หลังจาก Larry Page ได้ออกมาพูดผ่านสื่อวันก่อนว่าเรื่องที่ Steve Jobs ต้องการทำสงครามกับ Android เป็นแค่การแสดงเท่านั้น ล่าสุดทาง Walter Isaacson ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติของ Steve Jobs ได้ออกมาโต้แย้งว่าความโกรธของ Steve Jobs นั้นเป็นของจริง
Walter Isaacson ได้กล่าวที่ Royal Institute โดยเล่าถึงที่มาของความโกรธของ Jobs ที่มีต่อ Android ว่าเริ่มจากยุคปี 1980 ที่แนวคิด GUI ของเครื่อง Mac ได้ถูกไมโครซอฟท์ขโมยความคิดไปสร้างระบบปฏิบัติการเลียนแบบ แล้วเอาไลเซนส์ไปเร่ขายให้กับบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์จนภายหลังไมโครซอฟท์ก็กลายเป็นเจ้าตลาดพีซีในที่สุด
Isaacson บอกว่าเหตุการณ์เดิมได้กลับคืนมาเพราะ Android แทบจะลอกทุกส่วนของ iPhone และ iOS แล้วเอาไลเซนส์ไปแจกให้ชาวบ้านใช้ฟรีๆ จนมีส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนแซงหน้าแอปเปิลไปแล้ว
ที่มา - Cult of Mac
Comments
ยังขอแอบกัดตาบิลนิดนึงจนได้ 555+
GUI ของ mac ก็เอามาจากของ xerox หนิครับ แล้วจะไปโกรธเขาทำไมล่ะ
+1
จุๆ เดียวสาวกได้ยินความจริง
เอามาจาก xerox เพราะผู้คิดค้นไม่สามารถพัฒนาต่อได้แล้วครับ ทาง xerox ไม่อยากจะขาย แต่ผู้พัฒนาเชื่อว่า Steve Jobs จะสานต่อได้บอกให้ขายไปเถอะครับ
ผู้บริการของ XEROX ไม่เอาเองนิ่ครับ ?
oxygen2.me , panithi's blo g
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
สรุป จ่ายเงินจ่ายทองกัน เพราะเชื่อว่า Steve จะเอาไปพัฒนาต่อได้แล้วก็เป็นจริงซะด้วย
แต่ที่ไปเอามาดื้อๆ ไม่ได้ซื้อมานี่สิ.......
ผู้บริหารอยากจะเก็บ แต่ผู้พัฒนาอยากจะขายครับเพราะไปต่อไม่ได้
แม้ว่า GUI ของ Mac ช่วงต้นจะมาจาก Xerox แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Microsoft จะมีความชอบธรรมใน "การได้รับแรงบันดาลใจ" ต่อมาจาก Apple นี่ครับ ?
สมมติว่าผมไปเจอชุด ๆ หนึ่งเห็นว่าสวยดี จากนั้นนำชุดนี้เป็นต้นแบบมาออกแบบเพิ่ม เปลี่ยนสี เปลี่ยนชนิดของผ้า เปลี่ยนความยาวของบางส่วน จากนั้นนำไปขาย หากคิดด้วยตรรกะแบบเดียวกันแปลว่าถ้ามีคนอื่นมาลอกเลียนชุดผมไปขายผมก็ห้ามโกรธอย่างนั้นหรือครับ ?
จะบอกว่าผมเองก็ไม่ได้คิดว่า Wikipedia หรือรวมไปถึงหนังสืออ้างอิงที่ใช้เขียนประวัติศาสตร์พวกนี้คือความจริง 100% หรอกนะครับ เรื่องมันผ่านไปแล้วไม่ว่าอย่างไรเราก็ไม่มีวันรู้ความจริงอันเที่ยงแท้ไปได้ แต่อย่างน้อยผมคิดว่ามันก็น่าเชื่อถือกว่าการที่เราไม่ได้ใช้อะไรอ้างอิงแล้วมาพูดกันลอย ๆ มากอยู่ครับ
That is the way things are.
คุ้น ๆ ว่าคนที่ทำ Windows ก็มาจาก PARC คงไม่จำเป็นจะต้องไป "รับแรงบันดาลใจ" หรอกนะครับ
ผมไม่มีโอกาสได้เห็นข้อมูลเรื่องนี้ก็เลยว่าไปตามที่อ่านใน wiki ครับเพราะ Macintosh released 1984 ส่วน Windows 1985 โดยที่ไม่ได้บอกละเอียดอะไรเลยเอาไว้ว่าเริ่มต้นอย่างไร แม้กระทั่งใน wiki หน้า history of Microsoft Windows เองก็เขียนไว้เพียงแต่ว่า
ถ้ามีข้อมูลแย้งรบกวนแปะ link ไว้ให้ด้วยครับ
That is the way things are.
http://en.wikipedia.org/wiki/Apple_Computer,_Inc._v._Microsoft_Corporation
มีหรือไม่มี ความชอบธรรม ?เรื่องมันจบไปนานแล้ว
ลอยไม่ลอยก็อ่านเอาเอง
ทางกฎหมายมันจบไปนานแล้วครับอย่างที่ใคร ๆ ก็รู้ แต่หัวข้อที่เราคุยกันตั้งแต่ต้นนี่เราพูดถึงอารมณ์ความรู้สึกครับว่าควรจะโกรธหรือไม่ ทำไมเพราะเหตุใด เรื่องราวเริ่มต้นมาจากตรงไหน
That is the way things are.
"แม้ว่า GUI ของ Mac ช่วงต้นจะมาจาก Xerox แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Microsoft จะมีความชอบธรรมใน "การได้รับแรงบันดาลใจ" ต่อมาจาก Apple นี่ครับ ?"
"ความชอบธรรมในการได้รับแรงบันดาลใจ"
การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเป็นสิ่งที่สังคมสร้างขึ้นไม่ใช่เรื่องธรรมชาติ
กฎหมายเรื่องทรัพย์สินทางปัญญามีที่มาที่ไป ที่อนุญาตให้ผู้คิดค้นหรือผู้สร้าง
สามารถมี สิทธิ์ผูกขาดบางประการในการใช้งานและหาผลประโยชน์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด
โดย อะไรที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายก็ให้นิยามไว้
กฎหมายนี้มีขึ้นเพื่ออาศัย กลไกทางเศรษฐกิจและธุรกิจผลักดันให้เกิด การสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ชาติ
ไม่ใช่ว่าคิดอะไรได้ก็ถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่กฎหมายคุ้มครองให้คุณผูกขาด
เช่นผมไปจดสิทธิบัตร กางเกงมีสองขาถุงมือมีห้านิ้ว แบบนี้ไม่ได้
ส่วนจ๊อบจะมีมุมมองเห็นต่างทางกฎหมาย ก็ไม่แปลกก็สามารถยื่นฟ้องต่อศาลได้
ศาลสหรัฐก็ตัดสินโดยตีความตามกฎหมายและเจตนารมณ์
หากตอนนั้นผูกขาดเรื่องเหล่านั้นได้ อีกหลายสิบปีที่อุตสาหกรรมไอที
น่าจะเรียกได้ว่ายังอยู่ใน ยุคมืดภายใต้การผูกขาดอันไม่สมควร
อะไรคือ "ความชอบธรรมในการได้รับแรงบันดาลใจ" ที่ศาลได้ชี้ลงไปในครั้งนั้น
ได้วางรากฐาน จนส่งผลให้เกิด ความเจริญก้าวหน้าของวงการ gui
ที่เราเห็นกันในตอนนี้
ศาลสหรัฐชุดนั้นได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องและดีงามแล้ว
เรื่องโกรธไม่โกรธ โกรธจริงจังหรือไม่
อันนี้ผมว่าเป็นเรื่องปัจเจก สะท้อนถึงทัศนคติจิตวิทยา บุคลิกภาพ
มันก็สะท้อนตัวตนเขาน่ะแหละ
อย่าไปคิดว่า คนเก่ง คนประสบความสำเร็จ จะใจกว้าง หรือจะเต็มไปด้วยลักษณะที่คุณคิดว่าดีไปหมด บางทีปมด้อย ปมเขื่องในใจของเขาด้วยซ้ำที่ทำให้เขาสำเร็จ
โลกมันก็แบบนี้
ต้มน้ำ ฉีกซองเครื่องปรุง :P
WE ARE THE 99%
แหงล่ะ ก็พี่แกขายผูกเครื่องนิ
ขอบคุณครับ
แอบคิดว่า อีตาวอลเตอร์ ไม่เคยใช้ android
ไม่หรอก งานเค้าจะขายดี ตราบที่เรื่องดราม่ายังคงอยู่
samsung ใหญ่แค่ใหน ?https://youtu.be/6Afpey7Eldo
+25
ก็ขโมย xerox มาทั้งคู่นั่นแหละ
อันนี้ต้องไปถามจ๊อบ ครับว่าโกรธจริง หรือไม่จริง
ยังจะเอามาขุดคุ้ยได้ไม่จบให้เอาไงดี ให้พี่ป๋องจุดธูป เรียกมาเคลียร์?
"จนมีส่วนแบ่งตลาดสมาร์ทโฟนแซงหน้าแอปเปิลไปแล้ว" ชอบประโยคนี้นะ
ชอบทั้งย่อหน้าสุดท้ายเลย ร้ายกาจๆ
Larry Page หาทางลงสวย ๆ ให้ ไม่ยอม --"
ช่ายๆ เขาลงให้สวยเลย... แต่ก็นะ..
แต่ก็นะ... ถ้าเรื่องเงียบก็ไม่มีกระแส หนังสือ สตีฟ จ๊อบส์ก็ขายได้น้อยลง
ตาวอลเตอร์ก็เลยขอสวนกระแส ให้มีข่าวสักหน่อย หนังสือจะได้ขายได้ต่อไป
ก็เป็นไปได้แฮะ :)
จ๊อบอยู่บนสวรรคงหัวเราะน้ำตาเล็ด ขนาดเขาตายแล้วยังทำให้คนเป็นทะเลาะกันได้อีก ส่วนคนเป็นก็มัวแต่มาทะเลาะกันเพราะคำพูดของคนตาย
จ๊อบ ไม่ใช้หัวหน้าพรรคปรองดองคับ คิดว่าน่าจะชอบใจซะอีก
Good artist copy,Great artist steal...
ได้แนวทางมาจาก xerox แต่ด้วยว่าเห็นมาแค่นิดหน่อยแล้วคิดไปเองว่า มันทำแบบนั้นแบบนี้ได้ ก็เลยพัฒนาซะเกิน xerox ไปมากมาย
ไม่มีลายเซ็น
"I'm going to destroy Android, because it's a stolen product. I'm willing to go thermonuclear war on this." มันก็ชัดอยู่แล้วนะ
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
Android ลอก iPhone, แต่ก็มีหลายส่วนที่ iPhone มาลอก Android, ความเป็น Zen แบบที่ Jobs ถือคือมุ่งทำลายล้าง? และนั่นคือสิ่งถูก ในมุมมองคนที่ชอบสินค้า Apple?
my blog
อ่าว ตกลงหุ่นลอกเขามาหรอเห็นหลายคนบอกไม่ได้ลอกนะ
55 ต่างก็ยืนบนบ่ากันและกัน ;D
my blog
ขอเชิญคุณริว จิตสัมผัสครับ .........
อิอิ แอบแซวๆ
ส่วนตัวคิดว่าคงจะโกรธจริงแหละครับ ด้วยนิสัยของลุงจ๊อบส์เป็นทุนเดิม
"ผมโกรธมาก"
Educational Technician
ถ้าผมเป็น Steve Jobs ผมก็โกรธครับ
That is the way things are.
you mad?
อีกหนึ่งเสียงยืนยัน
http://www.idownloadblog.com/2012/04/05/jobs-destain-for-android-real/
He Mad?
Sorry, Larry Page. Steve Jobs REALLY Wanted to Destroy Android.
ผมว่าบางอย่างก็ลอกมาจริง แต่ก็มีหลาย ๆ อย่าง iOS ทำไม่ได้นะ
รู้สึกว่าคนเขียนหนังสือ Steve Jobs เนี้ยท่าทางจะเป็นสาวกชาบูแล้วสินะ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ทำไม่ได้หรือเค้าไม่ทำครับ
ต่าง?
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ต่างครับ อย่างเช่น flash ที่ iOS เลือกที่จะไม่ซัพพอร์ตเพราะปัญหาเรื่องประสิทธิภาพโดยรวม หรือเรื่องไม่ซัพพอร์ต SD card เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยที่ควบคุมยาก คือจริงๆจะทำก็ได้แต่เลือกไม่ทำ
"iOS ทำไม่ได้" คนละความหมายกับ "Apple ทำไม่ได้" นะครับ
ผมก็ไม่เห็นว่าไอโฟนจะมีรูใส่ SD แล้วเอาดินน้ำมันไปอุดไว้ตรงไหน
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ทำไม่ได้ก็ถูกแล้วครับ (ไม่ได้พูดถึงตัวผู้สร้าง iOS นะ)
ถ้ามันมัวแต่คิดว่าเลียนแบบ เทคโนโลยีก็คงไม่ต้องพัฒนากันละ ใช้แต่ไอเดิมๆนี่แหละ
สาวก Android ทั้งนั้น ไม่รู้จริงอย่าพูดเลยครับ
รู้ก็บอกกันหน่อยนา นานะ :)
555555555555555
+1
แข่งขันกันหนะดีแล้ว ถ้าปล่อยให้ทำอยู่เจ้าเดียวก็กั๊กแหลก เราผู้ใช้ก็เลือกตามความต้องการแล้วกันครับ
จริงๆแล้ว Andy Rubin ผู้สร้าง Android เคยเป็นพนักงาน Apple มาก่อนครับ
ธรุกิจ อย่างแรกที่ต้องนึกถึงคือกำไร ทุกอย่างที่ทำให้ได้กำไร ก็เอาหมดแหละแค่ดูกฏหมายว่าจะมีโอกาศโดนฟ้องได้หรือไม่ทั้ง Android และ ios ต่างก็ทำเพื่อกำไรทั้งนั้น ต่างกันแค่แนวทาง ถ้า apple ไม่มีคู่แข่งป่านนี้คงไม่ได้มายืนถึงจุดนี้หรอกครับ เพราะการที่จะสร้างอะไรใหม่ๆแต่ล่ะอย่าง มันมาจากประสพการที่เคยเห็นผ่านๆมาทั้งนั้น รวมทั้งคู่แข่งด้วย
เคยเรียนกับอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่าเรา Engineer ทั้งหลายไม่จำเป็นต้องไปคิดอะไรใหม่ก็ได้แต่เอาของที่มีอยู่แล้วในโลกนี้มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ก็เพียงพอแล้ว
ความจริงคือ Apple เองก็ไม่ได้คิดอะไรใหม่เลย Technology มันมีอยู่แล้วเพียงแต่ Apple ฉลาดตรงที่เอาการตลาดเข้ามามีส่วนในการผลักดันให้เกิดสิ่งที่คนไม่เคยเห็น
+1เห็นด้วยอย่างยิ่ง
หน้าที่ engineer นั้นสิครับ ปรับใช้สิ่งที่มี. คิดอะไรใหม่ๆ หน้าที่นักวิทย์เขา
ขอเชิญคุณริว จิตสัมผัส...
เอ้าๆ เห็นมีคนเชิญ 2 คนแล้ว ยังไม่มา ผมช่วยเชิญอีกคนละกัน เผื่อเรียก 3 รอบแล้วจะมา 555
ขอเชิญคุณครูอังคณา เอ้ยไม่ใช่ ขอเชิญคุณริวจิตสัมผัสครับ ~~
@ Virusfowl
I'm not a dev. not yet a user.