องค์กรวิจัย Pew Research Center รายงานผลสำรวจว่าวัยรุ่นในอเมริกาอายุ 13-17 ปี ใช้ ChatGPT ช่วยทำการบ้านหรือช่วยงานโรงเรียนมากน้อยแค่ไหน พบว่า 26% บอกว่าใช้ ChatGPT ช่วยทำงานโรงเรียน ผลสำรวจปี 2024 นี้จึงเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปี 2023 ซึ่งอยู่ที่ 13%
อย่างไรก็ตามตัวเลขนี้อาจบอกได้ว่าวัยรุ่นยังนำ ChatGPT มาใช้กับงานโรงเรียนไม่มากนัก เพราะอีก 74% ก็ไม่ได้นำมาใช้ ซึ่งเรื่องนี้ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันในแวดวงการศึกษา
เมื่อถามวัยรุ่นกลุ่มนี้ว่าพวกเขายอมรับได้หรือไม่ ที่นักเรียนจะใช้ ChatGPT ช่วยงานโรงเรียนในแต่ละประเภท 54% ยอมรับได้ว่านำมาใช้ค้นคว้าวิจัยหัวข้อต่าง ๆ แต่มี 29% ที่ยอมรับได้สำหรับการนำมาช่วยแก้โจทย์เลข และเหลือเพียง 18% ที่ยอมรับได้หากใช้ ChatGPT ช่วยเขียนเรียงความ
ที่มา: Pew Research
Comments
ต่อไปคงสั่งการบ้านไม่ได้แล้วมั้ง
ไม่ฝึกเค้นสมองคิด มันจะดีรึอะไรง่ายไม่ทำซ้ำๆมันก็ลืมเร็ว
ก็จะมีคนบอกว่า มันก็เป็นวิธีคิดอีกแบบนึงนะ ใช้สมองหาคำตอบเหมือนกัน แต่คนละแบบ ก็ว่าไป
ส่วนตัวผมว่ามันก็จะมีสกิล หรือโนวฮาวบางอย่างที่พอถูกแทนด้วยเทคโนโลยีแล้ว สิ่งนั้นก็จะหายไปจากองค์ความรู้ของมนุษยชาติ...ตลอดกาล เพราะคนที่เคยทำได้ก็ค่อยๆ เลือนหายไป คนใหม่ๆ ก็ไม่รู้ว่ามนุษย์เคยทำสิ่งแบบนี้ได้ และเค้าก็โตมาในโลกอีกแบบ ก็เลยบอกว่าทำไม่ได้หรอก
ไม่น่าจะเกี่ยวนะ
หลัก ๆ ผมใช้งาน Ai ในการติดต่อลูกค้า
ต้องการ mail ที่เป็น formal ระดับเป็นทางการ
ซึ่งถ้าเราเขียนเอง ภาษาสละสลวยระดับนั้น ต้องเค้นสมองมากมาย เขียนนาน เลย
แต่พอใช้ตัวช่วย รอไม่กี่วินาที เราก็ได้โครงเมลออกมา เราตรวจทาน ว่าถูกหรือเปล่า ใจความตรงหรือเปล่า
สองสามนาทีเสร็จแล้ว
เอาเวลาไปทำอย่างอืนดีกว่า
นี่ก็แปลว่าทักษะการเขียนของคุณจะไม่ได้รับการฝึกฝนขัดเกลาแล้วอย่างไรครับ
ได้งานเร็วจริง ได้ทักษะในการถาม AI จริง แต่ก็แลกมาด้วยบางอย่างเช่นกัน
That is the way things are.
เห็นด้วย สมัยเด็กๆยังมีพลังเค้นสมองคิด ยังมีเวลาเรียนรู้โตมามีครอบครัวมีภาระงาน สมองมันเรียนรู้ยากแล้ว ไม่มีเหมือนตอนเด็กๆ
การเขียน prompt สั่งงานเอไอเนี้ยมันไม่ได้ง่ายๆโง่ๆนะ มันต้องผ่านการคิดที่เป็นระบบมีรูปแบบการเขียนที่ถูกต้องและมีขั้นตอนที่ละเอียดกว่าสั่งงานคนมาก อย่าคิดว่าการเขียนpromptไม่ใช้สมอง แน่นอนว่าบางงานก็ไม่ต้องใช้จริงๆนั่นแหละแต่พวกงานที่มีดีเทลเยอะๆก็ต้องเขียนคุมมันอยู่ดียิ่งเกี่ยวกับการคำนวณจะต้องอธิบายมันให้ได้ตรงและมันเข้าใจไม่งั้นสูตรมั่วเละเทะแถมต้องมารีเช็คแก้จุดผิดด้วยไม่ใช่จะเอางานมันไปก้อปส่งได้เลย
จำได้ว่าตอน GPT ดังใหม่ๆ เหล่าคนในวงการ AI พากันเยาะเย้ยคนที่พูดคำว่า "prompt engineering" บอกว่าเป็นคำที่ make up กันขึ้นมาเอง และมันไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าการ พิมพ์สุ่มไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ (ที่ใกล้เคียง)
ซึ่งผมเห็นด้วยกับพวกเขา
ไม่ต้องอ้างคนโน้นคนนี้หรอกผมว่ายกเหตุผลกับเคสการใช้งานจริงมาโชว์เลยดีกว่า ผมอยากรู้ว่าเคยใช้งานchatbotจริงรึเปล่าที่พูดมาหรือพูดจาเพ้อเจ้อไปงั้น มีที่ไหนพิมพ์promptมั่วๆแล้วงานจะออกมาถูกต้องได้ กับงานที่ไม่ต้องการความถูกต้องอย่างงานartการพิมพ์promptมั่วๆก็อาจจะยังพอจะทำได้ในกรณีที่งานไม่มีบรีฟเฉพาะเจาะจงด้วย แต่งานอื่นๆเช่นงานเขียนโปรแกรมหรืองานสายคำนวณต่างๆมันมั่วได้ที่ไหน แล้วการที่เราจะสั่งงานและเช็คงานจากAiว่าถูกต้องหรือไม่มันก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจในระดับนึงด้วยไม่ใช่เอาใครที่ไหนมาสั่งแค่สั่งก็ผิดจะเอาBดันไปสั่งAแล้วผลลัพธ์มันจะออกมาถูกได้ยังไง เพราะงั้นการสุ่มจนถูกเนี้ยเป็นเรื่องเพ้อเจ้อมากรวมถึงยังเสียเวลามานั่งสุ่มแล้วรอบอทตอบจนถูกอีกต้องเป็นคนว่างมากสู้เอาเวลาไปนั่งทำเองน่าจะดีกว่า
เด็กมหาลัยเดี๋ยวนี้แทบจะ 100% ครับ ใช้วิธีหารกันหลายๆคน
มันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากๆ ข้อเสียที่ไม่รู้จะเรียกข้อเสียได้ไหม สำหรับนักเรียนนักศึกษาถ้าเอามาใช้แค่ขอคำตอบส่งให้พอผ่านมันจะทำให้ผู้ใช้โง่ลงเรื่อยๆ แต่ถ้าเอามาใช้ศึกษาเรียนรู้หาคำตอบหรือเนื้อหาเพิ่มเติมมันเป็นเครื่องมือที่เปิดโลกการเรียนแบบสุดๆ
เป้าหมายของการเรียนรู้คืออะไร
ถ้าเราใช้ AI ช่วย แล้วเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ?
ผมว่าก็คงต้องหาคำตอบกันให้ดี
That is the way things are.
ซ้ำ
That is the way things are.
เข้าใจเลยทำไมหนังโลกอนาคตถ้าโลกล่มสลายมนุษย์ก็กลับไปเป็นแบบยุคหิน อยู่กับดิน อยู่ในป่า อีกหน่อยไม่มีเครื่องมือไรก็ทำไรไม่เป้นกันแล้ว
ไม่เกี่ยวอะไรข่าว แต่แปลกใจที่ไม่ค่อยมีข่าวเรื่องแจกแทบเล็ตม.ปลาย
ข้อจำกัดของมนุษย์คือเกิดมาแล้วตายไป ในขณะที่เกิดมาต้องมาเริ่มต้นเรียนจาก 0
แล้วเราจะไป 1 000/10 000/100 000 หรือ 1 000 000 ได้อย่างไรถ้าจะจับมนุษย์มาเริ่มต้นจาก 0
แทนที่ถ้าโลกมีเครื่องมือถึง 100 แล้วให้เรียนจาก 100 เพื่อไปทำให้ถึง 1 000
เทคโนโลยีมา หาแนวทางให้ปรับตัวอย่างเหมาะสมดีกว่าต่อต้านนะ
มนุษย์จะได้เอาเวลาไปหาไอเดียใหม่ๆแทนที่จะต้องมานั่งจมปลักกับอะไรที่มีอยู่แล้ว
ส่วนตัวผมมองต่างไปจากคนอื่นนิดหน่อยแฮะ
ผมมองว่าสำหรับวัยเด็กหรือวัยรุ่น ควรจะให้เขาได้มีเวลาได้ไปทำอย่างอื่น นอกจากทุ่มไปกับการศึกษาเพียงอย่างเดียวเหมือนบางประเทศที่ทั้งเรียนหนักแล้วยังจะมีการบ้านกับเรียนพิเศษต่ออีก จนแทบไม่มีเวลาไปทำอะไรเลย
เพราะงั้นผมมองว่าการใช้ AI มาช่วยร่นเวลาในส่วนที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายหลักที่อยากให้เด็กเรียนรู้ในวิชานั้นๆเป็นเรื่องที่ดีครับ
เช่น การทำรายงาน แน่นอนว่าทักษะการทำรายงานมันเป็นเรื่องสำคัญ แต่ผมมองว่าเราไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ทักษะนี้ใน "ทุก" วิชา เพราะงั้นสำหรับบางวิชา การใช้ AI ช่วยทำเรื่องพวกนี้และให้เด็กได้ไปโฟกัสกับสิ่งที่ต้องการให้เด็กเรียนรู้สำหรับวิชานั้น น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่า
ก็นะ พูดง่ายแต่มันทำยาก เพราะมันต้องออกแบบหลักสูตรใหม่ เพื่อกำหนดว่าสิ่งใดใช้ AI ได้สิ่งได้ใช้ AI ไม่ได้ ซึ่งมันยากมากโดยเฉพาะในยุคที่ความสามารถ AI มันดีขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็วในตอนนี้
ทุกวันนี้เรายังจำเป็นต้องจุดไฟด้วยการใช้วัสดุมาเสียดสีกันให้เกิดประกายไฟ และนำเชื้อไฟมาต่อเพื่อให้ได้กองไฟ กันมากแค่ไหนคนที่ทำสิ่งนี้ไม่ได้เลยตลอดชีวิต มีเปอร์เซ็นการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่
A.I. ก็แค่เป็นเครื่องมือชนิดใหม่
@ Virusfowl
I'm not a dev. not yet a user.
ดีจะตาย ถ้าเป็นเด็กขี้อาย แล้วขี้สงสัย ไม่ต้องไปถาม ครู รุ่นพี่ ติวเตอร์ เพื่อให้ได้คำตอบลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
ปลดล็อคหลายๆ อย่าง ถ้าสมัยเด็กมีแบบนี้ ตอนนี้คงสอบติดหมอ ไปละ