The Globe and Mail หนังสือพิมพ์รายใหญ่ของประเทศแคนาดา เจาะลึกเบื้องหลังความตกต่ำ ความล่าช้า ความผิดพลาดของ BlackBerry ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา
The Globe and Mail ใช้วิธีสัมภาษณ์ผู้บริหารและอดีตผู้บริหารหลายคน โดยผู้บริหารคนสำคัญที่ให้สัมภาษณ์คือ Mike Lazaridis ผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอร่วมของบริษัท
บทสัมภาษณ์ชุดนี้ชี้ให้เห็นความแตกแยกเชิงโครงสร้างของบริษัทเอง และแนวทางที่ไม่ตรงกันของทั้งอดีตซีโอร่วมสองคนคือ Mike Lazaridis/Jim Balsillie กับซีอีโอคนปัจจุบัน Thorsten Heins
RIM ในอดีต
โครงสร้างบริษัทของ RIM ในอดีตใช้ระบบซีอีโอคู่ Mike Lazaridis กับ Jim Balsillie ซึ่งทำงานเข้าขากันมาก โดยคนแรกดูแลส่วนงานวิศวกรรม (ผลิตมือถือ) และคนหลังดูแลส่วนของธุรกิจ (ขายมือถือ) เมื่อก่อนสนิทกันถึงขนาดรู้รหัสผ่าน voice mail ของกันและกัน และนั่งอยู่ในห้องทำงานเดียวกันด้วย
แต่ในหมู่ผู้บริหารระดับรองๆ ลงไป สายงานของ Lazaridis กับสายงานของ Balsillie กลับทำงานร่วมกันได้ไม่ดีนัก กระบวนการออกผลิตภัณฑ์ล่าช้าเพราะขั้นตอนเยอะ มีปัญหาเลื่อนกำหนดการที่วางแผนไว้บ่อยๆ
ปัญหาแนวทางไม่ตรงกันภายในบริษัทเคยถูกเชื่อมด้วยฝีมือของซีโอโอ Larry Conlee ที่เป็นคนตัดสินใจเรื่องกำหนดเวลา แต่เมื่อเขาเกษียณอายุไปในปี 2009 ก็ไม่มีคนมาเป็นกาวใจตรงนี้อีก และยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่าสองสายงานยิ่งถ่างออกไปเรื่อยๆ
ซีอีโอคู่และ BBM
ยุทธศาสตร์ซีอีโอคู่ใช้งานได้ดีมาตลอด แต่เมื่อบริษัทเริ่มเกิดปัญหาด้านการแข่งขัน ซีอีโอทั้งสองคนก็เกิดรอยร้าว โดย Jim Balsillie มองว่าโมเดลธุรกิจการทำกำไรจากมือถือราคาแพงเริ่มใช้ไม่ได้ผล เพราะการเกิดขึ้นของ Android ทำให้มือถือเป็นสินค้าทั่วไปที่ใครๆ ก็ผลิตได้ เขาจึงเริ่มมองหาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ และมาลงเอยด้วยการผลักดันให้ BBM ใช้กับระบบปฏิบัติการอื่นได้ และเจรจากับโอเปอเรเตอร์หลายๆ รายให้เสนอ BBM กับลูกค้าแทนการส่ง SMS
Jim Balsillie เรียกแผนการนี้ว่า SMS 2.0 และได้รับความสนใจจากโอเปอเรเตอร์บางราย แต่ภายในบริษัทเองกลับถูกสกัดกั้นโดยฝ่ายที่มองว่าการเปิด BBM ให้ระบบปฏิบัติการอื่นจะสูญเสียจุดขายของมือถือ BlackBerry ไป โดย Lazaridis ให้การสนับสนุนแนวทางเปิด BBM แต่ไม่เห็นด้วยกับแผนการใช้แทน SMS
แผนการนี้ยังไม่ทันสำเร็จดีเมื่อ Lazaridis/Balsillie ลงจากตำแหน่งซีอีโอ และเมื่อเปลี่ยนตัวซีอีโอมาเป็น Heins เขาก็พับแผนนี้ทิ้งทันที โดยเขาอธิบายว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของบริษัทในตอนนั้นคือออก BB10 ให้เร็วที่สุด บริษัทต้องโฟกัส และยกเลิกสิ่งที่ไม่สำคัญอื่นๆ ทั้งหมด
Balsillie ลาออกจากตำแหน่งบอร์ดบริหารหลังจากนั้นไม่นาน ขายหุ้นทั้งหมดของบริษัททิ้ง และไม่เคยให้สัมภาษณ์ใดๆ อีกเลย จนมาให้สัมภาษณ์สั้นๆ กับบทความนี้ว่าเขาลาออกด้วยเหตุผลนี้จริงๆ
iPhone
Lazaridis เห็นแอปเปิลเปิดตัว iPhone เมื่อปี 2007 และยอมรับว่ายังไม่เข้าใจแนวทางของผลิตภัณฑ์มากนัก เขาจึงลองเล่นดู และพบว่ามันไม่ใช่โทรศัพท์แต่มันคือเครื่องแมคในร่างโทรศัพท์
Lazaridis พบว่าระบบปฏิบัติการของ iPhone กินพื้นที่ในหน่วยความจำไปถึง 700MB ในขณะที่ BlackBerry OS ใช้เพียง 32MB เท่านั้น แถม iPhone ยังมาพร้อมกับเบราว์เซอร์ตัวเต็ม ที่จะส่งผลกระทบต่อทราฟฟิกเครือข่ายของโอเปอเรเตอร์อย่างมาก ซึ่งเขาก็สงสัยว่า AT&T ในฐานะคู่ค้าของแอปเปิลช่วงแรกยอมให้เกิดขึ้นได้อย่างไร (ซึ่งเครือข่ายของ AT&T ก็เกิดปัญหาจริงๆ ในภายหลัง)
ในฉากหน้า ซีอีโอคู่ของ BlackBerry วิจารณ์ iPhone ว่ามีปัญหาหลายอย่าง เช่น ระบบอีเมลแย่ แบตเตอรี่หมดเร็ว ความปลอดภัยต่ำ แต่เบื้องหลังเมื่อคุยกันในบริษัท เขาเรียกประชุมพนักงานว่าคู่แข่งของเราไม่ใช่โนเกียอีกต่อไปแล้ว แต่เรากำลังจะแข่งขันกับเครื่องแมคต่างหาก
BlackBerry Storm
หลังจาก AT&T เปิดตัว iPhone ไม่นาน ทางค่าย Verizon ที่เป็นคู่แข่งของ AT&T ที่ไม่ได้ขาย iPhone (ในตอนนั้น) ก็มาคุยกับ BlackBerry ขอให้สร้างผลิตภัณฑ์มาต่อกรกับ iPhone ผลออกมาเป็น BlackBerry Storm มือถือจอสัมผัสตัวแรกของบริษัท
แต่กระบวนการพัฒนา BlackBerry Storm เต็มไปด้วยปัญหา เพราะเป็นการหยิบเทคโนโลยีหลายๆ ชิ้นมาต่อกันโดยไม่ประสานกันเป็นเนื้อเดียว ทำให้ BlackBerry Storm ออกช้ากว่ากำหนด และเสียงตอบรับแย่ แต่ตอนนั้น RIM ยังอยู่ในช่วงขาขึ้นจากการที่ตลาดสมาร์ทโฟนขยายตัว ทำให้ความล้มเหลวของ Storm ไม่กระทบกับบริษัทมากนัก
ฝั่งของ Verizon เมื่อล้มเหลวกับ RIM จึงหันไปคบกับ Android แทน และประสบความสำเร็จอย่างมากกับ Verizon Droid ตัวแรกที่ผลิตโดยโมโตโรลา ช่วยให้กระแส Android เริ่มติดตลาดในสหรัฐด้วย
QNX
ความล้มเหลวของ Storm ทำให้ Lazaridis รับรู้ว่าระบบปฏิบัติการ BlackBerry OS เริ่มไปไม่รอด เพราะแกนหลักของระบบปฏิบัติการนั้นเก่ามาก ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ แถมการพัฒนาแอพด้วย Java แบบเดิมก็ยุ่งยาก
เขาจึงตัดสินใจซื้อกิจการ QNX มาเป็นจิ๊กซอสำคัญสำหรับ BB10 โดยตั้งเป็นหน่วยพิเศษไม่ต้องยุ่งกับใคร กำหนดโจทย์ให้พัฒนาระบบปฏิบัติการตัวใหม่ (ซึ่งในตอนนั้นคือ PlayBook เพียงอย่างเดียว)
แม้ว่าแกนของ QNX จะทำงานได้ดี แต่ยุทธศาสตร์การแยกพัฒนา BB7 กับ QNX กลับสร้างปัญหาแย่งทรัพยากรภายในบริษัท แถมการที่ QNX เป็นระบบใหม่ทั้งหมดทำให้วิศวกรที่คุ้นกับ BB7 ต้องใช้เวลาเรียนรู้มันอีกพักใหญ่ๆ ผลคือ PlayBook วางตลาดช้าเกินไปครึ่งปี และไม่มีฟีเจอร์สำคัญๆ อย่างอีเมลและตารางนัดหมายเพราะพัฒนาไม่ทัน
การเลือกใช้ QNX ยังส่งผลให้พนักงานของฝ่าย BB7 เดิมไม่มั่นใจในอนาคตของตัวเอง เพราะงานสำคัญถูกมอบหมายให้ฝ่าย QNX แทน จึงลาออกจากบริษัทไปจำนวนหนึ่ง
ความล้มเหลวของ PlayBook และความล่าช้าของ BB10 ทำให้ซีอีโอร่วมทั้งสองคนต้องลาออกช่วงต้นปี 2012 แต่ในแง่ดีก็คือเป็นการกระตุ้นให้ทั้งบริษัทรู้สึกว่าต้องปรับตัวแล้ว
BlackBerry Z10
ถึงแม้ว่า BlackBerry ได้แก้เกมโดยเปลี่ยนตัวซีอีโอเป็น Thorsten Heins และเปลี่ยนตัวผู้บริหารระดับสูงเป็นทีมงานของ Heins อีกหลายคน แต่บริษัทก็ยังมีปัญหา
ช่วงปลายปี 2012 เมื่อระบบปฏิบัติการ BB10 ใกล้เสร็จสมบูรณ์ ซีอีโอ Heins นำมือถือ BlackBerry Z10 ที่จะเปิดตัวช่วงต้นปี 2013 มาให้บอร์ดบริหารรับทราบ ปรากฎว่า Lazaridis (ลาออกจากซีอีโอไปแล้วแต่ยังเป็นบอร์ด) ไม่พอใจที่ Z10 ไม่มีคีย์บอร์ดอันเป็นเอกลักษณ์ของบริษัท และเปลี่ยนมาใช้หน้าจอสัมผัสทั้งหมดแทน
Lazaridis บอกว่าจุดเด่นของ BlackBerry คือคีย์บอร์ด และการลงไปต่อสู้ในตลาดมือถือจอสัมผัสไร้คีย์บอร์ดที่มีคู่แข่งจำนวนมากเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของ Heins
ฝั่งของ Heins ยังยืนยันว่าแนวทางของเขาที่มุ่งสู่มือถือจอสัมผัสนั้นถูกต้องแล้ว ซึ่งปัญหานี้สร้างรอยร้าวระหว่างขั้วอำนาจเก่าของ Lazaridis และขั้วอำนาจใหม่ของ Heins (บอร์ดเองก็มีความเห็นแยกเป็นสองฝั่ง)
การเปิดตัว Z10 สร้างกระแสความสนใจจากสื่อได้อย่างที่หวัง แต่เมื่อขายจริงกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด แถมโฆษณาชุด Keep Moving ที่ลงทุนซื้อเวลาโฆษณาช่วงการแข่งขันซูเปอร์โบล์ว ก็ดูไม่รู้เรื่องและไม่น่าจดจำ
BB10 ยังมีปัญหาเรื่องแนวคิด UI ที่ซับซ้อนและเดโมให้ลูกค้าดูที่หน้าร้านได้ยาก แถมฟีเจอร์เดิมๆ ของ BB7 ก็หายไปทำให้แฟนเก่าไม่คิดจะซื้อเครื่องใหม่ที่เป็น BB10
อย่างไรก็ตาม Lazaridis ยังไม่ยอมแพ้ และมีข่าวว่า เขาพยายามหาเงินมาซื้อหุ้นคืน เขายังไม่บอกรายละเอียดใดๆ ในตอนนี้ แต่บอกเพียงแค่ว่าอินเทล ไอบีเอ็ม แอปเปิล ต่างเคยมีช่วงตกต่ำและกลับมาได้อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งเขาต้องการทำแบบเดียวกันกับ BlackBerry ด้วย
ที่มา - The Globe and Mail
Comments
เป็นหนึ่งในบริษัทที่โดน iPhone Effect เข้าเต็มๆ โดยเฉพาะตลาดที่เน้นมาตลอดอย่างอเมริกา ดูแล้วอาการหนักกว่า Nokia อีกนะเนี่ย
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
ถ้าโนเกียไม่พลิกมาจับ Windows Phone ผมว่าคงร่วงไปราวๆ นี้แหละครับ ดีไม่ดีเงินสดหมดก่อน BlackBerry อีกมั้ง
แต่อย่างน้อย โนเกียก็ยังทำมือถือที่เป็นโนเกีย (อย่าง Asha) ได้ดี แต่ BB กลับทำมือถือที่เป็น BB (ที่เป็นคีย์บอร์ดเต็มๆ) ไม่ได้ดีเหมือนเคย
ผมไม่เห็นด้วยนะครับ ทั้งเรื่องมือถือและเรื่องที่คุณไปว่าเค้าเป็นม้า เพราะเท่าที่อ่านข่าวมา บอร์ดโนเกีย อยากจะขายอยู่แล้ว
เล่าสู่กันฟังผมมาเล่น Nokia WP ไม่ใช่เพราะกล้องเลยครับ แต่เป็นเพราะความเอาจริงของ Nokia ที่กล้าจัดเต็มทุกๆ อย่างยัดลงมาในมือถือของตัวเอง เช่น exclusive app, here ต่างๆ, กล้อง, ,อัพเดทของตัวเองที่ไวกว่าชาวบ้าน
สมมุติว่าถึง Nokia จะไม่เน้นกล้องสำหรับ WP มันก็ยังมีอย่างอื่นที่เยอะกว่าคู่แข่งอยู่ดี ไม่เหมือน Samsung ที่ทำ WP แบบขอไปที หรือ HTC ที่ผมเคยบูชามากๆ ตั้งแต่ยังอยู่เบื้องหลังเป็น OEM มาตั้งแต่สมัย WM2003SE ทำมาดีจนถึง WP7 แต่ก็ตีตีวออกห่างไปในช่วง WP8 แล้วก็เจอ Samsung เสยกลิ้งเละเทะมาจนถึงตอนนี้(ยอมรับว่าอกหักมาก เพราะผมแฟนบอย HTC มาตั้งแต่ iPhone กับ Android ยังไม่เกิด)
แต่ผมว่าโนเกียถ้ากล้องไม่ดี ยอดตกลงเกินครึ่งครับ
ถ้าไม่พูดถึง pureview นะครับ
กล้องของโนเกียก็ดีอยู่แล้วนะครับผมว่า
ถ้าโนเกียทำแอนดรอยด์แต่แรก Elop ก็คงไม่โดนเรียกเข้ามากู้สถานการณ์หรอกครับ
พอดีมันมีความเป็นจริงที่ว่ากว่า Elop จะมา โนเกียก็ไม่มีเงินจะไปทำแอนดรอยด์ให้ออกมาดีได้แล้ว แต่มีวิศวกร Windows Phone มาช่วยทำครับ
สภาพแย่กว่าที่คิดแฮะ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
เป็นมือถือที่ผมไม่เคยคิดจะซื้อ แต่ก็อยากให้กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
ระหว่างสอง
น่าจะทำทัชสรีนแบบมาพร้อม Type Cover ไปเลยนะ
เห็นด้วยที่มา BB ควรมี QWERTY แต่ก็ควรมีรุ่นที่ไม่มีด้วย เพราะยังไงซะคนที่รอ BB ก็เพราะอยากได้มือถือที่เหมือนในตลาดแต่มี QWERTY เจ๋งๆ มาให้ด้วย อีกอย่ง UX ใช้ยากไปนะครับ BB10
Storm T_T คิดถึง sure presser
จำได้โดนลอยแพแบบเจ็บช้ำ rom ไม่พอ แต่ก็ยังรักในขนาด ที่จับพอดีมือ
มือถือที่กล้องเทพที่สุด ยังไงก็สู Dslr ราคา 16000 ไม่ได้ครับ เหตุผลด้านกายภาพล้วนๆ
อย่าเอาประเด็นกล้องตัดสิน เพราะมือถือราคาเกิน 10000 ผมว่าดูในจอกระจ้อยร่อยแบบนี้ชัดเกือบทุกรูปครับ
แต่คนส่วนใหญ่อยากพกแค่ iPhone เครื่องเดียวนะคับ
ในโลกนี้มีคนที่ไม่เคยจับกล้อง dslr อยู่เยอะนะครับ เค้าไม่รู้หรอกว่าคุณภาพของกล้อง dslr ดีกว่ากล้อง compact หรือมือถือมากแค่ไหน เพราะฉะนั้นถ้าได้ยินคำโฆษณาว่ากล้องเทพบางคนก็คิดไปแล้วว่าภาพที่ได้ต้องยอดเยี่ยมมาก ๆ คนใกล้ตัวผมกำลังจะซื้อมือถือเครื่องใหม่เค้าก็ถามผมก่อนเลยว่ารุ่นไหนกล้องชัดบ้าง
ผมว่าปัจจัยหลักในการซื้อมือถือของคนทั่วไป(ที่ไม่ใช่ geek) คือ 1. ยี่ห้อ 2.ขนาดจอ 3.กล้อง นะครับ
แบก DSLR ตลอดเวลา ก็ไม่ไหวนะครับ
DSLR ยัดกระเป๋ากางเกงไม่ได้นะครับโอเคมันไม่ได้ดีเลยเมื่อเทียบกับ DSLR
แต่อย่าลืมว่ามันดีที่สุดที่สามารถพกพาได้แบบง่ายๆนะครับ การมองเราไม่ควรมองแค่แง่เดียวนะครับ
แถมยังดีตรงที่สามารถอัพโหลดและตกแต่งได้ทันที ซึ่งกับลูกค้าที่"ติด"Social Network แล้วนับว่าเยี่ยมครับ
DSLR ผมก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนเหมือนกัน
ผมเป็นเจ้าของ DSLR ตัวแรกเมื่อ 9 ปีที่แล้ว (ก่อนหน้านั้นก็ใช้ SLR แบบ film อยู่แล้ว) สมัยนั้นยังแพงอยู่ แต่คุณภาพดีสมใจ ถือแล้วเท่สมใจ
ผมแบกมันไปเที่ยว ไปถ่ายรูปทำงาน ไปถ่ายรับปริญญาให้เพื่อน ทำนั่นทำนี่ แต่ใช้ๆ ไปก็พบว่ามันไม่สนุกเลยที่จะแบกกล้องพร้อมกระเป๋าใบโตๆ ไปนั่นไปนี่ เรื่องน้ำหนัก การดูแลรักษา การจะหยิบจับมาใช้ การเป็นที่เพ่งเล็งตามสถานที่ต่างๆ (ในสมัยนั้น ไม่รู้ตอนนี้ยังเป็นหรือเปล่า) 2 ปีให้หลังมานี้ ผมเลยเลิกแบก DSLR ถาวร พอกันที ทั้งหนักทั้งใหญ่ ดูแลยาก โดยเฉพาะตอนเที่ยว ยิ่งไปต่างประเทศนี่เบื่อจะดูแลมาก
ตอนนั้นตัดสินใจถอยกล้องคอมแพคดีๆ มาใช้แทน แล้วพบว่าถึงจะพกง่าย แต่คุณภาพมันยังแย่อยู่ดี ไม่ใสเคลียร์แบบ DSLR ซึ่งอันนี้ตัวแปรมันอยู่ที่ขนาดเซ็นเซอร์แล้ว ทำไงก็ไม่มีทางดีไปกว่านี้ (สมัยนั้นยังไม่มี RX100 ที่คุณภาพดีเพราะยัดเซ็นเซอร์ 1 นิ้วเข้าไปเลย)
แล้วโลกก็มีทางออก คือ Mirrorless ซึ่งคุณภาพไม่ต่างจาก DSLR เลยแต่เล็กและเบากว่ามาก (ก็ขนาดเซนเซอร์เท่ากัน) ถึง Viewfinder จะหายไป แต่ถ้ามี EVF มันก็พอแทนกันได้และคุ้มกับน้ำหนักที่ลดลงเยอะ ถึงมันจะถือไม่เท่ แต่ถ้าคนที่ซื้อกล้องมาเพื่อ "ถ่ายรูป" จริงๆ แค่นี้มันก็ตอบโจทย์ได้หมดแล้ว
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้จะมีกระแสใช้ DSLR แล้วดูเท่ ใช้แล้วดูเป็นโปรหรือเปล่า โดยเฉพาะผู้หญิงเดี๋ยวนี้ใช้ DSLR กันเยอะมาก (เดี๋ยวก็รู้สึก) แต่สำหรับผมพอกันที ไม่ทนใช้ DSLR แล้วครับ หนักเกินไป ใหญ่เกินไป ผมซาบซึ้งแล้ว
อีกเหตุผลหนึ่งที่ผมยังจะใช้ DSLR ต่อไปอีกอย่างน้อยๆ 2-3 ปีก็เพราะเรื่องความถึกด้วยครับ เท่าที่เห็นตอนนี้กล้องตัวเล็กๆ ยังดูไม่เข้าตาเท่าไหร่ แต่จากการมาของ Nikon 1 AW1 ก็เริ่มทำให้พอมีหวังมากขึ้น ส่วนถ้าไปเที่ยวแบบชิลๆ ผมก็เห็นด้วยครับว่ากล้องเล็กๆ เบาๆ นั้นตอบสนองดีกว่ามาก
จริงครับ รู้สึกผู้หญิงถือกันเยอะเหมือนกัน (ผมยังไม่อยากจะแบกเลย - -" แข็งแรงกันจังนะ)
ส่วนใช้แล้วดูเท่หรือเป็นโปรรึเปล่าไม่แน่ใจครับ แต่เพื่อนผมถือ NEX ไปก็ชอบกลับมาบ่นว่าเวลาถ่ายเป้าหมายจะมองแต่พวก DSLR ประมาณว่า รุ่นสูงหรือต่ำไม่สน ดูไม่ออก ขอให้หน้าตาเป็น DSLR ก็พอ
อยากรู้ทางออกหรือครับ ขายดีไซด์ แล้วข้างในเป็นแอนดรอยด์ อ้อ จับมือกับ cyanogen ด้วยนะน่าจะรอด
ปัญหาการเมืองภายในองค์กรนี่มันคือปัจจัยหลักที่เป็นตัวฉุดบริษัทให้ตกต่ำในเกือบทุกๆ องค์กรจริงๆ
อะไรที่ขับเคลื่อนด้วย "คน" ก็มีโอกาสเป็นแบบนี้ได้หมดแหละครับ
เพราะคีบอร์ดมัน hide ไม่ได้นี่แหละ
ใช้สองนิ้วลากคีย์บอร์ดลงมาเลยครับ,, หรืออีกวิธีกด space bar ค้างไว้
Z10 นี่ผมไปลองเล่นครั้งแรกถึงกับไปไม่เป็นเลยครับ เข้าใจยากพอสมควร แค่จะกลับหน้าโฮมก็ไม่รู้ว่าทำไง ฮ่าๆๆ
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
เหมือน ไปจับแล้วรู้สึกโงโงยังไงไม่รุ
บูชา เอาใจช่วยตลอด
ตอนผมซื้อ PlayBook มาใหม่ๆ แอพไม่มี โปรแกรมพื้นฐานไม่ครบ ผมก็รอเป็นชาติจนมันครบเมื่อ OS 2.0 สัญญาจะอัพ BB10 แน่นอน ผมก็รออีกชาตินึง ท้ายสุดบอกไม่อัพแล้ว ตอนนั้นแหละ ศรัทธาหายหมดเกลี้ยง เจ๊งก็สมควรแล้ว
เท่าที่อ่านบทความนี้ ผมมีความรู้สึกว่า CEO คนเก่า สร้างข้อจำกัดให้ตัวเองแท้ๆ แทนที่จะมองความต้องการของผู้ใช้เป็นหลัก ดันไปจำกัดว่าทำอย่างนี้อย่างนั้นไม่ได้ มีจะมีผลกระทบนู้นนี่นั้น ต้องตามแบบ BB เท่านั้นถึงจะดีที่สุด อารมณ์ว่าเทคโนโลยีสมาร์ทโฟน แค่แชทกับอีเมล์ก็สุดยอดแล้ว ไม่ต้องใช้บราวเซอร์ ดูวีดีโอ หรือทำอย่างอื่นให้มันเปลืองแบนวิธหรอก ดันคิดแทนผู้ใช้ซะงั้น ติดกับดับความคิดตัวเอง หลงอยู่กับความสำเร็จเดิมๆ
อย่างว่านะ เขาอายุเยอะแล้ว เปิดโอกาสให้คนใหม่ๆมาทำแทนดีแล้ว แต่โชคร้ายที่มันอาจจะสายเกินไป หรืออีกนัยหนึ่ง CEO คนใหม่ยังไม่เก่งพอที่พลิกกลับมาเป็นผู้ชนะได้ โจทย์นี้มันยากจริงๆนั้นแหละ
ผมคนนึงล่ะ ที่ใช้ BB มานานมาก แต่ถ้าเผื่อ BB ไม่มี physical keyboard เมื่อไหร่ล่ะก็ โบกมืออำลากันได้เลยครับ