กระทรวงกลาโหมสหรัฐ (Department of Defense) ในฐานะหน่วยงานที่ตกเป็นเป้าโจมตีไซเบอร์สูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ประกาศแผนการอัพเกรดพีซีเกือบทั้งหมดเป็น Windows 10 ภายในปีนี้
กระทรวงกลาโหมเคยประกาศแผนนี้มาก่อนแล้ว แต่ล่าสุด John Zangardi รักษาการซีไอโอของกระทรวง ก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แผนการอัพเกรดเป็น Windows 10 ถือเป็นแผนสำคัญเร่งด่วนที่จะต้องทำให้เสร็จภายในปีนี้ โดยพีซีสัดส่วน 90% ของกระทรวงจะถูกอัพเกรดเป็น Windows 10 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการ Windows ที่ปลอดภัยที่สุดในปัจจุบัน
กรณี WannaCrypt โจมตีระบบ NHS ของสหราชอาณาจักร คงถือเป็นตัวอย่างที่ดีของระบบไอทีขนาดใหญ่-มีผลกระทบสูง แต่ขาดระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีพอ
ที่มา - ExecutiveGov , MSpoweruser
ภาพจาก Army Cyber Flickr
Comments
เข้าใจผิดมาตลอดว่าระดับกลาโหมสหรัฐใช้ linux แต่ถึงว่าระบบไหนก็ไม่มีวันปลอดภัย ถ้ามีคนจ้องจะเจาะซะอย่าง โดยเฉพาะเป้าหมายอันดับต้นๆอย่างหน่วยงานนี้
การใช้งาน Linux นั้นไม่ฟรีจริงครับ มีค่าใช้จ่ายแฝงเยอะมาก
อยากทราบรายละเอียดที่ว่าไม่ฟรีจริง และค่าใช้จ่ายแฝงเป็นวิทยาทานหน่อยครับ
บุคลากรคอมพิวเตอร์กว่า 30% (และส่วนใหญ่อยู่ในภาครัฐ) แทบไม่มีความรู้ด้าน Linux เลยครับ จำเป็นต้องจ้างบริษัทด้าน Linux โดยตรง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่อปีสูงกว่าการจ่ายไลเซนส์ Windows ครั้งเดียวครับ
subscription support ตัว Redhat Linux Enterprise เพื่อเข้าถึง Repo และ Support ราคาแพง Windows Server อยู่พอสมควรเลย แถมราคาจ่ายรายปีด้วย
Redhat ขอไม่นับได้มั้ยครับ ยอมรับว่าแพงจริง 555
ตอนนี้ผมย้ายมาแทบจะเบ็ดเสร็จ 100% แล้วครับ งานย่อยที่จำเป็นต้องใช้ window ถ้าไม่ vm ก็จ้าง outsourcing เท่าที่ผ่านมาครึ่งปี ยังไม่ได้จ่ายอะไรให้กับ linux เลยครับ อยากรู้ค่าใช้จ่ายแฝงเหมือนกันครับ ใช้ CentOS
Reply ถึง 2 comments ก่อนผมนะครับ ถ้าคุณหัดมองการใช้งานทั่วไปในองค์กร ไม่ใช่เฉพาะตัวของคนที่งานเฉพาะด้าน คุณคงพอจะเห็นถึงความยุ่งยากบ้างนะครับ
แสดงว่านั่นยังไม่ใช่ความต้องการใช้งานทั่วไปครับ สำหรับผมถ้าใช้งานทั่วไปคือพอ ถ้าเฉพาะด้านไม่ว่าระบบไหนก็ต้องจ่ายเพิ่ม สำคัญว่าเราจำกัดความคำว่า ใช้งานทั่วไปไว้แค่ไหน และงงว่าผู้ผลิตในแต่ละ distro เค้าเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในส่วนไหนเพิ่มเติมของคำว่าการใช้งานทั่วไป ระบบที่ดีที่สุดคือระบบที่เหมาะและคล่องตัวกับงานของตัวเราเองหรือหน่วยงานเราเองครับ :)
มนุษย์ปกติที่ใช้งานทั่วไปยังไงก็หนีไม่พ้นงานเอกสารครับ และคนส่วนมากก็ยังต้องใช้ Microsoft office จะตัดทุกอย่างออกยังไงเอกสารก็หนีไม่พ้นครับและโปรแกรมอื่นยังแทนได้ไม่ 100% แน่นอน ยิ่งจัดเอกสารที่ต้อง print จริงจังนี่ลองใช้ไม่นานนี้ยังไม่มีตัวไหนรับได้เลย(ห้ามเลี่ยงนะครับคนอื่นที่ต้องติดต่องานด้วยเค้าไม่สนใจจะเข้าใจหรอกถ้าเราทำบางอย่างที่ออฟฟิศทำได้ไม่ได้ ไม่มารอนั่งฟังปัญหาเราด้วย) ถ้าใช้ VM นั่นก็ไม่ linux 100% แล้วครับ
ถ้าบริษัทต้องสอนพนักงานใช้นี่ค่าแรงต่อวันกว่าจะใช้กันได้คล่องซื้อ window ถูกกว่าแน่ๆ นั่นแหละค่าใช้จ่ายแฝงมหาศาล
ผมหมายถึงค่า Maintenance ครับ รวมถึงทรัพยากรที่ต้องใช้ในการแก้ปัญหาการใช้งานให้กับ User ด้วย เวลาที่ต้องใช้ในการแก้ปัญหาก็คือต้นทุนที่ต้องจ่าย
Jamie Zawinski หนึ่งในโปรแกรมเมอร์และผู้ดูแลโครงการ Free Software อย่าง Mozilla และ XEmacs เคยกล่าวไว้ว่า "Linux is only free if your time has no value"
ผมเองใช้ Linux มา 10 กว่าปี จนคล่องจนชำนาญ แต่ถ้าให้ตัดสินใจว่าองค์กรควรจะเปลี่ยนจาก Windows มาใช้ Linux มั้ย ผมไม่แน่ใจว่าจะกล้าเสี่ยงครับ
รับทราบตามนั้นครับ :)
ครับ ขอบคุณทุกท่านครับ
ชอบครับ เม้นท์นี้จบศึก
ไม่ค่อยมีใครยอมรับว่า learning curve มันสูงจน "user" ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ แม้กระทั่งคนใช้ Linux ถ้ามือไม่เก๋าจริง และไม่มีอินเตอร์เน็ตคู่กายก็เอาไม่อยู่ และพวกนี้คือ cost ทั้งนั้น
เห็นบ่นกันประจำว่านอกจาก learning curve สูงแล้วเวลาไปขอความช่วยเหลือยังต้อนรับกันดิบดีเสียจน...
จำได้ว่าต้อนรับกันจนเผ่นกันป่าราบ
+1 คอมมิวนิตี้แย่จริง ขนาด askubuntu บางทีถามอยู่เรื่องโดนโยนเข้าอีกเรื่องเฉย
ขนาด time ของผม no value ผมก็ยังคิดว่าการเรียนรู้ linux ยังต้องใช้เวลาไม่น้อยและยังเสียดายเลยครับ
The Last Wizard Of Century.
ไซเฟอร์ร้ายมาก
นึกว่าราชการเมกาใช้ mac
หลากหลายครับ
กระทรวงกลาโหมนั้นเป็น Windows รีบอัพเป็น Windows 10
นาซ่าใช้ Linux, Windows
สำนักงานตำรวจนิวยอร์กใช้ Windows
ฯลฯ
เป็นแผนของไมโครซอฟท์เพื่อเพิ่มยอดผู้ใช้ windows 10
มโน
ช่างคิดนะครับเพราะถ้า MS ทำอย่างนั้นจริง จะออก Critical Patch ให้ Windows XP, Windows Vista, Windows 8, Windows Server 2003 ทำไม? ทั้งที่ End of Life Support ไปแล้วน่ะ
ลง Linux ใช้เว็บแอพ และ Libare + Google Drive ครับ
ผมว่าเราควรจบยุคสมัย ที่เกลียดชัง Microsoft อย่างไร้เหตุผลได้แล้วนะครับ
windows phone
อ่านแล้ว รู้สึกอะไรบ้างไหม?
เฉยๆ แล้วอะครับ เราใส่สีตีไข่กันเองว่า ระดับไมโครซอฟท์ต้องเหมือน iPhone ที่ได้อัพเดทยาวนาน...... ต้องเหมือนพีซีที่อยากอัพก็ซื้อวินโดใหม่ แต่สภาพแวดล้อมที่เจ้าของซอฟท์แวร์ไม่ได้คุมเองมันยากครับไม่เหมือนเราประเทศอเมริกาโอเปอร์เรเตอร์คุมโทรศัพท์แบบเบ็ดเสร็จมากๆเปลี่ยนค่ายนิแทบจะเปลี่ยนมือถือ แล้วพอมองเรื่องกำไรสองเจ้านี้นี่อันดับ 1 ในโลกกับขาดทุนย่อยยับสู้แอนดรอยที่แพตั้งแต่ขายไม่ได้ด้วยซ้ำ เรือธงก็มีอายุ 2 ถึง 3 แล้วก็แพไม่ต่างจากแอนดรอย ถ้าเข้าใจข้อนี้ได้ก็ไม่ต้องไปเศร้าใจครับ ถ้าอยากได้เซอร์วิสดีเหมือนไอโฟนก็ซื้อไปให้ได้ ครึ่งหนึ่งของยอดไอโฟนเขาอาาจะมีกำลังใจทำต่อให้นะ XD
microsoft product ถูกสอนตั้งแต่ อนุบาล ประถม มัธยม
บริษัทที่รับพนักงานเข้าทำงานไม่ต้อง train อะไรเลย (อาจจะมี advance บ้างในบางเรื่อง)
ตอนสัมภาษณ์ก็ต้องมีอยู่แล้วที่ถามเกี่ยวกับ microsift office literacy
รวมๆแล้วประหยัดเงินได้เยอะมาก
จริงครับ เข้าอนุบาล 1 ก็จับ Windows ME แล้ว
ใหม่มากกกก ตอนป.3ผมได้ใช้3.1 ที่จอขาวดำต้องพิมพ์ only เซฟไฟล์ทีนี่งงกันเป็นแถบๆ ก็ยังเด็กๆกันอยู่เลยอ่ะจะไปรู้จัก *.* ได้ไงเนอะ
แต่ที่บ้านมีจอเขียวด้วยที่มันใช้ 5.35" แต่ใช้ไม่เป็น เอาแค่เปิดยังทำบ่ได้
The Last Wizard Of Century.