Google รายงานผลการวิจัยที่อ้างว่าสามารถทำนายผลตอบรับของหนังที่กำลังจะฉาย โดยมีความแม่นยำของผลการทำนายสูงถึง 94%
Google อธิบายว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่มักหาข้อมูล, รูปภาพ, คลิปวิดีโอ รวมทั้งคำวิจารณ์เกี่ยวกับหนังใหม่ที่ตนเองสนใจจากเว็บไซต์บนอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจึงสามารถใช้ข้อมูลที่มีอยู่มากมายบนอินเทอร์เน็ตนี้มาวิเคราะห์ความน่าจะเป็นว่าหนังใหม่จะสามารถทำรายได้ในสัปดาห์แรกที่เปิดตัวได้มากเท่าไหร่ โดยสามารถเริ่มวิเคราะห์ได้ตั้งแต่ช่วง 1 เดือนก่อนหนังเริ่มฉายซึ่งมักจะมีวิดีโอตัวอย่างของหนังใหม่เผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ต
ข้อมูลที่ Google นำมาประกอบการวิเคราะห์นั้นมีทั้งสถิติการค้นหาวิดีโอตัวอย่างหนังส่วนหนึ่ง ประกอบกับข้อมูลทางสถิติด้านพฤติกรรมการดูหนังซึ่งแปรผันตามช่วงระยะเวลาในแต่ละปี รวมทั้งข้อมูลสถิติรายได้จากหนังที่เกี่ยวโยงกัน เช่น หนังภาคก่อนหน้า หรือหนังที่เป็นต้นเรื่องที่มีการแตกเนื้อหาออกมา เป็นต้น โดยข้อมูลส่วนนี้สามารถทำนายรายได้จากการฉายในช่วงสุดสัปดาห์แรกได้แม่นยำถึง 94%
เมื่อกำหนดเริ่มฉายหนังกระชั้นเข้ามาอยู่ในช่วง 1 สัปดาห์สุดท้าย Google จะเริ่มใช้ข้อมูลสถิติการค้นหาวิดีโอตัวอย่างหนังน้อยลง แต่จะใช้ตัวเลขสถิติจากการค้นหาชื่อหนัง ประกอบกับข้อมูลสถิติจริงเกี่ยวกับยอดผู้เข้าชมจากแหล่งข้อมูลผู้ประกอบการโรงหนัง มาวิเคราะห์ด้วยกัน ซึ่งให้ผลการทำนายรายได้ของหนังแม่นยำในระดับ 92%
หลังจากที่หนังเริ่มฉายไปแล้ว 1 สัปดาห์ Google จะปรับสูตรในวิเคราะห์รายได้ของหนังเป็นวิธีใหม่ โดยใช้สถิติจากการคลิกโฆษณาเข้ามาวิเคราะห์ แทนที่ข้อมูลสถิติด้านการค้นหา และด้วยวิธีนี้ Google อ้างว่าสามารถทำนายรายได้ของหนังในช่วง 1 สัปดาห์ให้หลังการเปิดตัวได้แม่นยำ 90%
นอกจากนี้ในรายงานของ Google ยังเปิดเผยอีกด้วยว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ หันมาค้นคว้าข้อมูลก่อนตัดสินใจไปดูหนังในโรงมากขึ้น โดยเฉลี่ยแล้วจะมีการหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ราว 13 แห่ง ทั้งนี้สถิติการค้นหาข้อมูลเกี่่ยวกับหนังเพิ่มขึ้นถึง 56% จากปี 2011 ถึงปี 2012
แน่นอนว่าข่าวนี้คงทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจหนังให้ความสนใจไม่น้อย แต่ทั้่งนี้ทั้งนั้นพึงพิจารณาว่าพฤติกรรมการดูหนังและการหาข้อมูลของผู้บริโภคในแต่ละประเทศนั้นอาจแตกต่างกัน ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลของ Google ก็อาจแม่นยำมากน้อยแตกต่างกันด้วย
ที่มา - Daily Mail , Tech2 , CNET
Comments
ใช้คำว่าภาพยนตร์แทนหนังจะดีกว่าหรือเปล่าครับ
อ่า....ผมเลือกใช้คำว่าหนัง เพราะเห็นว่ามันสั้นกว่าคำว่าภาพยนตร์น่ะครับ ก็เลยใช้คำนี้ตั้งแต่พาดหัวข่าว แล้วก็เลยเลือกใช้คำนี้ตลอดเนื้อข่าวเลย :)
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
:D ผมแค่คิดว่าบางทีคำว่าภาพยนตร์มันน่าจะเหมาะกับบทความแนวนี้มากกว่าน่ะครับ ปกติผมใช้คำว่าหนังเฉพาะในภาษาพูดน่ะครับ พอเจอในบทความแบบนี้เลยรู้สึกแปลก ๆ เท่านั้นเอง
ผล กา อำ อำ อำ ร ทำนาย
ข้อมูล
ไม่น่าจะต้อง fix มั้งครับ เพราะทุกวันนี้เวลาผมชวนเมียไปดูภาพยนต์ ผมจะบอกว่า "ไปดูหนังกันไหม"
ถ้าจะให้ผมบอกว่า "คุณไปชมภาพยนต์กับฉันไหม" มันก็ดูแปลก ๆ ดีครับ
มันก็ดูแปลก ๆ จริง ๆ นั่นแหละครับ ปกติผมก็ใช้ "ไปดูหนัง" เวลาคุยกับเพื่อนเหมือนกัน แต่พอดีว่านี่เป็นบทความผมเลยรู้สึกแปลก ๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้จริงจังอะไรเป็นพิเศษครับ
ผมตัดสินใจดูหนังจาก 3 อย่างแหะ องค์ประกอบของ poster หนัง, trailers และ คะแนนของ critic ที่ Rotten Tomatoes
ปกติเอา imdb ว่า
6.5-7 ก็ดูน่าสน7 นี่ น่าสนใจดี
7.5 up อยู่ในระดับที่ต้องไปดูให้ได้
แน่จริง Google ทำ Box Office Forecast เลยสิ ^_^
อาจจะกลายเป็นทุบหม้อข้าวตัวเองได้นะฮะ หนังหรือค่ายที่ถูกทำนายว่าฟีดแบ็คไม่ดีก็อาจงด ad ของ Google หมดเลยก็เป็นได้
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
หรือไม่ก็ "ให้เราช่วยโปรโมทสิ"
คนขี้ลืม | คนบ้าเกม | คนเหงาๆ
คิดได้ทั้ง 2 ทางครับ แต่จะบอกว่าที่เป็นอยุ่ในตอนนี้ Google ก็พึงพอใจอยู่แล้วรึเปล่า?
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
ฟีดแบคไม่ดี = หนังจะขายไม่ออก เลยแก้โดยการงดโฆษณา??? ตรรกกะแปลก ๆ >.<
ฟีดแบ็คไม่ดี ---> โทษว่า "เพราะ กูเกิล มันซี้ซั้วชี้นำคนอื่นโดยทายว่าหนังจะไม่เปรี้ยงนี่แหละ" ---> ไปอัดโฆษณาทางอื่นดีกว่า ตัดงบ ad ของ Google ลดลง เอาไปอัดแคมเปญทางอื่น จัดกิจกรรมทาง Facebook, ฉายสปอตทีวี, เพิ่มโฆษณาในโรง... บลาๆๆๆๆ ฯลฯ
ถ้าคนจะคิดอย่างนี้ผมว่าไม่แปลกหรอก :)
(ไม่ได้แปลว่าทุกคนต้องคิดอย่างนี้ แต่ผมว่าบางคนอาจจะคิดอย่างนี้ก็เป็นได้)
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
พอดีผมคิดอะไรง่ายไปหน่อย = = คิดซับซ้อนไม่เป็น คิดแต่ว่า อัดฉัดเงินเข้า Google ทาง AD อาจจะทำให้ Ranking ขึ้นง่ายกว่า(เพราะน่าจะ search แล้วขึ้นง่ายกว่า หรือไม่ก็คนคลิกมากกว่า) เท่านั้นเอง ต้องขออภัย คือผมไม่คิดว่า GG จะออก Product ที่ทำออกมาแล้วทำให้รายได้ตัวเองลดลง โดยการเป็นศัตตรูกับลูกค้าน่ะครับ เพราะเป็นผม ผมไม่ทำ - -
แต่ลูกค้าอาจจะคิดแบบคุณก็ได้ อันนี้ก็ไม่แน่ แต่ผมว่ายังไง GG ย่อมมีทางออก เพราะต่อให้อัดฉีดงบทางอื่นยังไง น่าจะอ้อมโลกมากกว่าจ่ายให้ GG ซะ และอาจจะเสียงบมากกว่า ซะอีก นอกจากว่าจะใช้อารมณ์ล้วน ๆ ในการดำเนินธุรกิจ โดยการงอน GG
ผมดูแต่ตัวอย่างอย่างเดียวไม่สนคำวิจารณ์ บางเรื่องโดนสับเละแต่ผมกลับดูแล้วสนุก สงสัยจริตคงไม่ตรงกับเหล่านักวิจารณ์
+1 อยากดูก็ดู สื่อไม่ค่อยมีผลเท่าไหร่
คนขี้ลืม | คนบ้าเกม | คนเหงาๆ
ถูกต้องครับ
เทลเลอร์โดนใจ ชื่อหนังเตะตา ผมก็เดินเข้าไปดูแล้วครับ
เหล่านักวิจารณ์ ไม่มีผลต่อผมเท่าไหร่เหมือนกัน
เอาง่ายๆ เลยเหมือนอย่างหนัง After Earth ในพันทิป โดนสับเละ
แต่พอผมเดินเข้าไปดู อืม ก็ไม่เลวร้ายอะไรนี่ ออกจะสนุกด้วยซ้ำ
?
ผมว่าวิธีวิเคราะห์ก่อนหนังเริ่มฉายไม่น่าจะใช้ได้กับหนังเรื่องคู่กรรมนะครับ
แก้หน่อยครับ เริ่มใ้ช้ ---> เริ่มใช้ (มีไม้โทเกินมาครับ)
วิเคราะห์หนังเหรอครับ ผมดูคนวิจารณ์จาก feed บน facebook เหอๆ
อย่าว่าแต่หนังเลย ละครก็มี เสมือนหนึ่งได้นั่งดูด้วยยังไงยังงั้น -"- เต็ม feed ไปหมด
ส่วนมากไม่ได้ไปดูในโรงอยู่แล้ว รำคาญพากไร้มารยาท เล่นโทรศัพท์/ถีบเก้าอี้
รอแผ่นออกค่อยดู
//บ่นๆ
^
^
that's just my two cents.
พูดแล้วเจ็บใจเพิ่งเจอผีโรงหนังมาเมื่อคืน มาด้วยกันสามสี่คนเมื่อคืนเหมือนเปิดอภิปรายอยู่ด้านหลัง แทบจะบรรยายทุกอย่างที่อยู่บนจอ
ไปดูเรื่องอะไรมาเอ่ย ผมไปดู after earth มา ดูแล้วอย่างเซ็ง แอบงงว่าพ่อลูก smith สร้างหนังไว้ดูเล่นในครอบครัวแล้วมันหลุดออกมาหรือเปล่า
เห็นคนบ่นว่ามันห่วยกันเยอะจริงๆครับ แต่หนังโรงผมเลิกดูนานละ เบื่ออย่างที่ข้างบนว่านั่นล่ะ อีกอย่างนึงคือ ถ้าที่ไหนอากาศเย็นๆผมลุกไปฉี่บ่อยมาก เสียอรรถรส
เรื่องนี้ผมว่าดูเพลินๆ นะ ไม่ได้คาดหวังอะไรเลยด้วยมั้งเลยไม่ค่อยรู้สึกผิดหวังอะไรเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าบางอย่างจะดูอภินิหารตามแบบฉบับผู้กำกับคนนี้ ซึ่งจริงๆ ผมไม่รู้มาก่อนด้วยซ้ำนะว่าใครกำกับ
งงยิ่งทำนายก่อนยิ่งแม่น ทำนายทีหลังกลับแม่นลดลง
หนังโรงเลิกดูแล้ว แพงมาก ยิ่งเรื่องดังก็บวกราคากันโหดๆ ต้องแย่งต่อคิวกันวุ่นวาย ค่าตั๋วสองใบ ได้ค่าแผ่น DVDแท้เต็มๆแผ่นด้วยซ้ำ(หรือได้ BD 1แผ่นราคาตอนลดราคาด้วยเสียอีก)
ดูที่บ้านสบายใจกว่า ถึงHTPC/BD player+AVR+LCD TV ผมจะไม่ถึงกับหรูหรา แต่ก็ได้ 5.1เต็มๆจากDTS-HD MA/Dolby TrueHD ก็พอไหว
อรรถรสมันต่างกันครับบางเรื่องดูในโรงสนุกมาก ดูที่บ้านกลับเฉย ๆ เพราะคนในโรงช่วยเพิ่มบรรยากาศด้วย อีกอย่าง ผมเน้นดูวันพุธ ไม่ก็ใช้โปรของนู่นนี่นั่น (มือถือ บัตรเดบิต บัตรเครดิต ตั๋วฟรีมั่ง) เว้นแต่บางเรื่องอยากมากจริง ๆ จัดตั้งแต่วันแรกราคาเต็ม แต่ก็ไม่บ่อย
แต่เดือนนึงผมดูหนังโรงน้อยมากครับ เฉลี่ย 1-2 เรื่องเอง ไม่ค่อยมีเรื่องดีๆ และผมก็ดูที่บ้านบ่อยกว่าแหละครับ ส่วนตัวกว่า อรรถรสก็ใช้ได้ (แต่ผมดูแค่เสียงจากลำโพงทีวีแค่นั้นเอง แหะ ๆ)
เช่นกันครับ ยังชอบที่จะดูในโรงหนังมากกว่า ถึงแม้ว่าอาจจะต้องลุ้นว่าคนที่ไปดูในรอบนั้นจะรู้จักการมีมารยาทในโรงหนังหรือเปล่า
ผมดูหนังแล้วสนุกเกือบทุกเรื่องนะครับ ในรอบห้าปีที่ผ่านมานี่ยังไม่เบื่อเรื่องไหน - -"
เรียกว่าโชคดีก็ได้ อย่างน้อยผมก็ว่าดูแล้วมีความสุขดีกว่าดูแล้วออกมาบ่น :D