
สายการบินต้นทุนต่ำได้ทำให้การเดินทางภายในประเทศสะดวกสบายและรวดเร็วกว่าการนั่งรถแบบเดิมๆ ทว่า Volvo พลิกมุมกลับปรับมุมมองว่ารถยนต์ไร้คนขับจะทำให้คนกลับมานั่งรถยนต์แทนที่การนั่งเครื่องในการเดินทางสั้นๆ หรือภายในประเทศ
Marten Levenstam รองประธานอาวุโสฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กรของ Volvo บอกว่ารถไร้คนขับที่มีที่นอน (sleeping cabins) จะช่วยให้บริษัทสามารถแข่งขันกับบริษัทเครื่องบินหรือสายการบินได้ โดย Volvo บอกว่าไฟล์ทที่ระยะทางไม่เกิน 300 กิโลเมตรเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากแนวคิดนี้มากที่สุด อย่างไรก็ตามปัญหาของแนวคิดนี้ยังคงอยู่ที่ปัญหาเดิมๆ อย่างการจราจร
ที่มา - Bloomberg
Comments
ถ้ามีที่นอนก็คงออกสักสามทุ่มถึงเช้าไปเลย น่าจะนอนหลับง่ายกว่านั่งรถไฟตู้นอน
มาใช้ในกรุงเทพนี่สบาย รถติดจนนอนได้!
ผมว่าในอนาคตในเมืองใหญ่คงบังคับใช้รถยนต์ไร้คนขับถ้ารถคันรอบๆมันสื่อสารกันได้ว่าคันไหนจะไปไหนการจราจรจะลื่นไหลมากแม้จะมีรถเยอะก็ตาม
น่าจะแก้ปัญหาพวกปาด,แทรกตามคอสะพานหรือทางแยกไปได้เยอะ ซึ่งก็น่าจะลดปัญหารถติดได้นะครับ ทุกวันนี้มันติดพวกนี้ซะเยอะเลย คือคนทำอ่ะเร็วขึ้น แต่คนต่อคิวมานี่ก็รอยาวไป
เมืองใหญ่ที่ว่านี่ผมสงสัยว่าในไทยจะได้ตามเค้าไปเมื่อไหร่กัน
ยกเว้นเมืองใหญ่ๆ ในไทยได้เบย รถอายุ 10+ ปีวิ่งกันให้เกลื่อน คนขับตีนผีเพียบ รถไร้คนขับจะกลายเป็นโลงอัตโนมัติแทน
แต่ปัจจุบันอุบัติเหตุทางรถยนต์มากกว่าเครื่องเยอะนะ
จะปลอดภัยพอรึ ไม่ใช่ตื่นมาเจอหน้าท่านยมเลยนะ
เรื่องแรกคือ ถ้าเป็นรถยนต์ไร้คนขับทั้งหมด ปัญหาเรื่องอุบัติเหตุน่าจะลดลงจนแทบไม่มีครับ ยิ่งถ้ารถแต่ละคันสื่อสารกันเองได้
เรื่องสองคือ ถ้าเทียบจริง ๆ แล้ว อุบัตเหตุจากรถยนต์แทบไม่ได้สูงกว่าเครื่องบินเลย ในจำนวนและเส้นทางที่เท่ากัน เผลอ ๆ เครื่องบินยังเสี่ยงมากกว่าด้วยซ้ำ ที่เราเห็นอุบัติเหตุจากรถยนต์สูงกว่าเครื่องบิน เพราะการเปรียบเทียบ ที่ไม่นับจำนวน และเส้นทางให้เท่ากันมากกว่าครับ
ลองนึกถึงถ้าโลกมีรถยนต์ 10000 คัน แล้วมีเส้นทางวิ่งทั่วโลก กับเครื่องบิน 10000 ลำ แล้วเส้นทางบินทั่วโลกดูก็ได้ครับ
ผมว่าเทียบแบบนั้นก็ไม่ค่อยถูกซะทีเดียว ถ้าลองตามข่าวหรือขับบนถนนดู จะเห็นอุบัติเหตุแทบจะทุกวันเลย ทั้งเล็กน้อยและร้ายแรงถึงชีวิต ออกข่าวก็บ่อยพอสมควรในบ้านเรา แม้ว่าบนพื้นดินยังมีทางรอดมากกว่า ความช่วยเหลือยังเข้าถึงได้มากกว่า เว้นแต่จะโดนอัดจนเสียชีวิต หรือตกเหว
ส่วนเครื่องบิน ความเสี่ยงสูงกว่า แม้ว่าอุบัติเหตุจะน้อยกว่า แต่อัตราการเสียชีวิตต่อครั้งสูงมากครับ ถ้าเป็นเครื่องบินโดยสารหลักร้อยชีวิต แม้นานที่จะมีข่าวเครื่องบินตก ความเสียงก็มีตั้งแต่บินในอากาศแล้วครับ ทั้งผู้ขับและปัญหาอื่นๆ หากเครื่องมีปัญหาแล้วควบคุมไม่ได้ ชิ้นส่วนหลุดเสียหาย หรือระเบิดขึ้นมา ตกเร็วพอกับแรงโน้มถ่วง ตายสถานเดียว เว้นแต่จะโชคดีมากจริงๆ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ก็นั่นแหละครับ ผมถึงบอกว่า ถ้าเทียบจริง ๆ ต้องเทียบให้เท่ากัน วางพื้นฐานที่เท่าเทียมกันไงครับ แล้วจะเห็นได้ว่า เครื่องบินก็ไม่มีสถิติความปลอดภัยสูงกว่ารถยนต์เท่าไหร่หรอกครับ
เช่นถ้ารถยนต์ในโลกมี 1 ล้านล้านคัน ก็ต้องเทียบกับสถิติของเครื่องบิน 1 ล้านล้านลำล่ะครับ
ปกติเค้าเปรียบเทียบตาม passenger-km (เดินทาง x km โอกาสตายเท่าไหร่) หรือ passenger-hour (เดินทาง x ชั่วโมง โอกาสตายเท่าไหร่) ครับ
อันนี้ตัวเลขของ EU ปี 2003
ความคิดดีแต่ลำยุคไปหน่อย เอาให้รถมันวิ่งมารับเราโดยไม่ชนอะไรให้ได้ก่อนไหม
นอนบนรถนี่ผมชอบสุดละ สมัยเด็กๆ ชอบมาก บอกพ่อให้ขับอ้อมหน่อยจะนอน 555
ตอนนี้ต้องขับเอง นอนไม่ได้ละ
Educational Technician
ถ้าเอามาใช้ในเมืองไทยมันก็จะน่ากลัวหน่อยๆ จู่ๆเจอย้อนศร ผ่าไฟแดง แซงซ้าย ขับปาด ขนาดที่ AI คงเรียนรู้ไม่ทัน
ที่บอกนั่น เป็นเรื่องที่ AI ได้เปรียบทุกเรื่องเลยนะครับ เพราะมองได้ 360 องศาตลอดเวลา ไม่เหมือนคนที่กว่าจะเห็นก็ต้องโชคดีหันไปดูพอดี
วันก่อนเพิ่งดูคลิป Tesla Autopilot อยู่ในเลนตัวเองแล้วมีคนปาด AI หลบมันตั้งแต่รถคันนั้นยังไม่โผล่บน dashcam เลย
มนุษย์ต้องคอยมองกระจกข้างตลอดเวลา ถ้าจะหลบทันครับ
เอาแค่วิ่งจากสนามบิน มาในเมืองแทน Taxi ก็อยู่ได้สบายแล้ว เส้นทางชัดเจนด้วย เหมือนรถไฟฟ้า คือวิ่งจอดรับเป็นจุดเลยไม่จอดทั่วไป ผมว่าลูกค้าที่เบื่อ Taxi สนามบิน หรือเบื่อต่อราคาเพียบ ทำกำไรเอามาลงทุนต่อได้สบาย แต่คงติดปัญหาค่าสัมปทานในเมืองไทยคงแพงจนไม่คุ้มลงทุน ยิ่งเป็นรถไฟฟ้าไร้คนขับด้วยสร้างภาพลักษณ์ได้อีก แต่เมืองไทยคงยาก ผลประโยชน์ระยะสั้นมันเยอะ
เมืองไทยเราจะใช้รถนอนไปทำงาน...
นั่งทำงานในรถยังอาจจะได้งานเยอะกว่าเวลางาน - -"