ช่วงหลังมี งานวิจัย เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์สวมใส่เพื่อสุขภาพมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ล้วนแล้วแต่ยังไม่พบว่าอุปกรณ์เหล่านี้ช่วยทำให้สุขภาพดีขึ้นจริงเสียเท่าไหร่ มาวันนี้มีงานวิจัยอีกชิ้นเผยให้เห็นว่า อุปกรณ์ยี่ห้อดังอย่าง Fitbit นั้นมีไว้ใช้เฉยๆ ก็ไม่ได้ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น
ทีมนักวิจัยจาก Duke-NUS Medical School ในสิงคโปร์ นำโดย Prof. Eric Finkelstein ได้ทำการรวบรวมอาสาสมัครอายุ 21-65 ปีจาก 13 บริษัทในสิงคโปร์จำนวน 800 คน ทำการสุ่มออกเป็นสี่กลุ่ม โดยมีกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับอะไรเลย, กลุ่มที่สองได้รับอุปกรณ์วัดก้าว Fitbit Zip , กลุ่มที่สามได้รับ Fitbit Zip พร้อมกับเงินรางวัลถ้าเดินได้ตามเป้าหมายแต่เงินรางวัลจะบริจาคให้องค์กรการกุศล, และกลุ่มสุดท้ายได้รับ Fitbit Zip พร้อมกับรางวัลให้กับอาสาสมัครเอง หลังจากนั้นทั้งสี่กลุ่มจะถูกวัดปริมาณเวลาที่ใช้ไปกับกิจกรรมการออกกำลังที่ใช้พลังงานสูง น้ำหนัก ความดันโลหิต และคุณภาพชีวิต
ผลการวิจัยเมื่อผ่านไปเป็นเวลาหกเดือนพบว่า กลุ่มที่มีเงินรางวัลเข้ามาเกี่ยวข้องนั้นใช้เวลาออกกำลังได้มากขึ้นกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติทั้งกลุ่มที่บริจาค (มากขึ้น 21 นาทีต่อสัปดาห์) และกลุ่มที่เก็บเข้ากระเป๋าตัวเอง (มากขึ้น 29 นาทีต่อสัปดาห์) ส่วนกลุ่มที่ได้ Fitbit ไปเฉยๆ นั้นไม่มีความแตกต่างจากกลุ่มควบคุมแต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อติดตามต่อหลังงานวิจัยจบที่หนึ่งปีเมื่อไม่ให้เงินแล้วพบว่าระยะเวลาลดลงกลับสู่สภาพเดิม ทั้งนี้ไม่พบความแตกต่างของน้ำหนัก ความดันโลหิต และคุณภาพชีวิตเลยของทั้ง 4 กลุ่ม
Prof. Finkelstein ได้ให้ความเห็นว่า อุปกรณ์แบบนี้นั้นเปรียบเสมือนแค่ "เครื่องมือวัด" ไม่ได้เป็นเครื่องช่วยกระตุ้นให้ไปออกกำลังมากเท่าไหร่นัก เพราะถึงแม้ช่วงแรกคนส่วนใหญ่จะตื่นเต้นและไปออกกำลัง แต่เมื่อใส่ไปหลายๆ วันเข้าความรู้สึกตื่นเต้นกับเครื่องมือใหม่ก็จะลดลงแล้วก็จะกลับเข้าสู่สภาพเดิม ส่วนการที่กลุ่มที่ได้เงินนั้นเป็นสิ่งกระตุ้นภายนอกที่่มีตลอดเวลาและ Fitbit ก็เป็นเครื่องมือวัดผลลัพท์ของความสำเร็จนี้เสียมากกว่า
ที่มา: Medscape , Lancet Diabetes & Endocrinology
Comments
Body drive by Money
เรื่องการออกกำลังกายหรือการรักษาสุขภาพนี่ส่วนใหญ่มันต้องมีแรงจูงใจจากภายในตัวเองที่มากพอก่อน พวกสิ่งอำนวยความสะดวกหรืออุปกรณ์รวมทั้ง challenge อะไรต่างๆ พวกนี้เป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น ตัวอย่างเช่นการมีบ้านอยู่ติดกับยิมหรือสนามกีฬาก็ไม่ได้เป็นการรับรองว่าจะทำให้คนที่อยู่ในบ้านนั้นอยากออกกำลังกายเพิ่มมากขึ้น
ใช่เลยครับ ผมเคยวิ่งจนจบมาราธอนได้ นน. ตัวลดไป 12kg แต่พอจบมาราธอนแล้ว กลับมาอ้วนเกือบเท่าเดิม เพราะหมดแรงบัลดาลใจครับ ส่วนอีกเคสเพื่อนโดนหมอเตือนว่า ถ้าอ้วนต่อไปอย่างงี้อีก ไม่เกิน 8 เดือนตายแน่นอน โรคเยอะมาก ชีวิตพลิกเลยครับ
เห็นเพื่อนผู้หญิงเห่อซื้อมาใส่กันใหญ่ ซื้อถ่ายรูปอัพลง ig "ชั้นจะต้องผอม" ล้พื่อสุขภาพที่ดีขึ้น" แล้วเธอก็โพสต์รูปใส่fitbit กินฮันนี่โทสต์ บิงชู เหมือนเดิม
กินขนมไม่ผิดหรอกครับ ถ้าออกกำลังกายด้วย
+1
กินกับออกกำลังกาย มันคนละส่วนกัน
มันควรวัดคนที่ตั้งใจซื้อมาใส่เพื่อวัดการออกกำลังกายนะ
ผมว่าซอฟต์แวร์ไม่ดึงดูดครับ ตอนแรกที่ใช้อุปกรณ์ทำนองนี้ผมก็เฉยๆ ตอนนี้มีการฟักไข่โปเกม่อนเป็นรางวัล ทำให้อยากวิ่งหรือเดิน แม้จะระยะไม่มาก แล้วอุปกรณ์เก็บข้อมูลพวกนี้ก็พลอยได้ทำหน้าที่ของมันไป ไม่กองอยู่บ้านนิ่งๆ 55
my blog
สำหรับผมอุปกรณ์พวกนี้ช่วยมากในการกระตุ้นออกกำลังกาย โดยเฉพาะหากผูกกับ Socials แล้วมี challenges ต่าง ๆเข้ามา ...
จริงๆไม่เห็นต้องระบุยี่ห้อก็ได้มั้งครับ น่าจะระบุว่า wearable device ซึ่งทั่วไปก็ทำงานคล้ายๆกัน
+1
ในงานวิชาการถ้าจะทำแบบนั้นต้องวิจัยเกือบทุกตัวถึงจะเขียนแบบนั้นได้ มันมีขอบเขตงานวิจัยบอกแล้วว่าทำไมเขาถึงใช้เฉพาะ fibit ครับ
งายวิจัยนะครับท่าน ถ้าไม่ระบุนี่เหนื่อยพอสมควร
ถ้าอยากอ่านข่าวแบบนั้น เชิญลิงค์แรก วรรคแรก ย่อหน้าแรกในข่าวได้เลยครับ
ส่วนตัวผมเน้นใช้เรื่องแจ้งเตือนมากกว่าออกกำลังกายครับ
ใช้ Garmin ซิ.....555
เอาจริง ๆ นะ " ถ้าคุณอยากวิ่ง คุณวิ่งกิโลเดียวก็พอ เเต่ถ้าคุณอยากพบชีวิตใหม่ คุณค่อยมาวิ่งมาราธอน "
สิงคโปร => สิงคโปร์
ปกติวิ่งธรรมดาใช้ Nike+ อยู่แล้วพอได้ Apple Watch ก็เห่อวิ่งเพิ่มขึ้น แต่ใช้ไปสักพักรู้สึกว่าน่ารำคาญ มันอืดเต่ามาก หลังๆถอดทิ้งก่อนวิ่งแล้วใช้แค่ไอโฟนอย่างเดียว
จะมีคนประเภท เห็นมั้ยกูบอกแล้วว่าใส่ไปมึงก็ไม่ได้สุขภาพดีขึ้นหร๊อกกก แล้วก็ขำกับชีวิตของคนอื่นต่อไป เอาเป็นว่าใครที่คิดว่าใส่อะไรพวกนี้แล้วจะสุขภาพดีขึ้นนี่คิดผิดตั้งแต่ต้น อุปกรณืเหล่านี้มันไม่ได้ช่วย แต่มันเป็นเครื่องอำนวยความสะดวกในการจดและจำพฤติกรรมมากกว่า มันเหมาะสำหรับคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออยู่แล้วด้วยซ้ำ
+++1
ถ้าคิดจะซื้ออุปกรณ์พวกนี้ คุณต้องกลับมาทบทวนพฤติกรรมย้อมหลังตัวเองก่อน
ถ้าวิ่งหนึ่งวัน หยุดห้าวัน อย่าไปซื้อเลยครับ ยังไงมันก็ไม่ทำให้คุณวิ่งเพิ่มขึ้นแน่ๆ
มันก็แค่ตัวช่วยให้เห็นค่าต่างๆดีขึ้นแต่ถ้าไม่ทำจริงๆมันก็เท่านั้นแหละครับ
ผมโชคดีไป ใช้ fuel band
เป็นงานวิจัยที่ไม่มีประโชน์ นอกจากบลัฟสินค้า
เรียกว่าบลัฟก็คงไม่ถูกซะทีเดียวเพราะพิจารณาไปก็กระทบกับทุกเจ้าเลย
ไม่มีใครรู้เมื่อเริ่มวิจัยหรอกครับว่าจะบลัฟหรือจะสนับสนุนให้ขายได้มากขึ้น
Fitbit, Garmin vivo หรือพวก Wearable Devices มันไม่ได้ช่วยให้สุขภาพดีหรอกครับ ตัวที่จะช่วยให้สุขภาพดีจริงๆ น่ะ Endomondo, Strava ต่างหาก มีพวก Challenge, Segment ให้เล่นเพียบ ยิ่งลง Social ด้วยนี่ยิ่งกระตุ้นเลย
Destination host unreachable!!!
เคยเห็นคนลงแอพทุกตัวแต่ไม่มีความเคลื่อนไหว ไม่ทำ challenge อะไรเลยแบบนี้ก็เยอะนะครับ
ต้องมีคนกระตุ้นครับ ถ้ากระตุ้นไม่ติดนี่ก็ต้องปล่อยครับ
Destination host unreachable!!!
ตรงนั้นแหละครับผมถึงยังเชื่อว่าสุดท้ายก็ยังอยู่ที่เจ้าตัวล้วนๆ เครื่องมือต่างๆ มันถูกสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มความสนุกให้กับคนที่ต้องการรักษาสุขภาพของตัวเองอยู่แล้ว ส่วนคนที่ไม่สามารถเอาชนะใจตัวเองได้ต่อให้มีเครื่องมือดีแค่ไหนก็คงใช้ไม่ได้ผลเพราะเรื่องสุขภาพมันต้องใช้ทั้งเวลา ความอดทนและความมีวินัย
มันเป็นเช่นนั้นแหละครับ
555+
Destination host unreachable!!!
ที่ทำงานผมบิ้วกันเองครับ พอดีมีสายไตรกีฬาคนนึง สายมาราธอนคนนึง สายฟิตเนสคนนึง (ที่เหลือสายกิน) สามคนนี้ก็ค่อยๆ บิ้วคนอื่นกันทีละคนๆ เหลือคนท้ายๆ ที่ปกติไม่เคยออกกำลังกายเลย เจอเพื่อนๆ นัดกันไปวิ่งตอนเย็น + วิ่งที่สวนทุกเสาร์ก็เลยต้องไปด้วย ไม่งั้นเหมือนโดนทิ้ง
แอพควรเพิ่ม AI เข้าไป และเชื่อมต่อกับเครื่องชั่งน้ำหนัก เช่นเตือนให้ยืน เตือนให้ออกำลังกาย เตือนให้ทานอาหาร low calorie เตือนให้ไปเที่ยว ฯลฯ ดูตัวเลขอย่างเดียวน่าเบื่อ
เตือนไปก็แค่นั้นแหละครับ ถ้าเจ้าตัวมันไม่ทำ
Destination host unreachable!!!