พบบั๊กใหม่ของ Google Chrome ที่อนุญาตให้สามารถคัดลอกคอนเทนต์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังจาก Netflix, Amazon Prime หรือวิดีโอแบบ exclusive ของ YouTube ที่กำลังถอดรหัสเพื่อเล่นบนเบราว์เซอร์ให้ออกมาเป็นไฟล์ได้ ผ่านระบบ DRM (Digital Right Management: การจัดการลิขสิทธิ์ดิจิทัล) ใน Chrome ที่ชื่อว่า Widevine
David Livshits จาก Cyber Security Research Center ที่ Ben-Gurion University ในประเทศอิสราเอล และ Alexandra Mikiyuk จาก Telekom Innovation Laboratories ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีเป็นผู้ค้นพบปัญหานี้
ตัว Widevine ใช้เป็นส่วนขยายของสื่อที่เข้ารหัสเพื่ออนุญาตให้โมดูลที่ถอดรหัสสื่อนั้นสามารถสื่อสารได้โดยตรงกับระบบที่ปกป้องคอนเทนต์โดยการเข้ารหัส เพื่อให้ส่งสื่อที่เข้ารหัสมาให้ได้ โดยตัว EME จะเป็นตัวเก็บ key หรือ license ที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างระบบของผู้กระจายคอนเทนต์ กับ CDM ในเบราว์เซอร์ ซึ่งเมื่อเริ่มเล่นภาพยนตร์ที่ถูกเข้ารหัสไว้ CDM จะส่งคำขอ license ไปยังผู้กระจายคอนเทนต์ผ่านอินเตอร์เฟสของ EME และรับ license มาซึ่งจะอนุญาตให้ CDM ทำการถอดรหัสตัววิดีโอและส่งไปยังตัวเล่นวิดีโอของเบราว์เซอร์ได้
ปกติแล้วระบบ DRM ที่ดีจะต้องปกป้องข้อมูลที่ถูกถอดรหัสออกมาแล้วและอนุญาตให้สตรีมภายในเบราว์เซอร์ได้เท่านั้น แต่ช่องโหว่นี้ทำให้ระบบสามารถคัดลอกคอนเทนต์ไปได้ขณะที่กำลังสตรีม
นักวิจัยด้านความปลอดภัยบอกว่า ได้แจ้งเตือนบั๊กกับ Google ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าบั๊กนี้แก้ได้ง่าย ๆ ด้วยการแพทซ์ Chrome
ส่วนฝั่ง Google นั้น โฆษกได้ตอบกลับอีเมลของ Wired โดยบอกว่ากำลังสอบสวนปัญหานี้อยู่ และปัญหานี้อาจไม่ได้เกิดเฉพาะ Chrome ด้วย แต่อาจเกิดกับเบราว์เซอร์อีกหลาย ๆ ตัวที่สร้างจากโค้ดโอเพ่นซอร์สของ Chromium และนักพัฒนาสามารถสร้างเบราว์เซอร์และใช้ CDM ที่แตกต่างกับของ Google ได้ ซึ่ง Wired ให้ความหมายเพิ่มเติมว่า ทางโฆษกกำลังหมายความว่าต่อให้ใส่โค้ดป้องกันไปสุดท้ายคนที่เอาโค้ดไปทำเบราว์เซอร์ของตัวเองถ้าเขาจะเอาออกก็เอาออกไปอยู่ดี และเกิดการขโมยคอนเทนต์ได้เช่นกัน
ส่วนนักวิจัยความบอกว่าบั๊กนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ Google ใช้ Widevine และจะต้องถูกแก้เพื่อป้องกันการขโมยคอนเทนต์ การที่ Google กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูกเพราะเบราว์เซอร์อื่นอาจไม่ได้มีความปลอดภัยต่อการขโมยคอนเทนต์และได้รับการไว้วางใจเหมือนกับ Chrome ฉะนั้นจึงไม่สามารถใช้อ้างและเพิกเฉยต่อการแก้บั๊กได้
Comments
แต่ถ้าเก็บโครมเวอร์ชันที่มีปัญหาไว้ก็เท่ากับว่าสามารถก็อปหนังจากพวก Netflix ออกมาได้ตลอดไปใช่มั้ยครับ (ถ้าเค้าไม่บล็อคเฉพาะรุ่น)
แต่ผมก็ไม่ชอบ DRM อย่างนึง คือต้องดูผ่านอุปกรณ์หรือแอพเฉพาะของผู้ให้บริการ บางบริการต้องต่ออินเตอร์เน็ตตลอดเวลาเพื่อให้เข้าถึงเนื้อหาที่ถูกโหลดจากผู้ให้บริการอีก ถ้าเว็บปิดตัวลง, มีการเปลี่ยนแปลงระบบ DRM และบริการ หรือบริการนั้นถูกยกเลิกในอนาคตข้างหน้า เนื้อหานั้นจะเปิดหรือเข้าใช้งานอะไรไม่ได้เลยตลอดกาล...
ในอีกด้านก็ต้องปกป้องผงงานและคงข้อตกลงทางลิขสิทธิ์ไว้ (ซึ่งมันงี่เง่าสำหรับผม โดยเฉพาะลิขสิทธิ์ที่จำกัดภูมิภาคการเข้าถึง) ให้สามารถหาเงินเข้ากระเป๋าตนเอง, ตัวแทน, ผู้เผยแพร่ และเจ้าของผลงานได้ แถมมี EULA ที่ยาว เข้าใจยาก น่าเบื่อ และไม่มีใครอยากอ่าน แต่คนกลับมองข้าม เสมือนว่าผู้ใช้บริการก็รับรู้สิทธิ์นั้นไปแล้ว ซึ่งคอยปกป้องผู้ให้บริการอีกทีหนึ่ง (ทำให้มันสั้นแล้วเข้าใจไง มันยากนักหรือไง ผมไม่เข้าใจจริงๆ)
สุดท้าย เราซึ่งมีสิทธิ์ในฐานะลูกค้าที่ใช้บริการก็ยังเสียเปรียบผู้ค้าอยู่ดี ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
Get ready to work from now on.
ถ้าไม่จำกัดการขายแยกตามประเทศจะให้ทำยังไงครับ? ขายของเถื่อน รัฐไม่ต้องได้อะไรเลยงั้นเหรอครับ?
ผมอยากให้มันเป็นลิขสิทธิ์ที่ครอบคลุมทั่วโลกมากกว่า ไม่มีข้อจำกัดในการเข้าถึงอย่างถูกกฎหมาย เจ้าของและผู้เผยแพร่เข้าถึงลูกค้าได้โดยตรง และเข้าถึงได้จากทั่วโลกแบบการซื้อโปรแกรมบนอินเตอร์เน็ตไงครับ
คนที่อยากดูหรือเข้าถึงเนื้อหาก็ไม่ต้องรอผู้จัดจำหน่ายหรือผู้เผยแพร่อย่างเป็นทางการอีกต่อไป ต้นสังกัดเปิดกว้างให้เข้าถึงได้ตรงๆ ไม่ต้องมุด VPN, เปลี่ยน Cookie หรือแอบใช้บัญชีลงทะเบียนในต่างประเทศเพื่อเข้าถึงเนื้อหาให้เสียเวลา แถมถูกกฎหมายด้วย
Get ready to work from now on.
ผมว่าเรื่องนี้ หลายๆคนมาอธิบายให้แล้วนะครับ
การเข้าถึง content เดียวกันทุกพื้นที่มันก็ดูดีครับ ปัญหาคือ price มันต้องเพิ่มขึ้น และไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะจ่ายเพิ่มขึ้นตรงนั้นครับ(ทั้งผู้ให้บริการ streaming และผู้ใช้เอง)
ยกตัวอย่างว่าคุณดูได้ทุกอย่างในโลก แต่ค่าบริการเดือนละ 3,000 คุณเต็มใจจะจ่ายตรงนั้นหรือเปล่าหล่ะครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
คราวนี้ผมขอพูดถึงเจ้าของเนื้อหาเป็นหลักที่ทำผลงานออกมาและบริษัทต้นสังกัดเลยครับ
คือถ้าเปิดก็ทำครั้งเดียว แต่เข้าถึงได้จากทั่วโลก รายได้เข้าเจ้าของผลงานและบริษัทที่เกี่ยวข้องเต็ม ไม่ต้องผ่านนายหน้าหรือตัวแทยอีก ผมว่าดีด้วยซ้ำ ยิ่งเป็นญี่ปุ่นที่ค่อนข้างปิดกั้นและบล็อกการเข้าถึงเนื้อหาจากภายนอกประเทศมากพอสมควร ถ้าได้แนวคิดนี้ไปใช้มันจะเป็นผลดีทั้งคู่ค้าและลูกค้าที่อยากเสียตังค์อย่างถูกลิขสิทธิ์ไงครับ เบื่อที่ต้องเจอว่าเนื้อหานั้นดูจากประเทศคุณไม่ได้ มันน่ารำคาญและน่ารังเกียจสำหรับผมเลยจริงๆ
Get ready to work from now on.
เราอยู่บนโลกที่มีการแข่งขันครับ มันไม่ใช่เรื่องน่ารำคาญและน่ารังเกียจ และเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ผลิต content จะมาทำตัวเป็น publisher เองแทบทุกอย่างครับ บริษัทแต่ละบริษัทมีเรื่องที่ต้องทำและเก่งในแต่ละด้านกันไป สมมติมีคนผลิตหนัง งบทำหนัง €112,000 ในกรณีนี้คุณคิดว่าหนังเรื่องนี้จะ publish ยังไงครับ
กลับกันคับ การผลิตเอง publish/streaming เองจะยิ่งแย่ต่อระบบโดยรวมครับ เพราะค่ายผลิตหนังแต่ละค่ายไม่ได้มีจำนวนหนัง/ประเภทของหนังมากพอที่จะมาจูงใจลูกค้าได้ครับ
อย่างที่บอกครับ คุณรับได้กับการต้องจ่ายเดือนละ 3,000 บาทหรือเปล่า
คุณได้รับสิ่งที่คุณจ่ายเงินซื้อไปครับ หากคุณคิดว่าสิ่งที่คุณได้รับมันไม่เหมาะสมกับที่จ่ายก็แค่เปลี่ยนไปใช้บริการตัวอื่นครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ขอบคุณคุณ McKay ที่ช่วยชี้แจงเพิ่มเติมครับ
ส่วนตัวผมก็ยังมองว่าขบวนการขั้นตอนกว่า content จะออกมาสู่ตลาดนั้น ย่อมต้องผ่านขั้นตอนทางกฏหมายมาอย่างมากมาย (ซึ่งเรื่องกฏหมายนั้นก็หลากหลายแตกต่างกันระหว่างประเทศ และมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย)
การจะให้ content สามารถวางเข้าถึงได้ในทุกภูมิภาคทั่วโลก ในความเป็นจริงแทบจะเป็นไปไม่ได้ .. หรือ ถ้าเป็นไปได้ก็ คือ ตั้งราคามาตรฐานราคากลางอย่างที่คุณ McKay เสนอที่ทุกประเทศยอมรับได้ แต่นั่นก็จะยิ่งทำให้การเข้าถึง content ของประเทศที่กำลังพัฒนาเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น และจะเป็นการส่งเสริมการ pirate content มากขึ้นไปซะอีก
เพราะฉะนั้น ผมก็ยังมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้ผลิต content จะมีข้อตกลงกับ Netflix (หรือ Publisher รายอื่นๆ) ที่จะป้องกันไม่ให้ content ตัวเองถูกนำเสนอในบางประเทศหรือภูมิภาคที่ไม่ได้รับการขออนุญาตอย่างถูกต้อง
คือยังไงครับ? จะให้ทุกบริษัทที่ทำสินค้ามาไล่จดทะเบียนตั้งบริษัทในทุกประเทศทั่วโลกเพื่อจัดจำหน่ายเองเหรอครับ?
ขายผ่านอินเตอร์เน็ตไงครับ เป็น Digital Content ปลอด DRM
Get ready to work from now on.
มันไม่เกี่ยวกับ DRM หรือไม่ DRM ครับ มันเกี่ยวกับว่า "เอาเข้ามาขายได้มั้ย" ครับ
ผู้จัดจำหน่ายท้องถิ่น ไม่ได้เป็นแค่ นายหน้านะครับ
อย่างหนังเรื่องหนึ่ง ต้นฉบับ เสียง Soundtrack เป็นลิขสิทธิของ ต้นทาง
แต่ Subtitle เสียงพากย์ เป็นลิขสิทธิ์ของปลายทาง
และหนังบางเรื่อง เมื่อฉายในแต่ละประเทศ บางฉากก็จะไม่เหมือนกัน
เช่นเวอร์ชั่นที่ฉายในจีน ก็จะมีดาราจีน แสดงร่วมในบางฉาก
หรือแค่ฉากจดโน้ตของกัปตันอเมริกา ที่มีแตกต่างกันถึง 8 แบบ
หรือบางมุก ที่เข้าใจเฉพาะอเมริกัน ก็ต้องเปลี่ยนเป็นมุกที่สากลขึ้น
อย่างเรืองนึง ตัวเอกไปทานดินเนอร์สุดหรูที่ Taco Bell แต่ต่างประเทศไม่มีใครรู้จัก Taco Bell
เลยต้องเปลี่ยนเป็น Pizza Hut ในเครือเดียวกันแทน
(มุกกว่าโลกอนาคตในหนัง มองอาหารขยะว่าสุดหรู)
หรือที่คอขาดบาดตายอย่างกฏหมาย ที่บางฉาก ไม่ถูกกฏหมายในประเทศปลายทาง
เพราะฉะนั้น การจะมี Content เดียว ทั่วโลกนั้น เป็นไปไม่ได้
และการที่จะให้ผู้จัดจำหน่าย ไม่มีผลประโยชน์ร่วมเลยนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
อันนี้คอมเมนต์ตอบผมรึเปล่าครับ (ไม่ค่อยแน่ใจ ถ้าใช่ผมจะได้ตอบ)
ตอบคุณ : Polwath สงสัยตาลาย ขอโทษครับ
แย่มากครับ
ผมยังไม่ได้ดู!!!!!!!!!!!!
^
^
that's just my two cents.
แล้วระบบออกอากาศแบบเดิมจะทำยังไงครับ? โยนทิ้งไปเลย?
ถ้าโลกง่ายขนาดนั้น ผมคิดว่าเขาคงทำกันไปนานแล้วครับ
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุและผลของมัน เรื่องนี้สาเหตุหลักคือเรื่องผลประโยชน์อย่างที่คุณเข้าใจนั่นแหละครับ และจริงๆ ผมว่าใครๆ ก็อยากจะขายของตัวเองให้ครอบคลุมทั้งโลกอยู่แล้วครับ(ดู Xiaomi เป็นตัวอย่างก็ได้) แต่ในความเป็นจริงการจะทำแบบนั้นได้มันมีปัญหายิบย่อยที่จะต้องจัดการอีกมากมาย อย่างเช่นความแตกต่างในเรื่องของคอนเทนต์สำหรับแต่ละภูมิภาค ซึ่งนั่นหมายถึงเงินที่ต้องลงทุน รวมถึงการเตรียมบุคคลากรเพื่อไว้ซัพพอร์ตให้ครอบคลุมในทุกที่ที่ผลิตภัณฑ์เข้าไปถึง
อนึ่งการซื้อโปรแกรมบนอินเตอร์เน็ตก็ไม่ใช่ว่าทุกโปรแกรมจะสามารถซื้อได้จากทั่วโลกนะครับ
DO NOT ATTEMPTเป็นกำลังใจให้อย่างห่างๆ ครับ
ສະບາຍດີ :)
ผมแค่ออกความเห็นครับ แค่อยากให้มันเป็นแบบนั้นสำหรับผมหรือคนอื่นด้วย ผมก็ออกความเห็นตามที่ผมเข้าใจและตามเหตุผลที่ผมมีครับ
ความเห็นนี้เหมือนผมกลายเป็นคนผิดไปเลย ทั้งๆที่แค่ออกความเห็นเท่านั้นเอง
ส่วนเรื่อง DRM นั้น ผมก็ห่วงเหมือนกันกับตัวเนื้อหาที่มีการเชื่อมต่อเครือข่ายเพื่อยืนยันสิทธิ์และ/หรือตรงวจสอบความถูกต้องอาจใช้งานไม่ได้อีก หากบริการถูกปิดหรือเกิดผลกระทบ แม้กระทั้งการจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาด้วยครับ ตัวผมเองก็พยายามอุดหนุนเจ้าของเนื้อหาลิขสิทธิ์ตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยแล้วหละครับ
ผมเข้าใจคุณนะ คุณไม่ชอบผมนักจากเรื่อง W10P ผมขอโทษด้วยที่ทำให้คุณและทุกคนรำคาญครับ ไม่แก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น เพราะผมออกความเห็นด้วยความโกรธส่วนตัวจริงๆ
Get ready to work from now on.
ผมขอพูดตรงๆ นะครับ รบกวนอ่านให้จบด้วย
กรณีของผม (ไม่รวมคุณ johnny.sayasane และคนอื่น) ไม่เกี่ยวกับเรื่องของ WP ครับ แต่โดยทั่วไปแล้วผมยอมรับว่าผมพยายามเลี่ยงการตอบคอมเมนต์คุณโดยตรงจริงๆ ด้วยหลายปัจจัยครับ อย่างเช่น คิดเองเออเองมากไปหน่อย (อย่างกรณีนี้ผมก็รู้สึกแบบนั้น) ใส่อารมณ์ร่วมเยอะ ไม่ค่อยฟังเหตุผลคนอื่น และอื่นๆ อีกครับ ทำให้รู้สึกว่าการการพยายามแลกเปลี่ยนความเห็นหรือชี้แจงอะไรดูจะไม่ได้ผลอะไรและเป็นผลเสียมากกว่า (ไม่ใช่เฉพาะข่าวของ WP)
แต่ช่วงนี้ผมว่าคุณยอมรับเหตุผลคนอื่นมากขึ้น ใช้อารมณ์น้อยลง (ก็ยังมากอยู่) อยู่ระดับที่แลกเปลี่ยนเหตุผลกันได้ดีกว่าเมื่อก่อนครับ รอบนี้เลยพยายามถามไปเป็นจุดๆ เรื่อยๆ
ผมไม่ได้บอกว่าผมดีนะครับ แค่บอกถึงเหตุที่ผมเลี่ยงคุณมาก่อนหน้านี้เท่านั้นเอง อย่าโกรธผมนะครับ ผมไม่มีเจตนาร้ายแม้แต่นิดเดียว และไม่มีเจตนายกตัวเองด้วย เพราะผมว่าผมก็คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องราวกับใช้คนละภาษาอยู่บ่อยๆ
เสริมอีกนิด ตรงความเห็นที่ว่า
ผมเข้าใจว่าบอกผมว่าอย่าพยายามเลย แล้วเป็นกำลังใจให้อย่างห่างๆ ครับ (ขอบคุณแฟนข่าวครับ เย้ (ตีความเข้าข้างตัวเองด้วยแน่ะ)) ไม่ได้ว่าคุณผิดอะไร แต่น่าจะเกี่ยวเนื่องกับที่ผมบอกไปข้างต้นว่าทำไมเมื่อก่อนผมถึงเลี่ยง
ขอตอบด้วยอีกคนครับ
คือ ส่วนตัวผม(และคิดว่าอีกหลายๆ คนที่ตอบคุณ Polwath ไปก่อนหน้า) ไม่ได้ต้องการเอาชนะอะไรเลยแม้แต่น้อยครับ และก็ไม่คิดว่าจะมีใครมองว่าคุณเป็นคนผิด เพราะความเห็นส่วนใหญ่ที่ผมอ่านจะเป็นแนวชี้แนะ หรือหาข้อมูลอีกด้านมานำเสนอกันมากกว่า
ที่ผมเข้าใจ คือ ส่วนใหญ่ที่แย้งความเห็นก็แค่อยากให้คุณ Polwath ลองใจเย็นๆ แล้วเปิดมุมมองให้กว้างขึ้นแล้วมองให้เห็นอีกมุมนึงที่ไม่ใช่ผู้บริโภคด้วยครับ ว่าวงจรการตลาดเกี่ยวกับสื่อดิจิตอลมันมีมากกว่าที่เราคิด บางอย่างผู้บริโภคอาจจะไม่ได้ถูกเสมอ
ส่วนดราม่าก่อนหน้า เรื่อง W10P หรืออะไรก็ตาม ผมไม่ขอแสดงความเห็นเพราะผมเองก็ไม่ได้ตามกระทู้ทั้งหมด แล้วก็ไม่ได้สนด้วยว่าก่อนหน้าคุณตอบอะไรมาก่อน ผมจะโฟกัสเฉพาะเรื่องที่ผมพอจะแชร์ได้ครับ และก็ผมไม่ได้รำคาญที่คุณพิมพ์แม้แต่น้อยครับ
เฮ้อไม่ใช่อะไรผมก็แค่ออกความเห็นเหมือนกัน 55 แค่ไม่อยากให้เครียดกันมากครับ คุยๆ กันใช้เหตุผลเป็นหลักอยู่แล้วในนี้ทุกคนน่าจะทราบดี ยังไงก็ สู้ๆ นะครับ รู้แหละว่าคุณก็อยากช่วย อยากเชียร์ลิขสิทธิ์ W10M เองก็เหมือนกัน ลึกๆ คุณก็รักแต่แอบแค้นเอาจริงๆ ผมก็แค้นครับ 55 แต่ก็นั่นแหละครับอย่าไปจมปลักมากแค่นั้นเอง เห็นหลายคนก็เป็นห่วงคุณนี่น่าเนอะ เพราะหลายอย่างมันมีเหตุผลของมัน ทั้งเรื่องของกฎหมาย การค้า การตลาด การเมืองพายในเขาอะไรก็ว่ากันไป เราก็วิจารณ์ได้ แต่ไม่ใช่อะไรก็ใช้อารมณ์ไว้ก่อน รำคาญบ้างแหละ น่ารังเกียจบ้างแหละ ห่วยบ้างแหละ มันมีสิ่งที่คุณหรึอผม หรึอใครหลายคนก็ไม่อาจรู้ รู้ไม่หมดไปทุกเรื่อง ก็เรียนรู้กันไปครับผม ^^;
ສະບາຍດີ :)
การจำกัดสิทธิ์การเข้าถึง เป็นการทำตามสัญญากับคู่ค้า และ regulation ของแต่ละพื้นที่ครับ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ DRM เท่าไหร่
ยกตัวอย่างเช่นผู้ผลิต content หนึ่งทำสัญญากับบริษัทหนึ่งๆให้เป็นผู้ได้รับการถ่ายทอดเพียงผู้เดียวในประเทศหรือภูมิภาคนั้นๆ(ยกตัวอย่างเช่นบอล) การให้ผู้ให้บริการรายอื่นสามารถถ่ายทอดด้วยได้เป็นการละเมิดสัญญาครับ
และยังเกี่ยวเนื่องกับราคาของ content ด้วย เช่นบริการ video streaming รายหนึ่งซื้อสิทธิ์มาด้วยราคาหนึ่งจะสามารถถ่ายทอดได้ในภูมิภาคหนึ่งๆเท่านั้น ถ้าจะถ่ายทอดกว้างกว่านั้นก็ต้องจ่ายเพิ่มครับ
ส่วนเรื่อง regulation ก็ตามปกติครับ content ที่ผลิต'อย่างเป็นทางการ'(ไม่ใช่เถื่อน)เพื่อถ่ายทอด จะต้องถูกตรวจสอบโดยหน่วยงานต่างๆก่อนได้รับอนุญาตอยู่แล้วครับ (อย่างประเทศไทยก็กระทรวงวัฒนธรรมหรือเปล่า?)
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
สมมติว่าผมทำเพลงขึ้นมาสักเพลงนึง ถ้าตามลิขสิทธิ์ที่ผมมีในเพลงนี้ ผมว่าผมมีสิทธิที่จะ "ไม่อนุญาตให้คนไทยฟัง" (หมั่นไส้อ่ะครับ ไม่ชอบหน้าคนไทย สมมตินะครับ) ถูกไหมครับ ? ถ้าอย่างนั้นเราจะทำยังไงให้ไม่ให้คนไทยฟังได้ ก็ต้องมีการเข้ารหัสอีกชั้นและอนุญาตให้เฉพาะโปรแกรมเล่นที่ผมมอบสิทธิให้เท่านั้นที่สามารถเปิดไฟล์นั้นขึ้นมาได้
ลิขสิทธินี่คือสิทธิพื้นฐานของคนสร้างคอนเทนต์ครับ คือสามารถอนุญาตให้ใครเข้าถึงได้ เข้าถึงไม่ได้ เข้าไปแก้ไขได้ หรือไม่สามารถดัดแปลงอะไรได้
สำหรับในแง่คนฟังต้องยอมรับอย่างนึงว่า การใช้บริการสตรีมมิ่ง เป็นการแค่อนุญาตให้เข้าถึงได้ ชั่วคราวจนกว่าผมจะยกเลิกไม่ให้คุณเข้าถึงนะครับ ซึ่งตามสิทธิของผมแล้วผมสามารถทำได้ เพราะผมถือลิขสิทธิ์อยู่ (ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการด้วย)
นั่นรวมถึงพวก iTune Store, Google Play อะไรพวกนี้ด้วย คือซื้อมาเสร็จก็มีสิทธิที่จะถูกถอนคืนนะครับ (ถ้าเอาชัวร์ต้องอ่าน EULA) เพลงในสโตร์พวกนี้มันเลยถูกกว่ามีเดียมอื่นไงครับ พวก E-Book ก็เช่นกัน เป็นระบบเช่าแบบไม่จำกัดเวลาหมดครับ
ถ้าคุณอยากเป็นเจ้าของไฟล์ คุณก็ต้องซื้อบริการที่ขายกันเป็นไฟล์ แต่บริการแบบนี้ปัญหาเยอะแยะเพราะคนมักจะใช้จุดอ่อนทางเทคนิคในการละเมิดลิขสิทธิ์ เช่นผมตั้งว่าผมให้เฉพาะคนที่ผมส่งไฟล์ให้เท่านั้นที่จะมีสิทธิได้ฟัง แต่คุณดันเอาไปก็อปปี้ให้คนอื่นเสมือนกับคุณถือลิขสิทธิซะเอง เขาก็เลยต้องมี DRM มาเพื่อป้องกันไม่ให้คนเอาไฟล์ไปละเมิดสิทธิของผู้ถือลิขสิทธิครับ
(แต่คนที่เอาไฟล์ที่ถูกละเมิดไปละเมิดต่อนี่ได้ยินว่าไม่ผิดนะครับ... แต่ก็ไม่ควรทำนะ)
ก็มีบริการที่ขายขาดไฟล์อยู่เหมือนกัน (แต่เจ้าของก็มีสิทธิได้แค่ฟัง ดัดแปลงไม่ได้เหมือนเดิม) อันนี้ส่วนใหญ่จะเป็นตลาดเล็กและเจาะกลุ่มคนฟังที่ค่อนข้างมีวุฒิภาวะพอควร (เช่นของ Jamtrack Central อันนี้กลุ่มคนฟังเล็กมากๆๆ) เรียกว่าถึงแจกไปก็ไม่มีคนฟัง ไม่ได้เสียหายมากมายอะไร หรือว่าคิดว่าติด DRM แล้วไม่คุ้มทุนเขาก็ไม่ติด (เช่นพวก E-Book ของ Packt หรือ O'Reilly เป็นต้น)
เรื่องของลิขสิทธิและการให้อนุญาต (License) นี่ผมว่าน่าปวดหัวนะครับ ... แต่ก็อย่างว่าแหละ ถ้าไม่ปกป้องเลยสุดท้ายก็มีแต่คนจะลอกกันและกลายเป็นว่าการพัฒนาจะไม่เกิดครับ
Firefox ก็ใช้ Wildvine นะครับ แต่ไม่รู้ว่าการ implement เป็นอย่างไร(คาดว่าไม่น่าจะต่างกัน)
เอาจริงๆผมว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาที่ browser แล้วแหละ น่าจะเป็นปัญหาที่ตัว data-path ของ Wildvine(ของ Google)เลย
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
หมดกัน อุดแล้วจะเก็บอะไรที่อยากได้จากตรงไหนได้อีก โหยยย
Ton-Or
ยากแฮะ กรณีนี้ เพราะว่ายังไง hw ก็ต้องมี stream ที่ถอดรหัสแล้วไว้เล่น ยกเว้นแต่จะส่งให้ hw เล่นตรง ๆ (HDCP?)
ความคิดเห็นส่วนตัวผมนะครับ
การที่เราจะจ่ายแล้วแบบเดียวแล้วไม่จำกัดสิทธิ์จำกัดภูมิภาคการเข้าถึง หรือราคาแบบเดียว หรืออื่นๆ นั้นโอกาสเป็นไปได้ครับ แต่ปัจจัยเกิดนั้นค่อนข้างเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยาก เราสามารถเห็นสิ่งที่คล้ายอย่างที่คุณ Polwath ต้องการคือ ธุรกิจบริการขายเกมผ่าน steam ซึ่งผมจะเล่าในส่วนที่ผมได้พบมาบ้างนะครับ
ปัจจัยแรกคือกฎหมาย ในแต่ละประเทศจะมีกฏหมายที่แตกต่างกันครับ จึงทำให้ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ในดูแล หรือพิทักษ์สิทธิ์ จึงเป็นสาเหตุให้ต้องมีตัวแทนครับ ถ้าไม่มีก็ใช้กระบวนการยุติธรรมลำบาก บางครั้งถึงกับไม่ได้ (เนื่องจากไม่มีผู้เสียหายตามกฏหมาย) เช่น ในการดำเนินคดีทางแพ่ง เป็นต้น และบางประเทศเราแต่งตั้งตัวแทนกฏหมายดูแลอย่างเดียวได้ บางประเทศไม่ได้จะต้องตัวมีตัวแทนบริษัทด้วย (เหมือนผู้รับผิดชอบทางกฏหมาย เผื่อฟ้องกลับได้) ซึ่งเราจะแต่งตั้งทุกประเทศก็จะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมากครับ เพื่อในการบริหารที่สะดวก และต้นทุนไม่สูง จึงแบ่งเป็นภูมิภาค (ก็ขึ้นกับค่าแรง ค่าครองชีพ และค่าอื่นๆตามภูมิภาค) ดังนั้นการทำธุรกิจผ่านตัวแทนแบบนี้ เลยจำเป็นต้องจำกัดภูมิภาคการเข้าถึงครับ เพื่อป้องกันการขายข้ามภูมิภาคครับ เพราะตัวแทนเราก็ต้องอยู่ได้บริษัทเหมือนกัน ถ้าข้ามภูมิภาคตัวแทนภูมิภาคที่ถูกขายข้ามก็จะอยู่ไม่ได้ เราก็จะไม่มีตัวเราในภูมิภาคนั้นๆ
ปัจจัยที่สองคือ ตัวผลิตภัณฑ์ ภาพยนต์ (และเพลง) นั้นต่างจากเกม เพราะถ้าเราจะเล่นเกมนั้นจะต้องตรวจสอบสิทธิ์ก่อน แต่ไฟล์ หรือข้อมูลภาพยนต์ส่วนใหญ่เป็นมาตรฐานทั้วไปสามารถเล่นได้เลย ลองคิดว่าถ้าไฟล์ หรือข้อมูลนั้นถูกตรวจสอบก่อนเล่นเหมือนเกม และถูกเข้ารหัสพิเศษเพิ่มจะต้องมีกุญแจ เพื่อแปลงไฟล์(ไม่ใช่รหัสแบบปลดล็อค Zip file นะครับ) และมีส่วน Meta ซ่อนไว้เหมือน CAD/CAM (มันจะเราสืบว่าไฟล์ที่นี้มาจากใคร ถ้าถูกละเมิด) ก็อาจจะทำให้ลดตัวแทนลงได้ และขายโดยตรงได้ง่ายขึ้น แต่คงกินทรัพยากรเครื่องมากอยู่ (ถ้าจำไม่ผิดเหมือนมีอยู่ใน Lab Intel มั่งเป็น Chip ที่จะป้องกันการดักสัญญาณผ่านช่องทางเชื่อมต่อ แต่ยังถูกต่อต้านอยู่ และส่วนตัวคิดว่าราคายังสูง)
สุดท้ายคือ การเมืองการปกครอง คงไม่มีประเทศไหนที่ให้เราทำการค้าขาย หรือหากำไร โดยไม่จ่ายภาษีให้ประเทศนั้นๆ เช่น บริษัทที่อยู่สหรัฐ และไม่มีอะไรในประเทศไทยเลยอยู่จะจ่ายภาษีให้ไทยก็ไม่ทำแน่นอน และก็ไม่รู้ว่าจะจ่ายตามกฏหมายข้อไหนอีก จึงทำให้ประเทศนั้นๆคงรู้สึกเหมือนเป็นการเอาเปรียบกับคนที่ค้าขายสิ่นค้าผลิตภัณฑ์เดียวกันในประเทศ และการขายแบบนี้ก็เป็นการการโอนเงินผ่านธนาคาร ไม่ใช่การซื้อขายแบบปกติที่เก็บภาษีได้ ซึ่งมักเป็นสาเหตุมั่กจะเป็นสาเหตุให้ออกกฏหมายแปลกๆออกมา หรือการกีดกันอื่นๆอีก(ผมคิดเองนะ สมมุติว่ามีกฏหมายว่าการโอนเงินเข้าบัญชีนิติบุคคลที่ธนาคารทราบเป็นบัญชีร้านค้าออนไลน์ในต่างประเทศให้เก็บภาษี vat โดยธนาคารหักทันทีจากเงินโอน อาจจะทำให้ความรู้สึกว่าถูกเอาเปรียบลดลงได้บ้าง และไม่แน่ว่าอนาคตการเก็บภาษีการค้าออนไลน์อาจจะทำผ่านธนาคาร และช่องทางการจ่ายเงิน)
หากผิดพลาดประการใด หรือทำให้ท่านไม่พอใจ ขออภัยมานะที่นี่ด้วยครับ