งานสัมมนาสำหรับนักพัฒนา Samsung Developer Conference 2017 จบลงไปแล้ว โดยตัวงานตั้งแต่ธีม Connected Thinking ไปจนคีย์โน้ตและการจัดแสดงบูธภายในงานล้วนโคจรอยู่รอบแนวคิด Connected Device, IoT และ Bixby
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เราจะเห็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือโซลูชันด้าน IoT และ Connected Device ของซัมซุงไปเนืองๆ ไม่ว่าจะ Smart Thing Hub, ARTIK ฯลฯ แต่ SDC 2017 ครั้งนี้ได้สะท้อนความพยายามของซัมซุง ไปจนถึงนับเป็นหลักไมล์ในการเริ่มสร้าง ecosystem สำหรับสมาร์ทโฮมและ Connected Devices ขึ้นมาแข่งกับ Google, Amazon ไปจนถึง Apple (ที่เริ่มก่อนชาวบ้านแต่ ecosystem โตช้าสุด) อย่างเต็มตัว
บทความนี้จะพยายามสะท้อนความพยายามดังกล่าวของซัมซุงจากงาน SDC 2017 ครั้งนี้ให้ออกมาเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ภาพรวมตลาด IoT ในสหรัฐค่อนข้างโต
ในบ้านเราอุปกรณ์ Connected Device หรืออุปกรณ์สมาร์ทโฮมภายในบ้านอาจไม่เป็นที่รู้จักหรือเป็นที่นิยมเท่าไร แต่ในสหรัฐอเมริกา อุปกรณ์เหล่านี้วางขายและถูกใช้งานกันอย่างแพร่หลายและหลากหลาย ไล่ไปตั้งแต่กุญแจบ้าน, เครื่องปรับอุณหภูมิ, ม่าน, เครื่องใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงอุปกรณ์ที่ไม่รู้จะมีไปทำไม อย่างแท่นแขวนกระดาษชำระอัจฉริยะ ที่แจ้งเตือนผ่านสมาร์ทโฟนเมื่อกระดาษชำระหมด เป็นต้น
โชว์รูมผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฮมจากห้าง Target ในซานฟรานซิสโก
ส่วนหนึ่งที่อุปกรณ์เหล่านี้มีจำนวนมาก ก็ด้วย ecosystem ที่ค่อนข้างเพียบพร้อมและหลากหลาย ทั้ง Google, Amazon และ Apple ที่ตามมาห่างๆ แต่กระนั้น ecosystem ด้านนี้ก็ยังถือว่าเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานเท่านั้นและยังมีพื้นที่เพียงพอให้ซัมซุงตามทัน ประกอบกับซัมซุงเองก็มีเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ตัวเองอยู่จำนวนมากและหลากหลาย ย่อมสร้างความได้เปรียบเรื่อง compatibility และจำนวนอุปกรณ์ Connected Devices เหนือคู่แข่งได้ไม่ยาก
ผู้ช่วยอัจฉริยะคือศูนย์กลาง Connected Device
หากมองจากเจ้าของ ecosystem ข้างต้นทั้ง Google, Amazon และ Apple ล้วนมีผู้ช่วยอัจฉริยะของตัวเองทั้ง Google Assistant, Alexa และ Siri ที่เป็นอินเทอร์เฟสหลักสำหรับติดต่อกับผู้ใช้งาน โดยทั้ง Google Assistant และ Alexa ล้วนมี SDK และ APIs เปิดให้นักพัฒนาเข้าถึงได้ ซึ่งก็เป็นหนึ่งในช่องทางสำหรับการขยาย ecosystem ของตัวเอง
ในขณะที่ฝั่งซัมซุงเองเพิ่งเปิดตัว Bixby มาได้ไม่ถึงปี ในงาน SDC 2017 ที่ผ่านมา ซัมซุงได้เปิดตัว Bixby 2.0 โดยคีย์หลักสำคัญคือมาพร้อมกับ Bixby SDK ที่เปิดให้นักพัฒนาเข้าถึงการใช้งาน Bixby รวมไปถึงขยายการรองรับให้ไปไกลกว่าสมาร์ทโฟนแล้ว ซึ่งเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง Google หรือ Amazon แล้ว ซัมซุงช้ากว่ามาก ดังนั้นซัมซุงจึงพยายามไล่คู่แข่งให้ทันด้วย Bixby 2.0 ที่ออกหลังเวอร์ชันแรกเพียง 7 เดือน
การออก SDK นี้จะช่วยเปิด ecosystem ของซัมซุงให้กับนักพัฒนาและผู้ผลิต Connected Device จำนวนมาก ขณะเดียวกันเมื่อถูกใช้งานมากขึ้น ซัมซุงก็จะได้ข้อมูลมาพัฒนา Bixby ให้ฉลาดมากขึ้นและเร็วขึ้นด้วย
ให้ทีวีและตู้เย็นเป็นศูนย์กลางของบ้าน
ซัมซุงบอกว่าศูนย์กลางหลักๆ ของบ้านมีอยู่สองจุดคือห้องนั่งเล่นและห้องครัว ดังนั้นซัมซุงจึงอาศัยความได้เปรียบเหนือคู่แข่งจากการมีไลน์ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าของตัวเอง ด้วยการยึดศูนย์กลางทั้งสองจุดในบ้าน จากการเปิดให้สมาร์ททีวีรองรับ Bixby ช่วยให้การใช้งานและสั่งการภายในบ้านมีความลื่นไหลมากยิ่งขึ้น
ในส่วนของห้องครัว ซัมซุงได้เผยโฉม Family Hub ตู้เย็น (อัจฉริยะ?) ที่มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ ซึ่งไม่เพียงเอาไว้ใช้ตรวจสอบหรือดูเสบียงในตู้เย็น แต่ยังเป็นอินเทอร์เฟสกลางของบ้าน ดูนัดหมาย อีเมลหรือข้อความจากสมาร์ทโฟนของคนภายในบ้าน เช่นเดียวกับการแชร์เพลงหรือภาพยนตร์จากสมาร์ทโฟนขึ้นบนตู้เย็นก็ได้เช่นกัน
ส่วนของลำโพงอัจฉริยะซัมซุง เราก็น่าจะได้เห็นกันในเร็วๆ นี้ หลัง DJ Koh ซีอีโอฝั่งธุรกิจมือถือออกมายืนยันด้วยตัวเองแล้ว
หน้าบ้านรวมศูนย์ผ่าน Bixby หลังบ้านรวมศูนย์ผ่าน SmartThings Cloud
การรวมศูนย์แพลตฟอร์มและคลาวด์ Connected Devices ของซัมซุงเป็นการเอื้อให้นักพัฒนาสามารถสร้างผลิตภัณฑ์และบริการบนแพลตฟอร์มนี้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น รวมถึงทำให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของซัมซุงที่กระจัดกระจายมาก่อน สามารถเชื่อมต่อและทำงานร่วมกันได้ง่ายมากขึ้น
และภายในงาน SDC 2017 นี้เอง ซัมซุงก็ได้เปิดตัวชิป ARTIK ด้านความปลอดภัยตัวใหม่ ชื่อว่า Secure System-on-Module เพื่อตอบโจทย์ด้านความปลอดภัยของอุปกรณ์ Connected Devices และช่วยให้นักพัฒนาไม่ต้องกังวลในประเด็นนี้มากนัก เพราะมีฮาร์ดแวร์ให้พร้อมอยู่แล้ว
โดยฟีเจอร์หลักๆ ของ Secure Sostem-on-Module แทบจะเป็นการยกเอาความสามารถมาจาก Samsung Knox มา ไม่ว่าจะเป็น Root Trust from Deivce-to-Cloud, Secure Boot, Trusted Execution Environment (TEE) เป็นต้น
สรุป
หากมองในแง่โอกาสแล้ว ซัมซุงน่าจะเป็นเจ้าเดียวที่มีโอกาสสร้าง ecosystem ในหลายประเทศได้มากกว่าคู่แข่ง เนื่องด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ของซัมซุงมีวางขายอยู่แล้วทั่วโลก ไม่นับจำนวนผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนจำนวนมาก ขณะที่ ecosystem และตลาดของ Google และ Amazon ยังค่อนข้างจำกัดอยู่ในสหรัฐอเมริกาเป็นหลักเท่านั้น
แผนการในการสร้าง ecosystem ไล่ตามคู่แข่งทั้งสองเจ้าของซัมซุงจึงค่อนข้างชัดเจน จากทั้งใช้ Bixby รวมศูนย์อินเทอร์เฟสติดต่อผู้ใช้ทั้งหมด ขณะที่หลังบ้านก็รวมบริการและแพลตฟอร์มต่างๆ เข้าด้วยกันในชื่อ SmartThings Cloud
จากโอกาสข้างต้น ถึงแม้จะมาทีหลัง แต่การขยายแพลตฟอร์มและ ecosystem ของซัมซุงอาจไปได้ไกลและเร็วกว่าทั้ง Google และ Amazon ที่ทำมาก่อนแล้วก็ได้
Comments
เท่าไหร่ => เท่าไร
เพรียบพร้อม => เพียบพร้อม
กระจัดการจาย => กระจัดกระจาย
สำหรับ SS เลิกสนับสนุนสินค้าไปแล้วซื้อของเหมืนเสี่ยงโชค สินค้าSS เกือบทุกตัวที่ใช้หมดประกันพังทันทีซ่อมเหมือนซื้อใหม่ มือถือราคาก็แพงขึ้นทุกปีอย่างมือถือตอนแรกขายราคาไม่เกิน 20k แต่พอตีตลาดได้ตอนนี้ราคาปาไปเกิน 30kละ ทั้งที่ราคาต้นทุนการผลิตไม่ต่างจากเดิมมากนัก OS ก็ไม่ได้ทำเอง ชิ้นส่วนส่วนใหญ่ก็ผลิตเองทั้งนั้นแทนที่จะถูกลงกลับแพงขึ้น ไม่ต้องคิดเลยว่าถ้าสินค้าพวกนี้เกิดอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต เหมือนเซเว่นเลย พอคู่แข่งอยู่ราคา ปรกติ พอคู่แข่งตายราคาก็สูงขึ้น
เอาราคาไปเทียบกับใครหล่ะครับ Oppo Vivo Wiko ? ลองดู Apple sony huawei ที่อยู่ตลาดเดียวกันสิ เผลอๆถูกกว่าด้วยซ้ำ ส่วนพังง่ายผมใช้ s6 มาก็ยังอยู่ดี ไม่ยอมพังสะที
ใช้เครื่องซักกับ S6 edge ประกันหมดนานล่ะครับ ยังไม่มีปัญหาอะไรเลย TV ใช้ของ LG 2ปีก็ยังดีเหมือนเดิม
ต้องบอกว่ามือถือรุ่นเรือธงปีที่ผ่านมาพากันแพงขึ้นทุกรายครับ ไม่เว้นแม้แต่ไลน์ Pixel ของกูเกิลเอง
แต่ตลาดของแอนดรอยด์มันหลากหลายครับ รุ่นล่างมันต่ำลงไปมากและรุ่นกลางๆมันก็พอใช้งานได้ (แต่ถ้าหวังเรื่องการแพตช์รายเดือนอันนี้คงเหลือแต่ตระกูล Android One อย่างเดียว)
แพงขึ้นแค่ใหนละครับเมื่อเทียบกับ ss เห็นเรื่อธงบางค่ายถูกกว่า ss เยอะ ส่วนตัวผมว่า pixel เจ้านั้นอินดี้ จ้างผลิตอย่างเดียวเน้นโชวไม่เน้นขาย ต่างจาก ss ผลิตมันเกือบทุกชิ้นส่วน ถ้าอีกค่ายก็เน้นถูกก็คงเป็น mi6 ที่เปิดตัว cpu qc 835 ram 6 rom 64 กล้องคู่กันสั่น ขาย 14k ซึ่งถ้ามองสิ่งที่ mi6 ไม่มีกับราคาที่เพิ่มเป็น30k ดูแล้วไม่สมราคาครับ
ถามผมบอกว่าซ์้อที่ดีไซย์ เพราะดีไซย์มันสวยเลยขายแพงได้ สเปคก็ไม่เกี่ยวแล้วละ
คนเราจะซ์้อไม่ได้ดูแค่สเปคนะครับ ผมใช้ S8 มารู้สึกพอใจมากกับรูปร่าง หน้าตาภายนอกดูดีมีชัยไปกว่าครึ่ง สำหรับมือถือกลุ่มเรือธงที่ค่ายจีนขายแพงไม่ได้ เพราะไม่สามารถหาจุดเพิ่มมูลค่าสินค้าได้ต่างหาก แค่ราคาแบรนก็สู้ไม่ได้แล้ว เลยแข่งกันอัดสเปคเพื่อดึงดูดลูกค้า
สำหรับบางคนสเปคคือเรื่องใหญ่ไงครับ แบบที่คุณกำลังคิดอยู่ว่าขายแพง สเปคก็ไม่ได้ดีกว่า ซื้อ Mi ดีกว่าใครจะซื้อ SS ละไม่คุ้มกับสิ่งที่ได้เพิ่มมา
ประเด็นผมอยู่ที่การค้ากำไรเกินควร ผมมองในมุมมองผู้บริโภคที่ไม่ได้เน้นแบรนและเคยใช้สินค้าจาก ss มาหลายชิ้น และเห็นการพัฒนาการแบบใหน ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็ได้บอกเหตุผลไปแล้วว่าทำไมเช่น OS ไม่ได้พัฒนาเองและยังเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วน ทำไมถึงราคาแพง ที่ยกมาคือต้นทุนที่คนอื่นทำและ ss ไม่ได้เปลียบเทียบว่าอะไรหน้าซื้อกว่าอะไรครับ แน่นอนว่าสิ่งที่ใครซื้อก็เป็นสิทของคนนั้น ชอบอะไรไม่ชอบอะไรปัจจัยมันมากกว่าที่จะเอามาถกกันได้และเป็นเรื่องส่วนตัว ผมแค่บอกในมุมมองของราคาสินค้าที่เมื่อใหล่ติดตลาดราคาจะแพงตามมาทันทีสำหรับค่ายนี้ซึ่งหลายๆค่ายก็เป็น ก็ลังจะเจ้งก็มี แน่นอนว่าขายแพงเท่าใหล่ได้ยิ่งดีสำหรับผู้ผลิต แต่คงไม่สำหรับผู้บริโภคอย่างผมเพราะผมมองเป็นสินค้าอิเล็กโทรนิก
ผมคงไม่เข้าใจในการที่เอาหินมาทำที่ทับกระดาษติดตราหลุย แล้วขายราคาแพงหลอกครับ เพราะผมไม่ได้อยู่ในจุดที่เคยใช้สินค้าแบรนนั้น แต่เท่าที่ฟังน่าจะคล้ายๆกันหรือเปล่าสำหรับบางท่าน
ค้ากำไรเกินควร ผมว่ามันใช้กรณีสินค้าที่จำเป็นต้องซื้อ หรือผูกขาดนะครับ ถ้าสินค้าที่มีทางเลือก ไม่ใช่ของจำเป็น ถ้าแพงเกินไปจริงเค้าก็เลือกยี่ห้ออื่น ไม่ได้ไปมีใครบังคับเค้าผมไม่เรียกค้ากำไรเกินควรหรอกครับ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ผมก็พึ่งรู้วันนี้ว่า คำนี้ใช้เฉพาะกับสิ่งที่จำเป็นหรือผูกขาด นึกว่าความหมายตรงตัวซะอีกในข่าวก็ออกบ่อยว่าสิ้นค้าที่ต่างๆค้ากำไรเกินควรทั้งที่มีตัวเลือกมากมาย เนื้อแพงกินไก่ ไก่แพงกินถั่ว ได้ใหมครับ นึกความหมายมันก็ตรงตัวนะครับ มันมีแบ่งแยกด้วยเหลอว่า สินค้าอะไร ผูกขาดใหม ถ้ามองในกรณีสาวกหรือคนที่สนับสุนเรือธง ss มาตลอดคงเรียกว่าผูกขาดได้สินะครับ การที่สินค้าเป็นที่นิยมและทุกคนติดแบรน ติดการใช้งาน หรือเป็นสาวกค่ายนั้นค่ายนี้ คงเรียกได้สินะครับว่าผูกขาด
ผมไม่ได้บอกว่าห้ามใช้หรือดีหรือไม่ดี แค่ชี้ให้เห็นว่าถ้าสนับสนุนแล้วติดตลาดแล้วไม่ต้องห่วงว่าจะถูกเหมือนเดิมแพงแน่นอนสำหรับค่ายนี้ครับ ส่วนค่ายอื่นก็ต้องรอคนใช้มาพูดนะครับเพราะผมไม่ได้เคยใช้เจ้าอื่นมาก่อน
เดิมไทยมีกฎหมายป้องกันการค้ากำไรเกินควรด้วยครับ แต่ปัจจุบันยกเลิกและตั้งใหม่เป็นกฎหมายป้องกันการผูกขาด มันเรื่องเดียวกัน และนี่โทรศัพท์ด้วยกัน ทำงานได้เหมือนๆ กัน ระบบปฏิบัติการเดียวกัน ไม่ได้เทียบหมูกับไก่ ถ้าไก่ CP แพงผมก็ซื้อไก่ betagro ได้ แต่ถ้าเกิดวิกฤตแล้วเหลือ cp เจ้าเดียวที่มีไก่แล้วขึ้นราคาไปสิบเท่า อันนี้อาจจะเรียกได้ค้ากำไรเกินควรครับ (แต่ต้องดูว่าต้นทุนเค้าเพิ่มขึ้นมากจริงมั้ย)
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ค้ากำไรเกินควร?
เค้าไม่ได้บังคับซื้อนะคุณ
ถ้าแพงเกินสิ่งที่ได้"จนเกินไป" มันก็จะขายไม่ได้
แต่นี่ก็ขายได้เรื่อยๆ นะ
แล้วมือถือต้นทุนมันไม่ได้อยู่ที่เอาสเปคมากางแล้วก็จบนะครับ
การวิจัยและพัฒนาฟีเจอร์ต่างๆ การดีไซน์ตัวเครื่อง การตลาด สร้างแบรนด์นี่ก็ต้นทุนทั้งนั้นนะ
เสปกเป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกว่าต้นทุนเครื่องเท่าใหล่ถ้าเทียบกับค่ายอื่น ถ้าจะดูจริงดูที่กำไรสิครับจะได้ไม่ต้องมาเถึยงกันหักลบต้นทุนผลิดเท่าใหล่ ส่วนค้ากำไรเกินควรก็อธิบายคอมเม้นข้างบนแล้ว แต่ก็เป็นความเห็นที่ต่างกันผมก็เข้าใจเพราะคนเราคิดไม่เหมือนกันอยู่แล้วจะยัดเยียดความคิดตัวเองให้คนอื่นคงไม่ได้ก็ขอสรุปสาระเม้นผมคือ
ผมไม่ได้บอกว่าห้ามใช้หรือดีหรือไม่ดี แค่ชี้ให้เห็นว่าถ้าสนับสนุนแล้วติดตลาดแล้วไม่ต้องห่วงว่าจะถูกเหมือนเดิมแพงแน่นอนสำหรับค่ายนี้ครับ ส่วนค่ายอื่นก็ต้องรอคนใช้มาพูดนะครับเพราะผมไม่ได้เคยใช้เจ้าอื่นมาก่อน
ทั้งฮาดแว และซอฟแว ซัมซุงดีกว่าแอนดรอยทุกเจ้า พูดถึงเรื่องธงในราคาไกล้ๆกัน ทุกอย่างที่ดีมาได้ต้องมีการลงทุนการวิจัย และทดลอง ต้นทุนการตลาดของซัมซุงก็แพงกว่าชาวบ้าน . ชิ้นส่วนซัมซุงทำเองแล้วไงครับ หน้าที่ของบริษัทที่ผลิตคือ ต้องขายให้ได้กำไรนะครับผลิตให้ มือถือเจ้าอื่นราคาเท่านั้น ผลิตให้มือถือตัวเองก็ต้องนับเป็นราคานั้นเหมือนกัน จะให้นับว่าถูกกว่าได้ไง การลงทุนของมือซัมซุงมีมีส่วนนะครับและทุกส่วนก็ทำได้ออกมาดีกว่าทุกค่าย เพราะอะไรเพราะเค้าทุ่มทุนให้ทุกอย่างออกมาดีไงครับ ที่ขายดีสุดไม่ใช่เพราะการตลาดอย่างเดียวนะครับ เพราะมันดีกว่าไงถึงขายดีกว่า ต้นทุนที่ทำให้ออกมาดีกว่าก็มากกว่าด้วย เช่นการไปซื้อบริษัท หรือไปจ้างทีมงานเก่ง (ถ้าจำไม่ผิดทีมสร้าง siri แกก็ไปดึงตัวมาทำงานด้วย)
Apple ยิ่งค้ากำไรเกินควรเลยมั้ยครับเนี๋ย ecosystem
ถ้าเรื่องตั้งราคาแพง wacom แพงกว่าอีก ขายดีด้วย
Samsung ไม่ใช่ประเด็นค้ากำไรเกินควรครับ ผมว่าเราเรียกว่าขายพ่วงจะถูกต้องกว่า Samsung ชอบเปิดตัวมาขายพร้อมของแถมที่เป็นสินค้าของตัวเอง ซึ่งจริง ๆ มันจะเรียกแถมก็ไม่ใช่เพราะพอผ่านสามเดือนก็ไม่แถมแล้วและลดราคามือถือลงประมาณของแถมนั้น แบบนี้มันเหมือนขายพ่วงให้ลูกค้าที่ซื้อล็อตแรก ๆ มากกว่า อย่างของผม Note 8 ก็ได้แถมลำโพง AKG S20 ซึ่งเป็น Samsung ผลิต AKG แค่ปรับแต่งเสียง ซึ่งบอกมูลค่ามาห้าพันกว่าบาท แต่ให้เดาน่าจะมูลค่าประมาณสองพันรวมกับประกันจอแตกอีกหนึ่งพันสามเดือนก็ไม่แถมแล้วลดราคาให้สามพันประมาณนี้ครับ
ถ้าถามว่ารู้แล้วทำไมซื้อ ที่ซื้อก็เพราะปากกาต้วเดียวเลยครับ เค้าปั้นปากกามาจนลูกค้าติดใจและไม่มีคู่แข่งในตลาดนี้ให้เลือกเลย (ที่เป็นมือถือและปากกาเก็บในเครื่องได้) ก็ต้องยอมจ่ายไปครับ
อยากทำอะไรออกมาก็ทำฮะ ไม่ซื้อครับฟีเจอร์จัดเต็ม หมดประกันปุ๊บไม่พังก็รวน
ชอบแนวคิดนะ ห้องนั่งเล่นกับตู้เย็น ซึ่งมันก็จริง
ทำไมผมอ่านแล้วนึกถึงพี่เสก
แนะนำ Samsung ไปดีไซน์โลโก้มาใหม่ก่อนอันดับแรก
ปัจจุบันผมก็เลิกซื้อของทุกอย่างที่เป็นซัมซุงครับ เจ็บมาหลายครั้งแล้ว
ไม่มีลายเซ็น
สำหรับผมใช้ TV, Blu-ray Player, มือถือ, จอคอม, SSD ของ Samsung ยังไม่เคยเจอปัญหาพัง เพราะใช้รุ่นกลางๆ ถึงบน
แต่อฃแอร์ Samsung ที่แถมมากับบ้าน พังเมื่อครบปี เข้าใจว่าเป็นรุ่นล่างสุดเลย
oxygen2.me , panithi's blo g
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
[quote]โดยฟีเจอร์หลักๆ ของ Secure Sostem-on-Module[/quote]
โดยฟีเจอร์หลักๆ ของ Secure System-on-Module
ตอนนี้ ดรอบลงไปเยอะเลยนะ
ตลกที่บางความเห็นเอาส่วนของ Mobile Device ของบริษัทนี้เป็นศูนย์กลางจักรวาล
ผมเคยไปดูงานที่เกาหลีใต้ บอกได้ว่าเขาทำสากเบือยันเรือรบ (ทำเรือรบจริง ๆนะ มีอู่ต่อเรือของ Samsung ด้วย)
บางภาคส่วนธุรกิจเขาก็เป็นผู้นำตลาด ของบางอย่างของเขาก็คุณภาพดีสุดในตลาด
ที่บ้านผมมีของ Samsung อยู่ไม่กี่อย่าง แต่ก็ใช้งานได้ดีแม้จะหมดประกันไปแล้ว อายุการใช้งานก็เกิน 5-6 ปีมาแล้ว เช่น TV , Monitor , SSD (อันนี้ไม่ถึง5ปีประมาณ2ปี), แอร์
ส่วนของมือถือมันก็จริงนะ ที่คุณภาพมันไม่ค่อยดี พังง่าย บริการหลังการขายห่วย ผู้บริโภคต้องเสี่ยงโชคเอาเอง (ผมเคยใช้และเลิกใช้ไปแล้ว) แต่เพียงแค่อ่านความเห็นเหล่านี้แล้วรู้สึกตลก ที่บางคนทำอย่างกับว่าเขาขายมือถืออย่างเดียว ไม่รู้เลยว่าเขาทำอะไรบ้าง แล้วเอามาเหมารวมทั้งหมด
โทรทัศน์ (จอแก้วตัวหนาๆ) กับ LCD monitor ผมนี่พังไปหมดแล้วครับ ในบ้านเหลือแค่โทรศัพท์ของคุณพ่อนี่แหละที่เก่าหน่อย (Note 3) แล้วก็ S7 Edge พี่สาวยังไม่ครบปีครับ นอกนั้นเละหมด
SSD กับ TV ทนดี มือถือ นอกจาก Note 2 ที่มีปัญหาS5 a7 note 5 note 8 ปรกติดี อันนี้ของคนในบ้าน