ถือเป็นอีกความเคลื่อนไหวสำคัญในวงการฮอลลีวูดเมื่อ Netflix ทำข้อตกลงสร้างหนังกับสตูดิโอ Amblin Partners ของ Steven Spielberg ผู้กำกับที่สร้างชื่อมากคนหนึ่งของวงการ ข้อตกลงคือทำหนังจำนวนหนึ่งออกฉายบน Netflix ซึ่งในแถลงการณ์ไม่ได้บอกจำนวนหนังและรายละเอียดอื่นเพิ่มเติม
ก่อนหน้านี้ Amblin Partners สร้างหนังเรื่อง The Trial of the Chicago 7 ซึ่งเป็นหนังฉายบน Netflix มาแล้ว ถือเป็นหนึ่งในหนังของ Netflix ที่ประสบความสำเร็จ ได้เข้าชิง 6 รางวัลใน Academy Awards ครั้งที่ 93 และตอนนี้ก็กำลังร่วมกันสร้างหนัง Maestro
อย่างไรก็ตาม ตัว Steven Spielberg เคยมีข่าวลือว่าเขาตั้งคำถามกับวงการสตรีมมิ่งไม่น้อย เขาพยายามเจรจากับหน่วยงาน Academy of Motion Picture Arts and Sciences จำกัดสิทธิ์หนังสตรีมมิ่งในการได้รางวัลออสการ์ แต่เขาก็ออกมาเผยทีหลังว่าไม่จริงผ่าน The New York Times เขาบอกว่า เขาอยากให้ผู้คนได้รับความบันเทิงในรูปแบบที่เหมาะกับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นจอใหญ่ หรือจอเล็ก สิ่งสำคัญคือทุกคนควรเข้าถึงหนังดีๆ ได้
ด้านหนังของสคูดิโอ Amblin Partners ที่ประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้คือ Green Book, 1917, The House With a Clock in Its Walls
Comments
ถ้าจำไม่ผิดก็คือถ้าหากต้องการกล่องก็ยังต้องฉายโรงอยู่นะ อาจจะจำกัดโรงหรือรอบอะไรว่าไป แต่ยังต้องมี ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีและไม่อยากให้กฎอันนี้หายไป ไม่รู้ทุกเจ้ามีกฎนี้หรือเปล่าแต่ว่า Academy นี่มีกฎนี้แน่นอน
ผมก็เห็นด้วยนะ ประสบการณ์การดูหนังในโรงกับที่บ้านมันคนละแบบเลย หลังๆมาเราเห็นความแตกต่างระหว่างหนังที่สร้างมาฉายในโรงกับหนังสำหรับสตรีมมิ่งค่อนข้างชัด จุดประสงค์กว้างๆอาจจะเหมือนกัน แต่ใช้ลูกเล่นใช้วิธีต่างกัน วิธีการวัดผลมันก็ควรจะแยกกันด้วย
อย่างหนังที่มันยาว 4 ชั่วโมงเงี้ย มันคือข้อจำกัดที่หนังโรงทำไม่ได้แน่ๆ ซึ่งมันได้เปรียบในแง่ของการเล่าเรื่องที่มีเวลาให้ใช้เหลือเฟือ แบบ Justice League เวอร์ชั่นตาแซคนี่อวยกันจังเลย ลองให้ตัดต่อเหลือ 2 ชั่วโมงผมมั่นใจว่าก็ไม่ต่างกันกับเวอร์ชั่นแรกสักเท่าไหร่
ผมเชื่ออยู่ในใจลึก ๆ ว่าสุดท้ายโรงหนังมันจะตายแหละครับ ผมเปรียบโรงหนังเหมือนกล้องฟิล์ม สตรีมมิ่งเป็นกล้องดิจิตอล ช่วงแรก ๆ ใครก็ว่ากล้องดิจิตอลมันกาก สุดท้ายกล้องฟิล์มมันก็ตายตามเทคโนโลยีที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ อะครับ ซึ่งในมุมของการดูหนัง เราค่อย ๆ เห็นใันดีขึ้นจริง ๆ ทั้งเน็ตบ้านที่แรงขึ้น ความละเอียดระดับ 4k 8k ทีวีและเครื่องเสียงจอใหญ่ ๆ ที่ไม่ใช่มหญ่ขึ้นเฉย ๆ แต่ถูกลงเรื่อย ๆ ด้วย
ในมุมหนังโรง เจอโควิดเข้าไป ตายเป็นแถบ และคนทำธุรกิจหนังเนี่ย เค้าน่าจะรู้กันดีว่าที่ผ่านมาโรงหนังมีอิทธิพลในวงการขนาดไหน สตรีมมิ่งมันเข้ามา disrupt ตรงนี้ ทำให้คนทำหนังอาจไม่ต้องลงทุนสูงโคตร ๆ อีกต่อไป (ในแง่การประชาสัมพันธ์ ไม่ใช่ทุนสร้าง) ดูอย่างเฮียฮ้อ RS แกยังถอยเลย (ดูจากป๋าเต็ดทอล์ก)
ผมดูยังไงมันก็เป็นสัญญาณการล่มสลายของหนังโรงอะครับ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ในฐานะคนชอบดูหนัง ผมเชื่อว่ายังไงธุรกิจโรงหนังมันจะยังอยู่ แต่มันอาจจะกลายเป็น Niche Market ไปเลย โรงหนังเองก็ต้องปรับตัว เชื่อว่าเจ้าใหญ่ๆเองต้องมีปิดสาขาในเร็วๆนี้แน่ๆ คือมันแย่แน่ๆแหละเพราะโดน Disrupt แรงมากทั้งจากเทคโนโลยี, เทรนด์คนดู, โควิด
แต่ยังไงก็ตาม มันมีประสบการณ์บางอย่างที่การดูหนังในโรงมันให้ประสบการณ์บางอย่างได้มากกว่าการดูอยู่ที่บ้านอ่ะครับ ยกเว้นแต่บ้านจะมีอุปกรณ์ครบครันเทียบเท่าโรงหนังซึ่งมันก็ไม่ได้ทุกคนที่มี (และก็ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการรับชมภาพสีเสียงอะไรที่ใหญ่เบอร์นั้น) ในขณะที่การสตรีมมิ่งมันก็ให้ประสบการณ์ที่ในโรงให้ไม่ได้เหมือนกัน มันแยกกันเป็นสองทางเลย แม้กระทั่งตัว content ที่ทำมาฉาย ณ วันนี้ฝั่งสตรีมมิ่งเองก็ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและจุดแข็งของตัวเองมาพ่วงกับ content เฉพาะตัวเหมือนกัน
ถ้ามองคนทั่วๆไป แค่อยากดูหนังก็ได้ดูเลย ยังไงสตรีมมิ่งมันก็ตอบโจทย์กว่า ผมเองก็ยอมรับว่าดูสตรีมมิ่งมากขึ้นจนเข้าโรงหนังน้อยลงตั้งแต่ก่อนมีโควิด แต่สำหรับหนังบางเรื่อง หรือบางจังหวะของชีวิต ผมก็ยังอยากไปดูหนังในโรงมากกว่าครับ
เหมือนธุรกิจเพลงแหละ โดน disrupt ตั้งแต่ยุค Napster มาจนยุคสตรีมมิ่ง คนในวงการก็ปรับตัวเรื่อยๆ แต่ทุกวันนี้มันก็ยังมี format เพลงแบบเดิมๆขายอยู่แต่กลายเป็นของสะสมไป หรือการที่ฟังดนตรีสดผ่านอินเตอร์เน็ตได้ก็จริง แต่ก็ยังมีคนไปดูคอนเสิร์ตสดๆอยู่ ซึ่งนี่คือเค้าปรับตัวกันสุดๆทั้งคนเบื้องหน้าเบื้องหลังอ่ะนะ นักดนตรีนี่จากที่เคยมีรายได้จากยอดขายเทปก็เปลี่ยนเป็นรายได้จากการแสดงสด พอมายุคนี้เริ่มมีรายได้จากการสตรีมมิ่งมาอีก
ฟังก์ชั่นของ streaming กับโรงหนังมันต่างกันกว่ากล้องฟิล์ม ดิจิทัลนะครับ นัดกันดูหนัง ไม่ใช่ว่าทุกคนจะไปนัดกันดูที่บ้านได้ บรรยากาศในการดูในโรง เวลามีคนหัวเราะ ตกใจ ฯลฯ ดูเสร็จได้คุยกัน มันก็ไม่เหมือนดูคนเดียว หลายคนก็ชอบตรงนี้ แต่แน่นอนว่ามันไปกินบางกลุ่มด้วย โรงหนังคงลดลง แต่คงไม่ตายง่ายๆ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ในฐานะคนที่ดูหนังโรงเป็นประจำ ตอนตั๋วใบละ 100
จนมานาน ๆดูที ตอนตั๋วใบละ 200และปัจจุบันคงไม่ได้ไปดูอีกนาน (เพราะมีลูก)
ผมมีเซทโฮมเทียเตอร์ที่บ้าน ถึงจะไม่ได้แพงหลักแสนหลักล้าน แต่ประสบการณ์การดูไม่ต่างจากในโรงสำหรับผม แต่ผมก็เลือกที่จะไปดูในโรงถ้ามีโอกาส
ผมว่าการดูหนังที่โรงมันคือการพักผ่อนอย่างนึง มันเป็นมากกว่าการดูหนังมันมีกินข้าวกินขนม มันคือการเดทสำหรับคู่รัก มันคือการเที่ยวสำหรับเด็ก ๆ มันคือการพบปะสังสรรค์ของกลุ่มเพื่อน ดูหนังเราดูที่ไหนก็ได้แต่สิ่งนี้เราทำได้ที่โรงหนังเท่านั้น เพราะฉะนั้นผมว่าโรงหนังไม่ตายครับ ยังมีอีกหลายคนที่เห็นคุณค่าของการไปดูหนังที่โรงมากกว่าตัวหนังจริงๆ
ถ้าจะเทียบโรงหนังกับสตรีมมิ่ง
ต้องเทียบคอนเสิร์ตกับสตีมมิ่งครับ
ตราบใดที่คอนเสิร์ตยังขายตั๋วได้ โรงหนังก็ขายตั๋วได้เหมือนกัน
อืมมมมม ผมว่าหลายๆคนไปดูคอนเสิร์ตเพราะอยากเจอตัวเป็นๆ หลายๆครั้งมีการโต้ตอบกับคนดู มากกว่านะ อีกอย่างการเล่นสดมันก็ต่างกับ pre recorded อยู่ดี
ซึ่งกรณีโรงหนังกับสตรีมมิ่งมันก็ pre recored ทั้งคู่ ต่างกันแค่คุณภาพของระบบเท่านั้นเอง
ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องเทียบกับคอนเสิร์ตและ Live ผ่าน Streaming ต่าง ๆ(ที่ต้องสมัครMember) ซึ่ง Live ก็ยังมาทดแทนไม่ได้อยู่ดี ทั้งๆที่มีการโต้ตอบ และเล่นสดเหมือนกัน
ผมว่าทั้งคอนเสิร์ตและโรงหนังมันไม่น่าจะหายไปหรอกครับ เพราะจุดขายของมันอยู่ที่บรรยากาศสภาพแวดล้อมมากกว่า หนังอย่าง Quiet Place ดูอยู่บ้านยังไงก็ไม่ได้อารมย์เท่าในโรง เพราะเสียงสภาพแวดล้อมแถวบ้านก่อกวนมาก สมาธิไม่จดจ่อกับหนังได้เท่าในโรง กำลังลุ้นๆกับฉากในหนัง ถ้ามีเสียงเด็กแว้นขับผ่านหน้าบ้านนี่จบเลยทีเดียว
ใช่ครับ ในกรณีนี้คอนเสิร์ตจริงๆในฮอลจริงๆก็ไม่ตายเพราะคนอยากไปอยู่ดี แต่อย่างข่าวก่อนหน้าที่แพลตฟอร์มเจ้านึง (น่าจะ Spotify) บอกจะขายบัตรสตรีมคอนเสิร์ตแต่เป็นแบบ pre recorded กระแสคือคนก็งงว่าทำไปทำไม
แต่ถ้าจะมองกลับกัน บรรยากาศในโรงหนังที่คนกินขนมก็อบแก็บ คนที่พาลูกมาดูแล้วเสียงดัง คนที่เข้าโรงช้าหรือออกไปห้องน้ำ คนที่เปิดโทรศัพท์เล่น ก็ทำลายบรรยากาศเหมือนกันนะ
กล้องดิจิตอลกับกล้องฟิล์มมันคือกล้องเหมือนกัน เป็นเทคโนโลยีที่แทนที่กันได้ เพราะงั้นก็ไม่แปลกที่จะอยู่รอดคนเดียว
แต่โรงหนังกับ Streaming มันไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว มันเป็นคนละอย่างกัน (ถ้าจะเปิดโรงหนังที่ Streaming ไปด้วยมันก็ทำได้) เพราะงั้นถ้าจะพูดให้ถูกมันคือเรื่องของ "การดูหนังที่บ้าน" กับ "การดูหนังที่โรงหนัง" มากกว่า
เรื่องคุณภาพการรับชมมันอาจจะยกมาไว้ที่บ้านได้แบบไม่ยาก (ทีวี เครื่องเสียง โซฟา ป๊อปคอร์น) แต่ในแง่ของประสบการณ์โดยรวมมันยากที่จะยกมา โดยเฉพาะถ้าคุณดูหนังหลายคน มันยากที่จะมอบประสบการณ์แบบเดียวกับการไปดูในโรงหนังหลายๆคน ซึ่งมันไม่ใช่แค่เรื่องคุณภาพในการรับชม แต่เป็นเรื่องของความสะดวก(ทั้งกายและใจ)ทั้งเจ้าบ้านและแขกด้วย ผมมองว่ายังไงบ้านก็แทนที่พื้นที่สาธารณะไม่ได้ครับ
ถ้าจะให้เปรียบเปรย ผมขอเปรียบกับพวกร้านคอม เกมเซนเตอร์ ร้านคาราโอเกะ หรือแม้กระทั่งร้านอาหาร ของพวกนี้จะยกประสบการณ์แบบเดียวกันมาไว้ที่บ้านก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถึงอย่างนั้นธุรกิจพวกนี้มันก็ยังอยู่ได้ แม้อาจจะเฉพาะกลุ่มแต่มันก็ยังไม่ตายครับ
ตอบรวบทุกคนด้านบนเลยละกันนะครับ
คำว่า "ตาย" หรือ "ล่มสลาย" ของผมเนี่ย ก็เหมือนกับกล้องฟิล์มตอนนี้แหละตรับ คือมันไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์ แต่มันไม่ใช่ของที่ "คนทั่วไป" ต้องการอีกต่อไป หรือกลายเป็น nich market ไปเลย
ซึ่งเราค่อย ๆ เห็นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามันเริ่มลู่ไปทางนั้น "ประสบการณ์" ที่ว่าหาที่อื่นไม่ได้นอกจากโรงหนัง มันมีทั้งดีและแย่ และประสบการณ์แย่ ๆ สตรีมมิ่งมันขจัดออกได้หมดเกลี้ยงเลย (ไม่ต้องเดินทาง ดูเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องไปผจญกับใคสก็ไม่รู้นิสัยเสียแค่ไหนไม่รู้ในโรง ฯลฯ) ส่วนประสบการณ์ดี ๆ สตรีมมิ่งก็พยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเลียนแบบมันให้ได้ ทั้งความคมชัด ระบบเสียง หรือแม้แต่บรรยากาศการชมในโรง (เริ่มมีระบบเชิญเพื่อนมาดูพร้อมกัน)
แถมฝั่งสตรีมมิ่งยังมีข้อดีทีโรงหนังไม่มีทางทำได้อีก ทั้งทำหนังแนวใหม่ที่คนดูเลือกเส้นทางหนังได้ (ยังไม่ปังแต่ก็เป็นทสงเลือกหนึ่ง) ทั้งทำเป็น vr ได้ (อีกระดับของ 3d ที่หนังโรงไม่มีทางทำได้) ทั้งมีความยาวเยอะ ๆ ได้ (ดู Justice league เป็นตัวอย่าง ชื่นชนกันเหลือเกิน) แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรออกมาอีก แต่หนังโรงมันดิ้นไปไหนไม่ได้ละ ทำได้แค่ระบบแสงกะเสียงนี่แหละ
ยังไงผมก็ไม่เชื่อว่าโรงหนังจะอยู่ยั้งยืนยงอะครับ สุดท้ายมันจะกลายเป็น nich แน่ ๆ ไม่ช้าก็เร็ว คิดว่าคงไม่เหมือนฮาร์ดดิสก์ ผมเองก็ทำนายมานานแล้วว่ามันจะตาย มันก็ไม่ตายซะที แต่ดันหา position ตัวเองได้ แถมพัฒนาต่อไปเรื่อยทั้ง ๆ ที่กูรูบอกมาหลายรอบละว่าเทคโนโลยีมันตันละนะ 5555
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
Green Book สนุกมากก แต่ตอนนั้นสตรีมจาก HBO GO
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
อยากให้ netflix เอาหนังเข้าใหม่ชนโรง มาฉายในแอปเยอะๆ แล้วให้จ่ายแยกเป็นเรื่องๆนอกจากรายเดือนปกติ
แค่นี้ก็ตีกับโรงหนังจะแย่อยู่แล้วซื้อไปฉายชนโรงนี่ยากอ่ะครับเจ้าของลิขสิทธิไม่น่าปล่อยให้คนอื่นอยาก Warner ฉายของตัวเองชนโรงได้เพราะเขาเป็นเจ้าของสิทธิหนังของตัวเองแต่ Netflix ไม่มีน่ะสิครับ
ไม่รอดครับ ทำงั้นจะมีลูกค้าจำนวนมากไปดูเถื่อน เพราะจะมีมาสเตอร์เดย์วันมา
คนยุคเก่าก็จะชอบบอกว่าฉายในโรงเป็นเรื่องดี แต่อะไรที่สะดวกกว่ามันก็มาแทนที่ของเก่าๆหมดหล่ะ คิดว่าโรงหนังไม่หายไปซะทีเดียวหรอก แต่จะโดนแบ่งลูกค้าไปเยอะแน่ๆ ถ้าวันไหนสามารถสตรีมพร้อมกับวันฉายโรง
ผมว่ารายรับโรงหนังจะลดลงอยู่บ้าง และโรงหนังต้องมีการปรับตัว เพิ่มบริการหลากหลายรูปแบบที่เกี่ยวข้อง และไม่เกี่ยวข้อง
แต่ตลาดมันคงกินกันไม่ลง เพราะประสบการณ์แตกต่างกันมาก และต่างกันจริงจังอย่างเห็นได้ชัด ทั้งภาพ ทั้งเสียง แรงสั่นสะเทือน การพูดคุยกันต่อในร้านอาหาร หรือเดินเล่นคุยกันเรื่องหนังต่อ การไปกินเลี้ยงต่อ
แต่ผมเชื่อว่า โรงหนังต้องปรับตัวเพิ่มประสบการณ์ที่ทดแทนไม่ได้ให้มากขึ้นอีก ตลาดจะได้ไม่โดนกินมาก
ผมคิดถึงกล้องฟิล์ม กล้องดิจิทัล กล้องฟิล์มได้ภาพเหมือนกัน แต่ไม่สะดวกเท่าดิจิทัล ตรงนี้ประสบการณ์แตกต่างกันไม่มาก ทำให้โดนกลืนจนเกือบหาย และเหลือไว้แต่คนที่ชอบ หรือคิดถึงประสบการณ์ที่สัมผัสได้ยากในคนทั่วไป หรืองานทั่วไปแทน แต่โรงหนังต่างกันเยอะ ประสบการณ์ต่างกันเยอะมาก
แต่คนที่ชอบความสะดวกจะมีทางเลือกมากขึ้นแน่นอน และถ้าเขาไม่พร้อม เขาก็คงไม่ไปโรงหนังและเลือกดูทางสตรีมแทน เพราะสะดวกกว่ามาก สมัยก่อนก็คงต้องไปดูโรง หรือไม่ก็รอแผ่นมาให้เช่า ซึ่งก็ไม่สะดวกนัก เพราะต้องไปเช่า ไปคืน
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
ประสบการณ์ในแง่คุณภาพของภาพและเสียง โรงหนังชนะค่อนข้างชัดเจนจริง
เว้นแต่คนที่มีโฮมเธอร์เตอร์เจ๋งๆที่บ้าน หรือใช้จอคุณภาพดีๆ จอใหญ่ๆ หูฟังดีๆหน่อย อาจจะพอทดแทนได้
หรือกระทั่งเปิดดูจอยักษ์ใน VR อันนี้ immersive ยิ่งกว่าโรงหนังจริงเสียอีก
ในแง่ความสะดวกนี่ห่างชั้นกันเยอะจริงๆครับ
คุณจะกินอะไรระหว่างดูก็ได้ จะจกข้าวเหนียวส้มตำ หรือซดเบียร์ระหว่างดูก็ได้
คุณจะนั่ง จะนอนดูก็ได้ ตามแต่สะดวก จะวิ่งบนลู่วิ่งไปดูไปก็ยังได้
คุณไม่ต้องรอเวลาหนังฉาย อยากดูเมื่อไหร่ตอนไหนก็เปิดดูได้เลย
คุณจะดูกับครอบครัว หรือพี่น้อง หรือเพื่อน หรือแฟนได้หมด จะนั่งตัก ใกล้ชิดกันยังไงก็ได้
คุณใช้เสียงได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องการรบกวนคนรอบข้างเท่าหนังในโรง
ดูหนังจบคุณจะคุยกันเท่าไหร่ก็ได้ ไม่ต้องกลัวไปสปอยล์ใส่ใครในที่สาธารณะ
ถ้าการเอาหนังลงสตรีมพร้อมๆกับโรงหนังทำได้จริง ผมก็เป็นคนนึงที่เลือกจะดูที่บ้านความสะดวกนี่ท่วมท้นกว่าจริงๆ จนคุณภาพเสียงและภาพที่เสียไปแลกกันได้
โรงหนังเหนื่อยแน่ เพราะผมค่อนข้างมั่นใจว่าประชากรส่วนใหญ่จะเลือกความสะดวกและความเป็นส่วนตัว
อยากให้โรงหนัง/ค่ายหนังปรับพฤติกรรมเพราะสตรีมมิ่งเหมือนกัน ปรกติเป็นคนชอบดูหนังให้โรงอยู่แล้ว แต่ค่าตั๋วมันค่อนข้างจะแพงมาก (โดยเฉพาะเมื่อ 5-10 ปีก่อนตอนที่เงินเดือนน้อย ๆ) ดูแต่ล่ะเรื่องเล่นไป 150-300 บาท แล้วปรกติก็ไม่ดูคนเดียวอยู่แล้วดูกับแฟนตลอดก็คูณสองเลย ถ้าช่วงหนัง blockbuster เข้ารัว ๆ นี่ค่าหนังก็หลายพันบาทเลย
ถ้าค่ายหนังกับโรงหนังคุยผลประโยชน์กันใหม่แล้วปรับค่าตั๋วให้ต่ำลงอย่างน้อยก็จะช่วยให้คนที่อยากดูในโรงแต่งบไม่พอหันมาดูเพิ่ม แต่ถ้าในทางกลับกันค่ายหนังกับโรงหนังเห็นแล้วว่าการมาของสตรีมมิ่งก็ไม่ช่วยให้คนแผ่นดูที่บ้านหันมาดู งั้นก็ในโรงหนังเป็นตลาดพรีเมี่ยมไปเลย ค่าตั๋วก็จะยิ่งแพงโดดขึ้นไปอีก
ถ้า streaming มีชนโรงเมื่อไหร่ โรงหนังอดได้เงินผมแน่ ไม่อยากไปเสี่ยงเจอคนมารยาทแย่ เล่นโทรศัพท์จอสว่างจ้าบ้าง เจอเด็กช่างคุยบ้าง เตะเบาะบ้าง ฯลฯ ปวดหัว เสียงกับจอที่บ้านพอเอาอยู่ ผมไม่อะไรมาก
ว่าแต่ตอนนี้ก็ไม่ได้เข้าโรงหนังมา 2 ปีละ เพราะโควิด
+100 ครับ เรื่องคุณภาพของแสงสีเสียงเป็นสิ่งที่ใช้เงินแก้ได้ (หูฟังดีๆ หรือโฮมเธียเตอร์ดีๆ) โดยที่ไม่ต้องจ่ายมากก็ได้ แค่ถึงจุดที่เราพอใจพอ
แต่จะแก้ไขคนมารยาทแย่ในโรงหนัง แก้ยากครับ 5555
เห็นด้วยครับ ยิ่งเจอเด็กซนในโรงหนังอีก โทรศัพท์ก็ด้วย บางคนปรับเบาะไปมาก็มี
ปัญหาลูกค้าแบบนี้แก้ได้ยากมาก ต่อให้โรงหนังจะดีแค่ไหน และจะเตือนยังไง ก็ยังเจอลูกค้าแบบนี้อยู่
จากที่จะไปดูหนังสนุกๆ เจอคนไร้มารยาทเข้าไป ไม่เข้าโรงหนังอีกเลย รอหนังออกโรงมาดูที่บ้านดีกว่า แถมสะดวก ไม่ต้องรอคิว หยุดดูได้ทุกเวลา ไม่พลาดการชมบางตอนเหมือนในโรงหนัง และกินอะไรก็ได้ ไม่จำกัด
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว