วนเรื่องfacebookนี่ผมว่าfacebookเค้าก็ไม่ได้หาเงินกับการขายอะไรเราโดยตรงเค้าไปขายทางอ้อมคือขายโฆษณายิงแอดเพราะงั้นนวัตกรรมหรืออะไรใหม่ๆuserจึงไม่ได้เห็นมันตรงๆเพราะมันคือการแทร็คกิ้งหรือคำนวณว่าทำยังไงให้โฆษณาได้ผลมากที่สุดเพราะงั้นคนที่จะเห็นอะไรจริงๆก็คือคนที่ยิงแอดไม่ใช่userที่ใช้งาน ทำยังไงจะลดเอนเกจไอ้พวกเพจที่รับโฆษณาเองแล้วไปเพิ่มเอนเกจให้เพจที่จ่ายเงินบูสโพสไรเทือกนี้ ละเพจพนันเพจมิจมันมีเม็ดเงินมาจ่ายโฆษณาเยอะมันก็ดีจะไปแบนทำไมมาร์คไม่ได้พูดไว้แต่อาจจะคิดในใจ🤣
Apple Silicon นี่ไม่ถือว่าเป็น นวัตกรรมรึ?
Apple Silicon มันไม่ได้เด่นอะไรมากมายกว่าค่ายอื่นเลย มีดีแค่ใช้ในระบบ Apple แล้วมัน Optimize ได้ดี แค่นั้นเอง ซึ่งความต่างลดลงทุกวัน ตอนนี้ Raw Performance เทียบกับ Qualcomm แทบไม่ต่างอะไรกันแล้ว ดู benchmark ได้
ส่วนตัวสำหรับผมไม่นะ มันประสิทธิภาพสูงเทียบกับพลังงานที่ใช้ก็จริง แต่เสียความยืดหยุ่นในกันอัพเกรดไปทั้งหมด ดีสำหรับอุปกรณ์พกพาอย่างมือถือ/แท็บเล็ต แต่คอมพิวเตอร์อันนี้เป็นอะไรที่รับไม่ได้จริงๆ แล้วมันทำให้สินค้าอย่าง Mac Pro ออกมาแย่ไม่สมคำว่า pro ถ้ามันเป็นนวัตกรรมจริงมันต้องทำได้ทั้งหมด ผมให้มันเป็นสินค้าที่ดีแต่ไม่ถึงนวัตกรรมครับ
มันแอบจะแรงถ้าเทียบกับพลังงานแต่ถ้าเทียบความแรงในภาพรวมทั้งหมด
อันนี้ผมยังไม่ค่อยเชื่อว่าแรงจริงเท่าไหร่นะเหมือนยังมี * อยู่ว่า application ต้องรองรับ
Apple Silicon นี่ก็มีรากฐานมาจากชิปซีรี่Aของไอโฟนที่ปังถล่มทลายตอนยุคสตีฟจ้อบเลยต่อยอดมาทำเป็นชิปซีรี่MลงMac ควรจะเรียกว่าจ้อบแค่อยู่ไม่ทันถึงตอนมันคลอดเฉยๆมากกว่าส่วนทิมก็แค่สานต่อโปรเจ็คออกมาจนจบ แล้วก็อย่างที่คหอื่นว่าไว้ก็ไม่ได้เป็นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกหรือโอ้โหอะไรเพราะชิปซีรี่Mก็ไม่ได้มีใครสนใจเรื่องประหยัดไฟเท่าไหร่ เค้าสนเรื่องการใช้งานกับประสิทธิภาพกันมากกว่าแล้วถ้ามันไม่ได้เป็นอะไรใหม่ล้ำเหนือคู่แข่งมันก็ไม่น่าจะเรียกนวัตกรรมสักเท่าไหร่
หลายอย่างโดนแซงไปนานแล้วแต่ก็แปลกนะที่เขายังอยู่ได้ ไม่มีปัญหาอยู่แล้วใครจะแซงก็แซงไปก่อนเลย
Intelก็ย่ำอยู่กับที่มาสิบกว่าปีจนโดนAMDแซงยังไม่เจ๊งเลย ทุกวันนี้ส่วนแบ่งก็ยังพอๆกับAMDอยู่นะของแบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นในปีสองปีหรอกอีกอย่างแบรนที่มีรูปลักษณ์เป็นluxuryมักจะมีความsustainableมากกว่าแบรนทั่วไปโดยที่ไม่เกี่ยวข้องกับสเป็คหรือนวัตกรรมก็ยังคงอยู่ในตลาดไปได้อีกนานแค่ยอดอาจจะไม่ดีเท่าสมัยก่อน ตราบใดที่ยังมีคนยืนกรานจะใช้macแต่ไม่สามารถตอบเหตุผลที่ดีได้appleก็ยังจะขายได้อยู่เรื่อยๆ หลายคนเลือกสินค้าเพราะแบรนไม่ได้สนใจสเป็คเลยและคนเหล่านี้เค้ามีกำลังจะซื้อได้เหมือนสายงูเหลือมของฝั่งAudioนั่นแหละสายlanเส้นละหมื่นยังมีคนซื้อตราบใดที่เค้าเชื่อมั่นในแบรน
ได้ยินตั้งแต่สมัยมีม "หรือนี่คือสัญญาณของการล่มสลายฯ" จนตอนนี้ยังไม่เห็นมีใครเอาแอปเปิลลง
ก็จุดเด่นของ Apple คือ สาวก ที่รักหมดใจ ขนาดออกแบบให้ปุ่ม Power อยู่ใต้เครื่อง Mac Mini ยังออกมาแก้ตัวแทนเลย ทั้งๆที่คนทั่วไป เขาก็เห็นตรงกันหมดว่าออกแบบแย่
Apple ไม่ใช่ผู้นำด้านนวัตกรรม ไม่ใช่บริษัทที่คิดค้นสิ่งใหม่ได้เป็นแห่งแรก แต่ทำไมทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์หลายเจ้าถึงเอาแรงบันดาลใจจากบริษัทตราผลไม้นี้ล่ะ แล้ว Meta (โดยเฉพาะ Facebook) มีนวัตกรรมอะไรบ้าง
Mark เขายังมีความเป็น nerd อยู่เยอะ ทำให้มุมมองสินค้าจะเน้นที่นวัตกรรมเป็นหลัก แต่โครงสร้างองค์กรของ Apple เขาเปลี่ยนแปลงไปหลังจาก Job เสียชีวิต เพราะเขารู้ว่าถ้าเดินตามทางเดิมน่าจะไม่รอด เพราะไม่มีคนชี้นำทิศทางทั้งองค์กรให้เห็นไปแนวทางเดียวกันเหมือน Job รวมถึงกลุ่มลูกค้าก็เปลี่ยนไปด้วย
ตอนนี้กลายเป็นสินค้าแฟชั่น เครื่องประดับไปแล้ว ซึ่งในกลุ่มนี้ไม่ได้เน้นเรื่องนวัตกรรม หรือการขายจำนวนมาก แต่เน้นการสร้างความเชื่อว่าสินค้าที่เราถือเป็นของหรูหรา ราคาแพง ซึ่งในเชิงนวัตกรรมมันก็คือนวัตกรรมทางสังคมนั่นแหล่ะ ในการสร้างความเชื่อกับคนกลุ่มใหญ่ได้ ซึ่งก็หาได้ยากนะคนที่จะทำได้แบบนี้ เพราะมันเหมือนการสร้างศาสนาใหม่ขึ้นมาโดยมีสินค้าเป็นตัวชี้นำความเชื่อ เหมือนไม้กางเขน หรือพระเครื่องนั่นแหล่ะ
+1
เคยไปฟังจากที่ไหนสักแห่ง ว่าอย่ามอง Apple เป็นบริษัทที่ขายสินค้าทางด้านเทคโนโลยี
แต่ให้มองว่าเป็นบริษัทที่ขายสินค้าแฟชั่นโดยมีเทคโนโลยีเป็นตัวเสริม (อารมณ์ประมาณ สินค้า Brand Name กระเป๋าหรู เสื้อผ้าหรู)
ถ้ามองแบบนี้ก็จะพอนึกภาพออกว่า ทำไมบริษัทที่ไม่ค่อยมีเทคโนโลยีอะไรใหม่ ๆ ถึงยังสามารถเป็นผู้นำและทำกำไรได้จนมาถึงทุกวันนี้ผ่านมา 10-20 ปีแล้ว
การที่ลูกค้าซื้อ ปัจจัยอาจจะไม่ใช่ทางด้าน Techincal หรือ Spec โทรศัพท์ที่ดีอย่างเดียว (ไม่งั้นก็คงซื้อโทรศัพท์ Android รุ่น Top ที่ทั้ง Spec และ กล้องดีจนนำห่าง Apple ไปตั้งนานแล้ว)
โดยเฉพาะปัจจัยการเลือกซื้อทางด้านแฟชั่น ค่านิยม อะไรพวกนี้มันเปลี่ยนกันยาก
หลักๆคือบริการหลังการขายนะ Android เมื่อก่อนในในไทยก็บริการแบบเหมือนไปขอเขามาใช้ส่วนประเทศในยุโรปเขาไม่ค่อยรู้สึกถึงความต่างของบริการเพราะกฎหมาย อย่างการคืนสินค่าภายใน 7 วัน 14 วันเนี่ย เจ้าอื่นมีมาก่อน Apple เข้ามาไทยอีก แต่ คืนจริงปัญหาเยอะแยะไปหมดจนไม่อยากทำเรื่องคืนถ้าไม่มีเวลาและมีปัญหาแบบสุดกู่
ไม่หรอก ส่วนตัวที่ใช้ เพราะ eco system กับความง่าย ไม่ต้องคิดเยอะ
หมดวัยที่จะต้องมาหาทางแก้ปัญหาและ เหนื่อย เสียเวลาชีวิต 55
นวัตกรรมของ facebook คุณก็ ให้คนที่หลอกลวงไปสวมรอยเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักไปหลอกลวงคนแต่เขาจ่ายค่าโฆษณา เลยได้เป็นตัวจริงในโลก facebook แต่ ตัวจริงในโลกจริงไม่จ่ายค่าโฆษณา กลายเป็นตัวปลอมใน facebook และถ้าไม่ดังจริงๆจนออกสื่อทั่วโลกได้รับรู้ ตัวปลอมที่จ่ายค่าโฆษณาจะได้ตัวตนของบุคคลที่สวมรอยไปเลยจริงๆในโลก facebook เพราะไม่เอาออก ทำให้คนวงนอกที่ไม่รู้จักบุคคที่โดนสวมรอยเป็นการส่วนตัวไม่รู้จะเชื่อใคร
Apple นั้นยังมี Software ที่ใช้งานง่าย และเหมาะกับ end user มากกว่า android อยู่เยอะ
ฝั่ง Android ตัวเลือก Pure Android ไม่มีตัวเลือกที่ Mass เท่า iphone เลย มันเลยชอบมีปัญหากับพวกแอพแถมมากับเครื่อง บางอย่างก็บังคับใช้จนน่าเกลียด เช่นแอพนาฬิกาในมือถือxiaomiที่บังคับใช้ของxiaomiจนสั่งGoogle Assistants ตั้งนาฬิกาปลุกไม่ได้ ทั้งๆที่มันน่าจะเป็นฟังก์ชั่นง่ายๆที่ควรจะสั่งให้ทำได้แท้ๆ
ผลิตภัณฑ์ของ Apple ตอนนี้แข็งแกร่งสุดๆนะผมว่า มีทั้ง Hardware ไล่มาตั้งแต่ PC, Laptop, tablet, smart phone, smart watch และอื่นๆ ไหนจะลงไปทำระดับ chipset เองอีกต่างหาก
ส่วนฝั่ง Software ก็มีทั้ง Appstore, iCloud, Apple music
คือถ้ามองว่า 1 บริษัทแล้วมีสินค้าในมือเยอะขนาดนี้ ไม่แกร่งก็ไม่รู้จะว่าไงละ ส่วนเรื่องนวัตกรรม ของแบบนี้ ใช่ว่าจะมีกันทุกปี บางทีอาจจะต้องการเวลา 10 ปี 20 ปี
ส่วนตัวไม่เคยมองว่าสินค้าไอทีเป็นแฟชั่น (อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ) แต่ก็พอเข้าใจว่าบางคนมองว่าสินค้ามันสวย และคิดว่าเป็นแฟชันอย่างนึง
..: เรื่อยไป
ใช้ไอโฟน
เคสใส 14บาท (แอพส้ม)
ฟิล์มกระจก 100บาท (จากเมื่อก่อน350บาท)
หัวชาร์จใช้ของ laptop ไม่ต้องซื้อ
รถมีพอร์ต Type-C สายก็เสียบได้เลย
แพงแค่ตัวโทรศัพท์ ค่าใช้จ่ายอย่างอื่น ถูกมากจะไปมองยี่ห้ออื่นทำไม
ขออนุญาตครับ มันอดไม่ได้จริง ๆ
ใช้Samsung
เคสใส 14 บาท (แอพส้ม)
ฟิล์มกระจก 50 บาท (จากเมื่อก่อน 100 นึง)
หัวชาจใช้ของ Laptop ไม่ต้องซื้อ
รถมีพอร์ต Type-C สายก็เสียบได้เลย
โทรศัพท์ก็ถูก ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นก็ถูก จะไปใช้แอปเปิ้ลทำไม อิอิ แซว ๆ
ที่บ้านมี Vivo กับ เครื่องผูกโปรยี่ห้อทรูร้านโทรศัพท์ไม่มีฟิล์มให้เปลี่ยนด้วยซ้ำ
ถ้าซัมซุงกับไอโฟน
ไอโฟนตอนนี้ใช้เป็นกุญแจรถเบนซ์กับบีเอ็มได้
ออกไปกินข้าวนอกบ้าน ไม่ต้องพกกุญแจรถ
Android ก็ทำได้นี่ฮะ
https://www.theverge.com/2023/4/25/23697212/bmw-digital-key-plus-support-google-pixel-samsung-galaxy-devices
รอดูว่ามีอันไหนที่พี่เค้าจะแก้ต่างอีกมั้ย 😅
ผมเข้าใจว่าตอนนี้ยังไม่เปิดให้บริการทั่วโลกนะครับ แต่คงขยายไปเรื่อยๆ ไม่รู้ไทยต้องรออีกนานไหม
นวัตกรรมของ iphone คือ ความเป็นส่วนตัวครับ คงสวนทางกับบริษัท ที่ขายความเป็นส่วนตัวให้ บริษัท Third Party
ผมอยู่กับไอโฟนไม่ใช่ว่าเรื่องนวัตกรรม แต่อยู่เพราะเขาทำระบบเรื่องการเข้าถึงได้ดีมาก
ผมพูดได้เลยว่าในปัจจุบัน ไม่มีค่ายไหนทำระบบออกมารองรับการเข้าถึงของคนตาบอดได้ดีเท่าไอโฟน อัปเดตก็ง่าย เครื่องใช้ไปหลายปีก็แทบไม่หน่วง
แม้จะไม่ได้เป็นผู้นำทางนวัตกรรมอะไรผมก็ยังจะใช้ต่อไปนั่นแหละ เพราะต่อให้มีนวัตกรรม แต่ผมเข้าไม่ถึงก็คือจบ
ของพี่มาร์คมีไรบ้างนะ ดังๆ ใช้ทั่วโลก คนเข้าถึง เห็น่งายๆ ก็เฟส ig เอง อุปกรณ์อื่นๆ มันเฉพาะกลุ่มจะตาย
แต่ๆ ข่าวในไทยล่าสุดก็มือถือจีนฝั่งแอพเถื่อนมาเนียนๆ ยังได้ เคสนี้กับ Apple คงไม่มีมาง่ายๆ แน่ๆ ยกเว้นเพลง ที่ไม่ได้มีความเสี่ยงอะไร
Facebookก็ไม่ได้ต่างหรอก
จริง ๆ ถ้าเรื่อง นวัตกรรม เจ้าอื่นเขาแซงไปนานแล้วนะครับ
แต่ปัญหาคือ เจ้าอื่นแซงจริง แต่มันแอบเนียนอะแอบใส่โน่นใส่นี่มา ที่ไม่ควรใส่ เช่น app ที่ลบไม่ได้ โฆษณาที่ไม่ควรมี
ถ้าวันไหนที่เจ้าอื่นถ่ายวิดิโอลงโซเชียลได้ดีเท่าคงไม่จำเป็นต้องใช้ แต่ ณ วันนี้ ยังไม่เห็นอยู่ดี
ก็จริงก็ของตามาร์คในเชิงนวัตกรรมวูบวาบ แต่ผมว่าจุดแข็งค่ายผลไม้คือ commitment กับ integrity นี่แหละ ที่ซื้อใจผู้บริโภคได้ ทำแล้วต้องดี ต้องคราฟสุด ใช้แล้วมั่นใจ อุ่นใจ ว่าจะไม่มีมามั่วๆ แอบๆ ยัดๆ อะไร(ว่าแต่เมื่อไหร่ Apple intelligence พรี่เค้าจะมา...)
เขาก็ขายได้เรื่อยๆ ต่อให้ไม่มีนวัตกรรม ของเขาก็มีคุณภาพใช้งานได้ดีพี่มาร์คทำเพจพี่มาร์คให้ดีเถอะ ฟีเจอร์น่ารำคาญเยอะ มีการซ่อนคอมเมนต์อยากดูต้องคลิ๊กดูทั้งหมด คลิ๊กดูรูปในคอมเม้นพอปิดไป คอมเมนต์เด้งกลับไปที่จุดเริ่มต้นที่เลื่อนๆมาหายหมด น่ารำคาญมาก แจ้งเพจปลอม แจ้งรูปล่อแหลม บอกไม่ผิดกฎคอมมูนิตี้ เคยลุ้นให้กูเกิ้ลพลัสเกิดก็ดันไม่เกิด
ecosystem แหล่ะ ตั้งแต่ Mac IPhone IPad มันเชื่อมกันได้หมด พอเข้ามาอยู่ในนี้ก็ออกไม่ได้แล้ว
ผมชอบนวัตกรรมเฟสบุ๊คนะครับ ที่ยิ่งรีพอร์ตยิ่งเอาโพสสแปมขึ้นมาให้ดู ชอบมาก
คอมเม้นต์ในนี้สอนให้รู้ว่า การจะพูดว่าอะไรใครควรทำตัวเองให้ดีๆ ก่อน (ซึ่งก็จริง)
privacy คือนวัตกรรมในยุคที่พวกคุณคอยจ้องแต่จะสูบข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าไปขาย
ดูอย่าง fineasy ซื้อโทรศัพท์มาใช้ แต่ตัวเองกลับกลายเป็นสินค้า
Facebook เองเดี๋ยวนี้แทบไม่เห็น feed เพื่อนแล้ว เอาแต่อะไรก็ไม่รู้มาแสดง page ที่ไม่ได้ like ไม่ได้ follow ก็เอามาแนะนำ ไหนจะ sponsored อีก
That is the way things are.
Facebook เสื่อมมาก ถึงมากที่สุด Feed ในกรุ๊ปก็ทำแบบเอาของเดิมที่ใส่มาเต็มตัดมาสั้น ๆ Feed ข่าวก็เอาอะไรไม่รู้มาขึ้นเต็มไปหมด และเรียงเวลาได้เละเทะมาก ก่อนจะว่าคนอื่น พูดถึงคนอื่น ทำตัวเองให้ดีก่อนนะ