แอปเปิลเปิดตัว iPhone 12 และ iPhone 12 mini ซึ่งมาพร้อมดีไซน์ใหม่ ขอบเรียบไปกับหน้าจอ รองรับ 5G รวมทั้งตัวเลือกสีแบบใหม่ และชิป A14
iPhone 12 มาพร้อมหน้าจอ 6.1 นิ้ว เท่ากับ iPhone 11 การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือหน้าจอเปลี่ยนมาใช้ OLED แล้ว แสดงผล Super Retina XDR ความละเอียด 2532x1170 ตัวเลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ ดำ ขาว น้ำเงิน แดง และเขียว
ส่วน iPhone 12 mini มาพร้อมขนาดหน้าจอ 5.4 นิ้ว เนื่องจากหน้าจอแสดงเต็มเครื่อง จึงทำให้มีขนาดเครื่องเล็กกว่า iPhone SE ที่หน้าจอ 4.7 นิ้ว โดยแอปเปิลระบุว่าเป็นสมาร์ทโฟน 5G ที่มีขนาดเล็กและเบาที่สุดในโลกตอนนี้
ชิปที่ใช้เป็น A14 Bionic ตัวเดียวกับที่ใช้ใน iPad Air รุ่นล่าสุด รองรับการเชื่อมต่อ 5G กล้องหลังสองตัว 12 เมกะพิกเซล (Wide f/1.6 และ Ultra-Wide) ใช้ Face ID ในการปลดล็อก นอกจากนี้แอปเปิลยังระบุว่าความทนทานต่อการตกหล่นยังเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า กันน้ำมาตรฐาน IP68
iPhone 12 มาพร้อมกับการปรับปรุงระบบชาร์จใหม่ โดยด้านหลังเครื่องรองรับ MagSafe เพื่อให้การชาร์จมีตำแหน่งที่ตรงมากขึ้น ซึ่งแอปเปิลยังเปิดตัวอุปกรณ์เสริมทั้งสายชาร์จ MagSafe, เคส และซองแม่เหล็กติดด้านหลังสำหรับใส่บัตรอย่าง Apple Card ด้วย นอกจากนี้แอปเปิลยังลดขนาดกล่องลงตามแนวทางสิ่งแวดล้อม โดยการหยุดให้หัวชาร์จไฟในกล่อง
ราคาขายในอเมริกา iPhone 12 เริ่มต้นที่ 799 ดอลลาร์ ส่วน iPhone 12 mini เริ่มต้นที่ 699 ดอลลาร์ (เท่ากับ iPhone 11 ราคาเปิดตัว) มี 3 ขนาดความจุ 64GB, 128GB และ 256GB
iPhone 12 เริ่มเปิดให้สั่งซื้อตั้งแต่ 16 ตุลาคมเป็นต้นไป เริ่มจัดส่งสินค้า 23 ตุลาคม ส่วน iPhone 12 mini เริ่มให้สั่งซื้อ 6 พฤศจิกายนเป็นต้นไป จัดส่งสินค้า 13 พฤศจิกายน ทั้งนี้ประเทศไทยระบุว่าจะเริ่มจำหน่ายเร็ว ๆ นี้
ที่มา: แอปเปิล
Comments
สรุปทั้ง 12 กับ 12 pro ใหม่แค่ A14 กับ 5G
จบนอน
LiDAR, ProRAW
feature niche มากครับ
ดีไซน์กับวัสดุ ทำให้ถึกทนขึ้น กั้นน้ำก็ได้มากขึ้นส่วนตัวมองว่ามีประโยชน์มาก
จอ
+1
ผมละปลื้มมากที่Appleเลิกทำกระจกจอขอบโค้งแล้ว
จะได้ติดฟิล์มกระจกเองง่ายๆ หน่อย
สุดท้ายก็กลับมาใช้ดีไซน์คล้ายๆ iPhone 4 กลับคืนสู่สามัญสินะ><รุ่น 13 คงจะโค้งๆเหมือน iPhone 3
ผมว่าสวยสุดแล้ว
ครับ ผมก็รู้สึกแบบนั้น คิดแล้ว อยากเห็นรุ่น 13 เร็วๆว่าถ้าใช้รูปทรงแบบเดียวกับรุ่น 3G แต่รีเมคให้เข้ากกับสมัยนี้ คงจะสวยไปอีกแบบ ทรงโค้งๆมนๆ
ก้อดีไซน์กลับไปกลับมาอยู่แค่นี้แหละครับ ตั้งแต่รุ่นแรกแล้ว
รุ่นต่ำสุดของ iPhone 12 (Mini 64GB) นี่ราคาชนกับ Pixel 5 (ที่มี 128GB รุ่นเดียว) เลย
mini ยังใหญ่กว่า SE1 อยู่ดีแฮะ แต่ดูคร่าวๆ น่าจะพอใส่กระเป๋าเสื้อได้มั้ง
"ส่วน iPhone 12 mini .... จึงทำให้มีขนาดเครื่องเล็กกว่า iPhone SE ที่หน้าจอ 4.7 นิ้ว .... "
ย่อหน้านี้
ทำ SE ในมือผมสั่นเลย
อยากเห็นตัวจริงแล้วสิ
ตอนแรกจะจ่ายแค่ SE2 เพราะถนัดมือดี เจอเล็กกว่า รอดูของจริงก่อนล่ะกัน
รุ่นหน้าตัด lightning port ออกไปขาย magsafe แทน
น่าจะต้องคง body ไปอีก 2 ปีครับ
ว่าแต่ไม่สายนี่ทำหลายอย่างยากมากนะ debug, install firmware
ในที่สุดการรอคอยของผมก็จบลง จะตั้งใจเก็บเงินซื้อรุ่น "12 mini" นี้อย่างไม่ลังเล
จับตามองยอดขาย iPhone 12 Mini อาจจะเป็นตัวที่คุ้มค่าที่สุดในไลน์เปิดตัว iPhone วันนี้เลยก็เป็นไปได้
ไม่น่าซื้อเพราะมีแต่เลนส์ Wide นี่ล่ะ
12 mini นี่ขนาดน่าสนใจ อยากให้ฝั่งแอนดรอยด์ทำตั้งนานแล้ว นี่มือถือใหญ่ขึ้นทุกปีๆ ว่าแต่ยังใช้พอร์ตเดิมอีกเหรอ
มีวิธีทำให้ระบบไฟล์บน iOS เข้าใจง่ายเหมือน Android มั้ยครับ
มันไม่ซัพซ้อนนะครับ จริงๆ มันไม่มีอะไรเลยให้ ถ้าเมื่อก่อนนี่มีแต่รูปกับวีดีโอตกที่แอพ Photo อย่างเดียว ทำไรไม่ได้เลยฮ่าๆ
ไม่รู้ผมเข้าใจผิดหรือถูก
อย่างแอนดรอยด์ ไม่ว่าจะใช้แอพไหนเซฟรูปลงเครื่อง มันก็จะเซฟเข้าไปใน dir ของระบบไฟล์ของ OS ทุกแอพสามารถที่ได้สิทธิให้เข้าถึงไฟล์บนเครื่องได้ ก็จะสามารถเห็นไฟล์นั้นๆ ได้ เวลาจะแชร์ก็เลือกรูปจากระบบไฟล์ได้เลย
แต่ของ iOS เหมือนว่า app space มันแยกกันเด็ดขาดชัดเจนแต่ละแอพเลย ไม่สามารถเลือกรูปจากระบบไฟล์ได้ สมมติถ้าเซฟไฟล์ด้วยแอพ A ถ้าจะอัพโหลดไฟล์ด้วยแอพ B ก็จะต้องเลือกจากแอพ A
ไม่แน่ใจว่าตัวผมเอง noob เกินไปจนเข้าใจแบบนี้รึเปล่าครับ
รูปกับวิดีโอเนี่ย ทุกแอปสามารถมองเห็นรูปในระบบได้แล้วนะครับ สมมติผมจะกดเซฟรูปจาก App A มันก็จะมีขอสิทธิ์เซฟลงเครื่อง มันก็จะลง Camera roll ซึ่ง App B ถ้ากดให้สิทธิ์เข้าถึง มันก็จะเห็นรูปเหมือนกัน
โอเคครับ แล้วถ้าเป็นพวก csv, pdf อะไรแบบนี้ล่ะครับ
พอดีเป็นเจ้าของ iPad mini 5 เซฟไฟล์จาก PC ลง Google Drive แล้วเอา Google Drive บน iPad เซฟลงเครื่อง
พอจะใช้แอพอ่าน pdf เปิดแล้วงงชะมัดครับ มันต้องไปเลือกที่ Google Drive หรือไงนี่แหละ จำไม่ได้แล้ว รู็แต่ว่าไม่ได้เลือกจากระบบไฟล์โดยตรง
ตอนนี้เราเซพไฟล์ลงในเครื่องได้แล้วครับ เวลาเปิดแอพอื่นก็ Browse เอาจากในเครื่องได้เลย ได้เกือบทุกแอพทุกไฟล์ type นะครับ
ขอบคุณมากครับ บน iPadOS นี่มันระบบเดียวกันมั้ยครับ ผมจะไปฝึกดูก่อนซื้อ iPhone
คล้ายกัน แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว มีต่างกันเล็กน้อย แต่ประสบการณ์เรียกว่า copy & paste นะ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
นั่นละครับ ปัญหาที่ผมเจอบน iPadผมใช้ iPad อ่านพวก Manga (CBR,CBZ), PDF, ePub เป็นหลัก ลงแอพอ่านไว้ 2 -3 ตัว กลายเป็นว่า ผมเก็บไฟล์ไว้ที่ส่วนกลางที่เดียวไม่ได้ (บางแอพอ่านไฟล์จากส่วนกลางได้ บางแอพทำไม่ได้)
ยังไม่นับแอพ Files ที่โคตรจะเอ๋อนะครับ
เชื่อม OneDrive, GoogleDrive ได้ แต่ก๊อปไฟล์ ย้ายไฟล์ ได้มั่งไม่ได้มั่ง (หนักไปทางไม่ได้)
ค้างไปเองก็บ่อย
นั่นแหละ อธิบายดีกว่าผมเยอะครับ
แต่คิดจะย้ายไป iPhone แล้ว ก็เลยคิดว่าต้องเรียนรู้จะอยู่กับมันแหละ
เหมือนว่าไฟล์บางอย่างก็ยังต้องใช้แชร์ให้กันอยู่ จริงๆ คงจะแค่ก๊อปไปใส่ในโฟลเดอร์ย่อยของแอพอีกตัวมากกว่า
แสดงว่ามันจะกินเนื้อที่บนเครื่องเท่ากับ file size x จำนวนแอพที่แชร์ไฟล์ไปใช่มั้ยครับ?
ใช้ move ย้ายตำแหน่งแทนสิครับ ไม่เปลืองพื้นที่
แสดงว่าถ้าจะลองใช้กับแอพอื่นก็ต้องย้ายอีกรอบใช่มั้ยครับ อันนี้ถามเพื่อความเข้าใจของผมนะ ไม่ได้ตำหนิโอเอส
เท่าที่ผมเข้าใจนะครับ
ref: https://www.blognone.com/node/91227
ซึ่ง 1 ในประโยชน์ของ Apple File System (APFS) คือ
ref: https://www.blognone.com/node/82222
ไม่เคยพิสูจน์เหมือนกัน แต่จากทั้งสองข่าวรวมกัน แปลว่า iOS รุ่นใหม่ ๆ ที่ใช้ APFS แล้ว เวลา duplicate files จะไม่กินพื้นที่เพิ่มเติม
ขอบคุณครับ กำลังลองเลย งงโคตร
จริงท่านอ่ืนๆ ก็คอมเม้นตอบกันไปหมดแล้ว ฮ่าๆ
มาคุยด้วยนิดหนึง จริงถ้าชินกับแบบระบบของ PC Windows มา Android จะใกล้เคียงกัน
แต่มา iOS สมัยก่อนนี่ปิดสนิท ถ้ารูปจริงอยู่ในแอพของใครของมัน ถ้าจะเอาให้เห็นหมดต้องประมาณ export หรือ save ออกมา เข้าแอพดูรูปของ iOS เอง
แต่พอหลังๆ อัพเดตเรื่อง browse ไฟล์เพิ่มได้ ผ่านแอพ file ได้ (แต่ก็ไม่เหมือนฝั่ง PC เต็ม) แอพใหม่ๆ ก็เขียนให้ส่งไฟล์ได้ ที่ลอง LINE กับ Microsoft Team งี้ ก็สามารถเลือกไฟล์ที่เก็บในเครื่องได้ แถมมีตัวกลางเชื่อมแอพอื่นเช่น One Drive , Google Drive ไม่ต้องกด share จากใน Google Drive ออกมาอีกทีเพื่อส่งเข้าแอพ ประมาณนี้
iPad OS , iOS นี่จริงเหมือนกันด้วย ผมนับว่ามันต่างจากของไอโฟนแค่เรื่องเปิดหลายแอพพร้อมกันเท่านั้นเองครับ ฮ่าๆ
ขอบคุณครับ จะรอกลับบ้านไปทดลองดู ไม่ได้ลองใช้ส่วนนี้มานาน เพราะอ่านหนังสือไม่จบเล่มซะที
ระบบ iOS,iPadOS เรื่อง File เปลี่ยนไปเยอะจากสมัยก่อน ใช้สะดวกมากขึ้นครับ(ถึงจะไม่สุด)
หลัก ๆ ของรูป จะลง Photo หมด ทุก App ที่อนุญาตให้เห็น จะสามารถเข้าไปดึงมาใช้ และ save ลงได้ครับ
ส่วนเรื่อง File ตัว OS จะมี app File อยู่ ซึ่งสามารถ link เข้ากับ iCloud, Google Drive, OneDrive, Dropbox, Documents (ชื่อ app), และ app อื่น ๆ ที่มีการเก็บ file ได้ และตั้งแต่ iOS/iPadOS 13 จะมี On My iPhone/iPad ซึ่งเป็น Local Storage เพิ่มมา โดย App ไหนที่เขียนให้เข้าถึง File ได้ ก็จะสามารถเข้าถึงได้ทุก drive ที่ set ผ่าน app File ครับ
แต่การเข้าถึง app File ยังมีข้อจำกัดอยู่ตรงที่ว่า การเอา file ไปใช้ จะไปลง Local Storage ของ app นั้น ๆ เช่นเปิด Excel จาก app File ตัว Excel จะ duplicate file ตัวนี้ไปทำงานด้วย (ซึ่งถ้าเป็น Excel ผมใช้ผ่าน OneDrive เลยไม่มีการ duplicate ไปครับ)
ลองแล้ว ยังงงโคตรๆ ครับ อาจเป็นเพราะบางแอพยังไม่ได้อัพเดทมาใช้ approach ใหม่ด้วยมั้ง
ลองอ่านใหม่อีกที ก็น่าจะเป็นแบบที่ผมเข้าใจคือเป็น app-space storage
พอดีผมใช้บน ipad mini 5 ซึ่งน่าจะเป็นระบบไฟล์ใหม่ของแอปเปิลอยู่แล้ว ... ซึ่งใช้แล้วงงนี่แหละครับ
จะว่าใช้คำว่า "งง" ก็คงไม่ถูก เพราะแบบที่เม้นบนๆ ว่าไว้ คือผมมีภาพจำกับระบบไฟล์แบบเข้าถึงทุกอย่างและบันทึกทุกอย่างได้ใน core file system ของ os
คงต้องทำใจให้ชิน และหา tips มาอ่านเพิ่มเติมครับ ขอบคุณทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วย
ในเว็บ Apple บอกกล้องซูม optical 2 เท่าละเนี่ย มีแต่เลนส์ wide , ultra wide จริงเรียกระยะปกติของไอโฟนเลยนะเนี่ย ถ้านับซูมจาก ultra wide ก็ดูโกงๆ ไปหน่อยนะ
ดูที่เลข mm ของเลนส์น่าจะง่ายกว่าครับ
กล้อง digital เค้าก็นับแบบนี้มานานแล้วนะครับ
ตัวนึงระยะใกล้สุดที่ 38mm optical zoom ได้ 10x ก็สุดที่ 380mmอีกตัวระยะใกล้สุดที่ 22mm optical zoom ได้ 10x เท่ากัน แต่สุดที่ 220mm ครับ
อันนี้เป็นการนับตัวคูณปกติของกล้อง digital ครับ
ในไอโฟนที่ซูมได้ ระยะ normal ของไอโฟนจะ ขึ้น 1x พอซูมออก (Ultra Wide) 0.5x นะครับ ไม่ได้ขึ้น default เป็นระยะกว้างสุดแบบกล้องปกติทั่วไป
ชอบเวลา Apple คิดอะไรเล็กๆ น้อยๆ แต่เพิ่มความสะดวกอย่าง แม่เหล็กหลังเครื่องจริงๆ
ส่วนตัวชอบพวกอะไรในกระเป๋าน้อยๆ กระเป๋าเงินบางๆ พกน้อยๆ
พอเห็นซองแม่เหล็กดูดหลังเครื่องได้นี่ประทับใจมาก
R&D เค้าดี
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
สองรุ่นนี้ ก็น่าจะขายดีกว่าตอนบนอีกนะ ราคาใช้ได้
อ้าว ราคาที่ประกาศในงานไม่ใช่ราคาเครื่องเปล่า แต่เป็นราคาซื้อผ่านเครือข่ายมือถือ ตายแล้ว!!!Update (4:18PM ET): A previous version of this article said the iPhone 12 mini starts at $699. That’s the price Apple quoted during its keynote. What the company didn’t say is you can only get the iPhone 12 mini for $699 if you buy it through AT&T or Verizon. Otherwise, it starts at $729. We’ve updated the title and copy of this article to reflect what we consider the true cost of the phone.