เป็นข่าวที่ค่อนข้างใหญ่โตในต่างประเทศครับ เมื่อทวิตเตอร์ของเว็บไซต์ข่าวไอทีชื่อดัง Gizmodo ได้ถูกแฮกเกอร์ที่เรียกตัวเองว่า Clan Vv3 ยึดครองและทำการทวีตเหยียดสีผิวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ต้นเหตุของเรื่องนี้เกิดจากบัญชี iCloud ของ Mat Honan ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเขียนของ Gizmodo ถูกโจมตีโดยใช้หลักการ วิศวกรรมสังคม (Social Engineering) เพื่อข้ามผ่านการตอบคำถามด้านความปลอดภัยของ Tech Support หลังจากนั้นแฮกเกอร์ได้เข้าไป remote wipe อุปกรณ์ทั้งหมดของเขา แล้วจึงเข้าถึงอีเมลต่างๆ จนนำไปสู่การทวีตข้อความบนทวิตเตอร์ของ Gizmodo
หลังจากเหตุการณ์นี้ทางผู้เสียหายได้ติดต่อไปยัง Apple เพื่อร้องขอให้มีการกู้ข้อมูลที่ถูกต้องให้ แต่คงเป็นไปได้ยากเพราะไม่มีข้อมูลใดๆ เหลืออยู่เลย และยังได้ส่งอีเมลไปถึง Tim Cook เพื่อเรียกร้องให้มีการปรับแก้นโยบายบางส่วนเพื่อไม่ให้ต้องมีใครต้องตกเป็นเหยื่อด้วย
ที่มา - Mat Honan's Tumblr via The Daily Dot
Comments
ตอนที่เขาโดน Remote Wipe เครื่อง MacBook Air เป็นอะไรที่สยองที่สุด
@TonsTweetings
+1 ตามไปอ่านแล้ว ตอนแต่ละ device ค่อยๆโดน wipe ไปนี่สยองมาก
แสดงว่าทุก device นี่ต่อเน็ตไว้ตลอดเลยแฮะ ถ้าปิดเน็ตทันยังมีโอกาสรอด
Social engineering คืออะไรฮะ เช่นถามว่า mid name ลุงชื่ออะไรงี้รึปล่าว
อยากรู้เหมือนกันครับ
เอาสั้นๆ ง่ายๆ คือการ "หลอกถามข้อมูล" นั่นแหละครับ...
Dream high, work hard.
ผมได้เพิ่มลิงก์ไปยัง Wikipedia แล้วนะครับ
หลักๆ คือทำนองนั้นครับ หลอกถามข้อมูลส่วนตัว แต่เดี๋ยวนี้มีโปรแกรมที่ช่วยเรื่องพวกนี้้ด้วยแล้ว (เคยรู้จักแต่ไม่เคยลอง)
อ่านจากต้นฉบับ เหมือนจะเข้าทาง tech support แล้ว bypass security question นะครับ
The Net!
my blog
+1 คิดถึงหนังเรื่องนั้นอยู่พอดี
ส่วนตัวเคยโดน wipe เครื่อง แบบนี้เหมือนกัน ตอนนี้ IPAD โดน สิ่งแรกที่ผมทำคือ ลงไปสับ cutout ทิ้งเลยครับ วิธีแก้แบบบ้านๆ เพราะที่บ้านมี rounter 2 ตัว เน็ต 2 เจ้า
ตอนนั้นคงตื่นเต้นและใจหายน่าดู
มีอาการยังไงบ้างอะครับ ถึงรู้ตัว
รู้สึกเริ่มเสียวๆ ละ
"As for 2 factor authentication preventing this, it would have kept my google account from being deleted, and probably kept them off of my Twitter feed"
อ่านแล้วดีใจที่ทำ 2Factor Authen กับ Google Account ไปแล้วสบายใจสุดๆ
อันนี้ไม่น่าจะตรงกับใน บล็อกเค้า นะครับ
ดูเหมือนว่าคนที่โดนโจมตีจริงๆคือ tech support ของ apple รึเปล่าครับ แล้วก็ไม่ได้ใช้เพื่อตอบคำถามด้วย แต่ใช้เพื่อข้ามไปเลย......
มาแนวเดียวกับตอน WHMCS โดนแฮคเลย
เคสนั้น Hosting โดนหลอกให้รีเซ็ตรหัสให้ Hacker
ในคอมเมนต์ของโพสต์ต้นฉบับเต็มไปด้วยtroll มาเยาะเย้ยบ้าง สมน้ำหน้าบ้าง แบบไม่ใช่น้อยๆเลย
ผมตกใจ เพราะไม่นึกว่าเวลาหายนะของเพื่อนมนุษย์แบบนี้(ถึงแม้พวกเขาจะไม่ชอบขี้หน้าก็ตามที)จะยังมีคนสะใจได้ลงคอ
ทัศนคติของฝรั่ง ต่างจากเราอยู่มากครับ ฝรั่งไม่ค่อยมีระบบเกรงใจสักเท่าไหร่
คุณ Mr.Whisper กำลังบอกว่า การสมน้ำหน้าซ้ำเติมความทุกข์แบบเปิดเผยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมก็เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมของเค้าหรือครับ แหะๆ
ป.ล. ผมเชื่อว่าเป็นโรคเกรียนมากกว่า มีทุกที่
troll คือ troll ครับ ไม่เกี่ยวกับทัศนคติไทยฝรั่งหรอก เว็บไทยก็เห็นบ่อยๆ
อาจเป็นเพราะว่า Gizmodo มีสายสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดีกับ Apple สาวกก็เลยเม้นท์จัดหนักหรือเปล่าครับ
เพิ่งเข้า เหมือนจะโดนสาวก อีกข้างจัดหนักหน่ะ แต่ troll ก็มีอยู่ไม่กี่คน หน้าเดิมๆด่าซ้ำๆนะ 55
ปล.อ่านแล้วสยองจริงค่อยๆโดน wipe ไปทีละอย่าง รีบกดปิดเครื่อง MBA(เหมือนจะทัน)
Wipe ไปทีละอย่างหน่ะดีแล้ว แต่ถ้า Wipe แบบเสกหายไปในพริบตาหน่ะ สยองกว่า
ความคิดผมหลังจากอ่านข่าวจบคือ โง่เอง ครับ เรื่องอย่างนี้เราทุกคนต้องระวังนะครับ มันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เราไม่ค่อยได้ไปยุ่งเกี่ยวกับมันนัก(คำถามกู้ข้อมูล) เราตั้งไว้ แต่เดี๋ยวก็ลืม ก็เลยตั้งให้ง่าย แล้วยิ่งถ้าคุณเป็นบุคคลสาธารณะ ต้องให้ละเอียดเลยครับ
โง่จริงๆด้วยครับ = ="
อ่านไม่ละเอียดจริงๆ งานนี้แฮกเกอร์ไม่รู้พาสเวิร์ดสักตัวครับ และพาสเวิร์ดไม่รั่วด้วย แต่แฮกได้ น่ากลัวไหมล่ะ
ต้องบอกว่า tech support แอปเปิลโง่รึเปล่าครับ?
รายนี้เจ้าตัวไม่เกี่ยวข้องเลย คนร้ายไปหลอก tech support ของแอปเปิลสำเร็จ เจ้าตัวเลยซวยซะงั้น
ปล. แอปเปิลจะชดใช้ยังไงเนี่ย...... แอคเคาท์วอยซ์เมล์บน gmail ก็พลอยโดนไปด้วย
เมื่อก่อนเข้า Twitter แล้วต่อเน็ตรีหน้าไปเรื่อยๆมันไปเข้าบัญชีใครก็ไม่รู้ แบบนี้ก็ทวีสได้สบายเลยเหมือนกัน
อันนั้นจาก ISP เก็บอะไนผิดสักอย่าง เลยทำให้แสดงผลสลับ
มีเว็บหนึ่งวิจารณ์ว่า iCloud นั้นมีระบบกู้ password ที่ง่ายเกินไปเมื่อเทียบกับ Google เพราะแค่ยืนยันตัวตนด้วยวิธีการข้างต้นก็ได้รหัสผ่านแล้ว แต่ Google จะทำสองชั้นคือต้องมี SMS ด้วย (Facebook ก็เพิ่งทำ) อันนี้ก็น่าสนใจในการแก้ไขจากนี้ของ Apple
คงคล้ายๆ กับ call center ของบัตรเครดิตในไทยนะครับ
ถามเลขบัตร ถามวันเกิด ถามบัตรประชาชน แค่นี้ก็สอบถามได้ทุกเรื่อง แถมดีไม่ดีเปลี่ยน pin ได้ด้วย
เขียนไว้เผื่อใครนึกภาพวิศวกรรมสังคมไม่ออกครับ
ใช่ครับเคยโทรไปทีหนึ่งน่ากลัวมากๆที่สอบถามข้อมูลแค่นี้ ซึ่งแค่ได้ภาพถ่ายเอกสารบัตรประชาชนของเหยื่อในมือรวมกับได้ภาพบัตรเครดิตเหยื่อมาในมือ แค่นี้ก็สามารถแอบอ้างเป็นเจ้าของและสามารถทำอะไรน่ากลัวๆได้แล้ว
เคยลืมรหัสผ่าน Internet Banking ของธนาคารสีม่วง โทรไปถามคอลเซ็นเตอร์ เขาถามแค่อีเมลที่ใช้สมัคร เลขที่บัญชี สาขาธนาคาร วันเดือนปีเกิด แล้วรีเซ็ตรหัสผ่านให้ผมเลย ง่ายสุดๆ
แต่อีกธนาคารนึง สีเขียวๆ ยุ่งยากกว่าเพื่อน เอกอะให้ไปธนาคารสาขาอย่างเดียว แต่ก็ดี รู้สึกปลอดภัย
ยิ่งน่ารำคาญ ขั้นตอนเยอะ ผมก็ยิ่งหงุดหงิดครับ แต่ผมพยายามอดทนเพราะรู้ว่ามันปลอดภัยขึ้น
แต่ก่อนมี Tele banking ที่ทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์ ... วิศวกร (คนที่แฮกด้วยวิศวกรรมสังคมต้องเรียกว่าวิศวกรใช่มั้ย?) ใช้วิธีเก็บสลิปเอทีเอ็มที่คนทิ้งเอาไว้ ... เดาอายุ ... แล้วเอามาทดลองกดเป็น pin เอทีเอ็มผ่านเทเลแบงกิ้ง
ไม่รู้แบบนี้เรียกว่าวิศวกรรมสังคมรึเปล่าครับ?
โดนจัดหนัก (จากแอปเปิ้ล) #เอาฮา
Coder | Designer | Thinker | Blogger
จาก http://www.macrumors.com/2012/08/06/how-a-hacker-gained-access-to-a-reporters-icloud-account/
เค้าเล่าวิธีการว่าจะ reset apple id password ต้องใช้ billing address และ เลขสี่ตัวท้ายบัตรเครดิต
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ความผิดอยู่ที่ Amazon สินะ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
เหมือนเป็นช่องโหว่เล็กๆของแต่ละเจ้า ที่อยู่โดดๆแล้วไม่เป็นไร แต่ถ้าหาวิธีเซาะแซะไปเรื่อย เอาข้อมูลจากที่นี่ไปใช้ที่นั่น ก็เป็นเรื่องจนได้อย่างในข่าว
@mamuang
+1 หลักการนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องเลยครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ถึงแม้ amazon ไม่มีช่องโหว่นี้ ก็ยังทะลวง apple tech support ได้อยู่ดีนี่ครับ
ถ้าเป็นสมาชิก แบบลงทะเบียนรับเมล์ แล้วไปใช้บัตรเครดิตที่ร้านนั้นก็มีความเสี่ยงแล้วครับ
รู้เมล์
รู้ที่อยู่
เห็นรหัสสี่ตัวหลังของบัตร
ผมยังงงนิดๆ ว่าทำไมถึงยอมให้เพิ่มอีเมล์ที่สองด้วย?
คิดเหมือนกันเลยครับ
นอกจากนี้การเพิ่มยังใช้ข้อมูลจากรหัสบัตรใบเดียวอีกตะหาก
จริงๆผมคิดว่า Apple ก็ผิดเหมือนกันนะ เพราะใช้แค่ Billing Adr. กับรหัสสี่หลักสุดท้ายที่ไม่ใช่ CVV แต่สาเหตุหลักมันมาจาก Amazon มากกว่าที่ทำให้ได้รหัส
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
เลข 4 ตัวหลังนี่เปิดเผยมาก รูดบัตรตามร้านต่างๆมันก็โชว์เลขนี้หมด
เหอะๆ เป็นผมคงอึ้ง wipe ทีละอุปกรณ์ O_O