จากที่เราทราบกันดีว่า Mark Zuckerberg กำลังจะได้ลูกสาว วันนี้ลูกสาวคลอดแล้ว ใช้ชื่อว่า Max
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น ในฐานะที่มีลูก เขาประกาศยกหุ้น Facebook สัดส่วน 99% ที่ถือครองอยู่ (มูลค่าประมาณ 45 พันล้านดอลลาร์) ให้กับ Chan Zuckerberg Initiative หน่วยงานการกุศลของเขาและภรรยา โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถของมนุษย์ และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมโลกที่ลูกสาวของเขาจะเติบโตขึ้นมา
สิ่งที่ Mark และภรรยา Priscilla สนใจเป็นเรื่องการศึกษาโดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลาง ตอนนี้เขาและภรรยากำลังทดลองการเรียนการสอนรูปแบบใหม่อยู่ ส่วนรายละเอียดของโครงการจะประกาศเพิ่มเติมในอนาคตเมื่อชีวิตครอบครัวเริ่มลงตัวแล้ว
Mark บอกว่าเขาจะยังเป็นซีอีโอของ Facebook ต่อไปอีกนาน แต่ประเด็นเหล่านี้สำคัญเกินกว่าจะรอให้ลูกโตแล้วค่อยทำได้
ที่มา - Mark Zuckerberg
Comments
ยินดีด้วยครับ
ยินดีด้วยสุดยอดมากเลยครับ ยกหุ้น 99% เลย
สุดยอดคุณพ่อชั้นหนึ่ง
โอ้ว ได้ลูกสาวทีนี่ จิตใจเปลี่ยนทันที
ชอบพวกคนมีเงินของฝรั่งหลายๆ คนจังพอหาเงินได้แล้ว ก็อยากเปลี่ยนโลกนะ
บางคนก็บริจาคเงิน ตั้งมูลนิธี
บางคนก็วิจัย พลังงาน
บางคนก็เอาตัวเองเป็นสื่อช่วบเหลืออย่างพวกดาราดังๆ
บางคนก็ใส่ชุดหนังตอนดึกๆ ออกปราบเหล่าร้าย
บางคนก็ใส่ชุดเกราะบินไปบินมา ...
เดี๊ยวๆๆๆ สองอันหลังนี่แปลกๆและ
เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆ
ชอบจัง คุณเวย์น กับ สตาร์ค เนี่ยะ แต่ทั้งคู่ไม่ได้มีลูกนิครับ
Wayne มีลูกกับ Talia Al Ghul ครับ
สองข้อสุดท้ายนี้มัน....
มันอะไรครับโหน่ง
เด๋วๆๆนะ
คนจนอย่างเราคงจะได้ถ่ายภาพแมงมุม แล้วไปขายที่บ.หนังสือพิมพ์สินะ
ยินดีด้วยครับ ส่วนตัวสนับสนุนให้มาร์คมีลูกซัก 4 คนไปเลย ขอให้มีคนต่อไปตามมาเร็วๆ ^^
เชื่อว่าเด็กเหล่านี้จะเติบโตตามรอยคุณพ่อคุณแม่ขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
..: เรื่อยไป
ไปดูตาม Link
เห็นชื่อคน Comment กับคน กด Like แต่ละคนแล้วขนลุก จะเป็นลม
ตัวจริง ทั้งนั้นไม่ใช่แค่เน็ต Idol
ขอบคุณ Mark ที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักธุรกิจรุ่นใหม่.! ผมเองก็ตั้งใจทำแบบนี้เหมือนกันนะ
Pawoot.com
"หน่วยงานการกุศลของเขาและภรรยา"สุดยอดตั้งหน่วยงานการกุศลเองบริหารกองเงินเอง เมื่อตัวเองตายก็ให้ลูกสาวรับช่วงบริหารกองเงินต่อแบบเนียลๆโดยไม่ต้องเสียภาษีมรดกอันสุดโหด เพราะถ้าเป็นการรับมรดกโดยการรับหุ้นจากหุ้นFB โดยตรงคงโดนภาษีไปเกือบครึ่งของมูลค่าหุ้นทั้งหมด วางแผนภาษีมรดกให้กับลูกร่วงหน้าตั้งแต่เกิดเลยแฮะรอบคอบจริงๆ ได้ทั้งหน้าและภาษีมรดกลูกสาวก็ไม่ต้องเสีย ขอยกให้เป็นคุณพ่อแห่งปี
คุณเข้าใจถูกครับว่า การจัดตั้งหน่วยงานการกุศล สามารถป้องกันการเสียภาษีได้วิธีนึง
แต่ถ้าเจตนาคือจะวางแผนภาษีแล้วนั้น มันมีอีกหลายวิธีครับ โดยวิธีที่นิยมกันสำหรับมหาเศรษฐีคือการจัดตั้ง ทรัสต์ ครับ ไม่ใช่การจัดตั้งหน่วยงานการกุศล
ลองศึกษาดูดีๆนะครับ อย่าให้อคติบางอย่างไปกดคนที่พยายามทำดีเลยครับ
อ่อ การที่คนเรามีความตั้งใจที่จะทำความดี ไม่จำเป็นจะต้องทิ้งทุกอย่างที่เค้ามีให้เหลือ 0 เพื่อพิสูจน์ว่าเค้าอยากจะทำดีนะครับ
ความตั้งใจของผมคืออยากเห็นโลกน่าอยู่ขึ้นครับ ไม่ได้ตั้งใจมาขัดใจใคร ถ้าทำอะไรให้ไม่พอใจ ขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ
แบบนี้นี่เอง ของ M$ ก็แบบนี้ด้วยหรือเปล่าครับ
คุณรู้ได้อย่าไรครับว่า mark คิดแบบนั้นผมอ่านดูเขาก็บอกเจตนาอยู่แล้วหนิครับ ว่าลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
ไม่ใช่รอบคอบครับ แต่ใจกว้างและใจบุญอย่างมากเลยต่างหาก คิดคร่าวๆนะครับ 99% = 45B แปลว่าเหลือไว้ใช้ประมาณ 450M หลุดจากสถานะ Billionaire ได้เลย หรือหากจะเสียภาษี คิดจากเงินครึ่งนึงของ 45B ก็ยังเหลือเกือบแปดแสนล้านบาทที่ใช้ได้ในนามส่วนตัว ใช้ "อะไรก็ได้" ไม่ต้องไปพึ่งงานมูลนิธิให้ยุ่งยาก แปดแสนล้านบาทในนามส่วนตัว กับ 1.6ล้านล้านบาทในนามมูลนิธิมันต่างกันเยอะมากนะครับ...
สมมติลูกสาวอยากได้โบอิ้ง 777 ซักลำนี่คิดหนักเลย ปกติ $260M หากมีเงินแค่ $450M ก็คงคิดนัก แต่กลับกันหากมี $22,500M ก็ไม่ต้องคิดมาก...
+1
อธิบายได้ดีครับ
ที่เข้ามาตอบผมเนี่ยมีใครจบกฎหมายภาษีกันไหมครับ ผมตอบในฐานะจบกฎหมายภาษีมาโดยตรง ไม่ก็อ่านนี่ก็ได้ครับ
เศรษฐีเมืองนอกใจบุญมากกว่าเศรษฐีไทยหรือไม่?จากข่าวการประกาศของวอร์เรน บัฟเฟตต์ อภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลกวัย 75 ปี ที่มีแผนจะบริจาคเงินร้อยละ 85 จากที่มีอยู่ทั้งหมด 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่องค์กรการกุศล ซึ่งเงินบริจาคส่วนใหญ่จะตกไปเป็นของมูลนิธิบิลและเมลินดา เกตส์ (Bill amp; Melinda Gates Foundation) มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ที่เป็นเพื่อนสนิทของบัฟเฟตต์ เพื่อใช้ในการสนับสนุนการค้นคว้าทางการแพทย์และการให้ทุนการศึกษา
ข่าวดังกล่าวไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใด เพราะเราคงจะเคยได้ยินอยู่เสมอว่ามหาเศรษฐีหลายคนในต่างประเทศที่บริจาคเงินเป็นจำนวนมากแก่องค์กรการกุศล แต่เมื่อหันมาเปรียบเทียบกับเศรษฐีของเมืองไทย เราอาจจะเกิดคำถามขึ้นว่า ldquo;เศรษฐีเมืองนอกใจบุญกว่าเศรษฐีไทยหรือ?rdquo;
ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความใจบุญของมหาเศรษฐีต่างประเทศ หรือความรวยเหลือเฟือจนสามารถบริจาคได้เป็นจำนวนมากโดยไม่นึกเสียดาย แต่เป็นเพราะมาตรการทางภาษีที่เป็นกลไกในการบังคับและจูงใจให้เศรษฐีในประเทศสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องบริจาคเงินแก่องค์กรการกุศล
มาตรการทางภาษีที่กล่าวถึงในที่นี้คือ ldquo;ภาษีมรดกrdquo; ซึ่งภาษีมรดกในสหรัฐอเมริกาเป็นภาษีกองมรดก (estate tax) และภาษีการรับมรดก (inheritance tax) ที่มีการจัดเก็บทั้งในระดับรัฐบาลกลางและรัฐบาลของแต่ละมลรัฐ
ภาษีมรดกในระดับรัฐบาลกลางของสหรัฐนั้นเป็นภาษีกองมรดก ที่จัดเก็บจากการโอนทรัพย์สินที่เก็บภาษีได้ (taxable estate) จากผู้ตายซึ่งเป็นพลเมืองหรือผู้ที่อยู่อาศัยในสหรัฐอเมริกาไปยังทายาทผู้รับมรดก โดยอัตราการจัดเก็บภาษีนั้นจะคำนวณจากผลประโยชน์ของทรัพย์สิน ณ เวลาที่เจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตลง ทั้งนี้ในปี 2549 กองมรดกที่ต้องเสียภาษีจะต้องมีมูลค่าสูงกว่า 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตราการจัดเก็บภาษีสูงสุดที่ร้อยละ 46 ของมูลค่าผลประโยชน์ของทรัพย์สินทั้งหมด ณ เวลาที่เสียชีวิตลง
ภาษีมรดกในระดับมลรัฐของสหรัฐนั้นเป็นภาษีกองมรดกและ/หรือภาษีการรับมรดก โดยบางรัฐใช้มาตรการภาษีกองมรดกเช่นเดียวกับรัฐบาลกลาง กล่าวคือหากรัฐบาลกลางมีเงื่อนไขในการยกเว้นภาษีอย่างไร รัฐบาลท้องถิ่นจะใช้เงื่อนไขดังกล่าวด้วย ขณะที่บางรัฐใช้กฎหมายภาษีกองมรดกที่เป็นอิสระจากรัฐบาลกลาง ส่วนภาษีการรับมรดกเป็นการอุดช่องว่างการหลบเลี่ยงภาษีกองมรดกโดยจัดเก็บจากผู้รับมรดก
อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินบางประเภทจะได้รับข้อยกเว้นโดยไม่ถูกนำมาคำนวณอัตราภาษี ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ สิทธิเรียกร้องจากทรัพย์สิน สินสมรสที่ถือครองโดยคู่สมรสที่ยังมีชีวิตอยู่ และประการสำคัญคือทรัพย์สินที่บริจาคให้มูลนิธิเพื่อการกุศล
ข้อยกเว้นดังกล่าวนับเป็นเงื่อนไขที่จูงใจแกมบังคับให้มหาเศรษฐีในสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องบริจาคเงินจำนวนมากให้กับมูลนิธิต่าง ๆ เนื่องจากมหาเศรษฐีเหล่านี้ไม่ต้องการที่จะเสียทรัพย์สินจำนวนมาก (เกือบครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินทั้งหมด) ที่ตนหามาได้จากการทำงานมาตลอดชีวิตในรูปของภาษีทั้งหมด
เหตุผลส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเศรษฐีเหล่านี้ได้จ่ายภาษีในอัตราสูงมาตลอดชีวิตอยู่แล้ว และอาจคิดว่าไม่สามารถควบคุมได้ว่ารัฐบาลจะนำเงินภาษีไปทำอะไรและเป็นการใช้เงินที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ แต่หากนำเงินไปบริจาคให้แก่มูลนิธิที่ตนเองเห็นว่าทำประโยชน์จริง ๆ น่าจะเป็นการใช้เงินจ่ายที่ตรงความต้องการมากกว่า
แต่เหตุผลที่สำคัญมากกว่าคือ เงินบริจาคส่วนใหญ่มักจะมอบให้แก่องค์กรการกุศลที่ผู้บริจาคสามารถควบคุมได้ หรือเป็นมูลนิธิที่ทำกิจกรรมการกุศลที่สร้างภาพลักษณ์ให้แก่องค์กรธุรกิจที่ผู้บริจาคเป็นเจ้าของหรือหุ้นส่วน เงินบริจาคดังกล่าวจึงเป็นเสมือนเงินลงทุนในการประชาสัมพันธ์องค์กรธุรกิจ ซึ่งผู้บริจาคจะได้ประโยชน์มากกว่านำไปเสียภาษีมรดก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่สังคมเรียกร้องให้องค์กรธุรกิจจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) งบประมาณสำหรับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมจึงเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับองค์กรธุรกิจสมัยใหม่ ภาษีมรดกจึงเป็นมาตรการที่บังคับทางอ้อมให้องค์กรธุรกิจจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือสังคมมากขึ้นด้วย
แม้ว่าผู้ที่คัดค้านภาษีมรดกมักจะอ้างว่า ภาษีมรดกจะไม่ได้ทำให้รัฐบาลมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอย่างเป็นกอบเป็นกำ แต่ภาษีมรดกที่จัดเก็บในอัตราที่เหมาะสมและมีเงื่อนไขการจัดเก็บที่เหมาะสม อาจจะช่วยให้เกิดสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ (win-win situation) กล่าวคือรัฐบาลได้ภาษีเพิ่มขึ้นบ้าง สังคมได้รับการช่วยเหลือ และธุรกิจได้ประโยชน์จากการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กร
มหาเศรษฐีเมืองนอกจึงไม่ได้ใจบุญมากกว่ามหาเศรษฐีเมืองไทย เพียงแต่โครงสร้างภาษีในต่างประเทศจูงใจให้เศรษฐีฝรั่งต้องบริจาคเงิน ขณะที่โครงสร้างภาษีในประเทศไทยยังขาดความเป็นธรรม ทำให้เศรษฐีเมืองไทยส่วนใหญ่ดูเหมือนตระหนี่ถี่เหนียว
Credit http://www.kriengsak.com/node/659
เท่าที่ดูคือเป็น Win - Win - Win สินะครับ
ผมว่าก็ดีนะ รัฐปรกติก็ได้ภาษีมาบริหารประเทศ เศรษฐีก็ลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายให้รัฐได้ แถมองค์กรการกุศลก็มีทุนเข้าช่วยเหลือประเทศที่ขาดแคลนด้วย
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ หลายทีคนไม่รู้ก็เยอะ
หมายความว่ากฎหมายภาษีมรดกของบ้านเราเมื่อเร็วๆ นี้ก็จะมีผลลักษณะเดียวกันใช่มั้ยครับ
งั้นต่อไปในไทยจะมีมูลนิธิผุดขึ้นเท่ากับจำนวนเศรษฐีเลยสินะ
เหมือนทำ CSR ไปในตัวนี่เอง แต่ลูกสาวเข้าจะมีสิทธนำเงินมาใช้ตามอำเภอใจเหรอ ?หรือว่าเงินที่เหลือ 1% กับทรัพย์สินอื่นที่ไม่ใช่หุ้น fb มันก็มากพอแล้ว
แล้วสอบถามเรื่องจำนวนหุ้นในบอร์ดบริหารด้วยครับ ถ้ายกหุ้นให้มูลนิธิแบบนี้ จะมีผลยังงัย ?
อยากรู้เหมือนกัน มาติดตาม
ถ้าคุณเป็นผู้บริการบริษัทหรือผู้บริหารมูลนิธิโดยเป็นกรรมการผู้มีอำนาจคุณเบิกจ่ายเงินได้สบายถ้าการเบิกจ่ายเงินเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของบริษัทหรือมูลนิธิ หรือเพื่อดำเนินงานบริษัทหรือมูลนิธ เอาเคสเครื่องบินส่วนตัวที่มีคนยกตัวอย่างมาละกัน ปกติสินทรัพย์เสื่อมมูลค่าราคาแพงแบบนี้ไม่มีใครเขาใช้เงินส่วนตัวซื้อกันหรอก ใช้เงินของบริษัทหรือมูลนิธิซื้อในนามของบริษัทหรือมูลนิธิกันทั้งนั้น โดยอ้างไปว่าเพื่อใช้ในการเดินทางของผู้บริหารแถมเอาไปหักภาษีได้อีก ค่ากินค่าเที่ยวของพวกผู้บริหารก็บจ่ายในนามของบริษัทหรือมูลนิธิอ้างว่าค่าเอนเตอร์เทนลูกค้า เอนเตอร์เทนตัวเองหรือลูกค้าก็ไม่รู้ ไม่มีใครสืบได้มีแต่ใบเสร็จมาโชวเพื่อหักภาษี ช่วงปี2008 ที่เกิดวิกฤติ subprime จนต้องมีการรณรงค์เรื่องธรรมภิบาลเพราะพวกผู้บริหารถลุงเงินบริษัทกันเละเทะซึ่งเป็นส่วนนึงที่ทำให้เกิดวิกฤต
ส่วนกรณีมูลนิธิถือหุ้นบริษัทใครเป็นผู้บริหารบริษัทก็ผู้บติหารคนเดิมที่บริหารอยู่นะแหละบริหารต่อไปจนกว่าที่ประชุมใหญ่มีเสียงเกิน51% ของผู้ถือหุ้นถอดถอนผู้บริหารเดิมแล้วตั้งใหม่หากผู้บริหารมูลนิธิเป็นผู้บริหารบริษัทด้วยแล้วถ้ามูลนิธิยังถือหุ้นเกิน51% หรือไม่ถึงแต่เมื่อรวมกับพรรคพวกตัวเองแล้วเกิน51% คุณคิดว่าผู้บริหารบริษัทมันจะเปลี่ยนตัวไหมละหากผู้บริหารกองทุนกับผู้บริหารบริษัทยังเป็นคนเดียวกัน
ที่ผมรู้เพราะผมทำเรื่องภาษีกับเรื่องบริษัทเวลาบริษัทจะให้ผมวางแผนภาษีให้ผมต้องดูงบการเงินคุยกับผู้บริหารผมถึงได้รู้ว่าผู้บริหารนี่มันดีจริงๆเงินบริษัทหรือเงินมูลนิธินี่ใช้ยังกับเงินของตัวเองเพียงแต่อ้างหลักฐานให้มันมีที่มาที่ไปหน่อยว่าทำภายใต้วัตถุประสงค์ของบริษัทหรือมูลนิธิจะได้ไม่โดนข้อหาฉ้อโกง
ชัดเจน ถถถ ที่แท้ก็เลี่ยงภาษีนี่เอง
คงคล้ายๆ กับเศรษฐีบ้านเราที่เวลาลูกเข้าโรงเรียนก็จะบริจาคให้โรงเรียนหรือสมาคมผู้ปกครอง แต่นี่พี่มาร์คเขาอยู่ระดับโลก
สุดยอดดด ขออนุโมทนาครับ
มีใครพอมีข้อมูลมั้ยครับ ว่าเงินบริจาคของมหาเศรษฐี เอามาทำอะไรบ้าง
รวมๆแล้ว ปีนึงมีเงินเข้ามูลนิธิพวกนี้ผมว่าเป็น 10 ล้าน ล้าน บาท แต่ไม่เห็นโลกจะดีขึ้นเลยครับ
แบบนี้แทนที่จะเอาเงินไปบริจาค เอามาให้รัฐบาลบริหารประเทศดีกว่ามั้ย
มันก็เงินเค้านี่คะว่าจะเอามาทำอะไรบ้าง
คิดอย่างนี้ไม่ถูกนะครับ คนบริจาคเค้าก็อยากจะมั่นใจว่า เงินที่เค้าเสียไป เกิดประโยชน์สูงสุดกับคนผู้คนจำนวนมากที่สุด
เห็นพอมีคนรวยขึ้นมาทีนึง ก็มีมูลนิธิใหม่โผล่มาทีนึง แสดงว่ามูลนิธิเก่าที่มีอยู่ทำได้ไม่ดี ไม่ทั่งถึงหรือ
อันนี้คุณต้องเข้าใจก่อนนะครับว่ามูลนิธิแบบนี้ ไม่ได้ระดมเงินบริจาคจากหลายๆบุคคล แต่มาจากเงินของคนคนเดียวหรือครอบครัวเดียวและอาจจะมีบุคคลภายนอกไม่กี่คน(ซึ่งจะกลายเป็นบอร์ดบริหารอยู่ดี) ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้คนบริจาคมั่นใจครับเพราะไม่เกี่ยวกัน
ส่วนทำไมต้องตั้งใหม่ก็เพราะวัตถุประสงค์/จุดมุ่งหมายของมูลนิธิต่างกัน และเจ้าของเงินคนละคนกันครับ
อีกเรื่องคือคุณบอกว่าโลกไม่ดีขึ้น อันนี้คือคุณอยู่ที่ไทยอย่างเดียวรู้ได้อย่างไรครับว่าไม่ดีขึ้น และตัวคุณเองมีเงินมาใช้จ่ายเล่นเน็ต ดังนั้นคุณคงไม่ใช่เป้าหมายของมูลนิธิเหล่านี้นะครับ
การนำเงินมาให้รัฐบริหารนั้นเรียกได้ว่าแย่ครับ เพราะการนำเงินไปให้รัฐใช้ไม่สามารถทำให้บรรลุวัตถุประสงค์/เป้าหมายของมูลนิธิได้ครับ และรัฐบาลของประเทศที่ต้องการความช่วยเหลือ(กำลังพัฒนา)ส่วนมากไม่มีความโปร่งใสครับ
การสร้างรายได้ การกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นหลักการที่ค่อนข้างแย่ถ้าจะทำมูลนิธิครับ เพราะเงินจะไปตกอยู่กับชนชั้นสูง/กลาง แทนที่จะเป็นผู้ที่ต้องการจริงๆ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
อารมณ์แบบนี้เหมือนกับการที่คนที่บอกว่าชอบทำบุญหลายๆ คนชอบเอามาพูดกันครับ คือทำบุญขอแค่ใจเราคิดดีคนที่เอาไปใช้ต่อจะเอาไปใช้ทำอะไรไม่ว่าจะใช้เกิดประโยชน์ไม่เกิดประโยชน์หรือทำดีทำเลว ก็แล้วแต่เค้า หรือการปล่อยสัตว์ปล่อยนกปล่อยปลา เราให้อิสระเค้า ยังไงเราก็ได้บุญอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆ อยากให้เปลี่ยนแนวคิดแบบนี้ การจะทำบุญอะไรสักอย่างมันควรที่จะต้องคิดให้รอบคอบมากกว่านี้ อย่างไปกระจุกบริจาคเงินให้วัดดังๆ รวยๆ หรือปล่อยสัตว์เอเลี่ยนเข้าสู่ระบบนิเวศ ซึ่งมันจะกลายเป็นว่าสร้างบาปมากกว่าสร้างบุญครับ
เห็นตามข่าวส่วนใหญ่ไปลงที่ประเทศกำลังต้องพัฒนาครับ เช่น อดอยากขาดปัจจัย 4
ส่วนบ้านเราเป็นประเทศกำลังอยากพัฒนา เขาเลยไม่จำเป็นต้องมา เราก็เลยไม่เห็น
ไม่แน่ว่าถ้าไม่มีมูลนิธิพวกนี้ อาจมีเด็กตายไปมากกว่านี้หลายเท่าแล้ว
แล้วที่เราก็ยังเห็นมีคนอดอยากจำนวนมากเหมือนเดิม ผมคิดว่างบส่วนใหญ่หมดไปกับปัจจัย 4 ที่ใช้แล้วหมดไปครับนึกภาพว่า คนมีรายได้น้อยแค่จะกินยังไม่ค่อยพอ ก็คงไม่เหลือไปพัฒนาศักยภาพตัวเอง ก็เลยไม่หลุดจากชีวิตแบบนี้ได้สักที
ถ้าอย่างนั้น เอาเงินไปให้รัฐบาล ประเทศนั้นๆพัฒนาดีกว่ามั้ยครับ
เช่น ประเทศ A B อดอยาก แต่ประเทศ A รัฐบาลโปร่งใส ตรวจสอบได้ ก็บริจาคไปให้เลย 1000 ล้านดอลล์
สร้างงาน สร้างรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ
ในขณะที่ประเทศ B รัฐบาลไม่น่าเชื่อถือ ก็ไม่ให้ เป็นการให้ประชาชนในประเทศกดดันรัฐบาลตัวเองอีกต่อหนึ่ง อะไรแบบนี้
ที่ว่ามานี่เงินของคุณรึเปล่า?
ความเห็นแบบนี้ยังมีอยู่ใน blognone อีกเหรอครับ
อย่าว่าโง้นงี้เลยนะ รบ.ไทยได้เงินให้เปล่า ที่ก้อนใหญ่เบิ้มสุดก็สมัยสงครามเวียตนาม ขนมาเท่าไหร่ก็ไม่รู้ว่าเอาไปบริหารอะไรบ้าง (แต่สมัยนั้นมีถนน รพช. นะเออ เกรดดีกว่าถนนทุกวันนี้อีก)
คุณเข้าใจระบบมูลนิธิไหมครับ "แจกตรงๆ" ไม่ใช่ผ่าน รบ.>กระทรวง>หน่วยงาน1234>คน ไม่รู้ให้สิบหยิบครึ่งแล้วจะถึงมือคนจริงๆเท่าไหร่
[Ad Hominem]ให้ผมเดานะ ผมว่าคุณติดนิสัยชอบของฟรีจนเคยตัวสิท่า
ถ้าตั้งใจจะให้เงินไปพัฒนาเต็มเม็ดเต็มหน่วยจริงๆ สู้ตั้งมูลนิธิมาจัดการเองน่าจะควบคุมได้มากกว่านะครับ
สมมติผมมองรัฐบาลเป็นมูลนิธิหนึ่ง ก็เป็นมูลนิธิที่ไม่น่าช่วยเพราะใหญ่เกินไป ไม่สามารถบอกได้ว่าจะเอาเงินบริจาคไปใช้ได้ตรงจุดหรือไม่ ไม่ว่าจะประเทศไหนหรือโปร่งใสหรือไม่
อีกอย่าง จะมีประชาชนสักกี่ประเทศสามารถกดดันรัฐบาลจนมีผลได้ครับ ยิ่งประเทศที่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากเงินบริจาคนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องเดาเลย พวกเขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนรอช่วยเหลืออยู่
รัฐโปร่งใสตรวจสอบได้ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอดอยากนะครับ ไอ้ที่มีปัญหาไม่มีจะกิน หุ้นตกกระจาย โดนแบนหลายรูปแบบนี้มันมาจากรัฐประเภทตรวจสอบความผิดตัวเองทั้งนั้นครับ และที่สำคัญทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นประเทศเจริญแล้ว ทุกคนก็รู้ว่าเวลารัฐไม่ว่าจะดีเลิศแค่ไหนก็ไม่สามารถบริหารจัดการเงินได้มีประสิทธิภาพเท่าเอกชน การมีมูลนิธิที่มีทิศทางที่ชัดเจนว่าจะนำเงินไปจัดการด้านไหนย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าให้รัฐบริหารครับ
รัฐได้ภาษีอยู่แล้วครับ ไม่ต้องบริจาคก็ได้ครับ ยิ่งมีเงินเยอะเราก็จ่ายเข้ารัฐเยอะขึ้น
จริงพวกหน่วยงานเขาก็มีช่วยเหลือเรื่อยๆ นะครับ แต่ถ้าจะช่วยระยะยาวจริงๆ ไม่ใช่เอาเงินแจกๆ แล้วก็หาย มันก็ช่วยอะไรไม่ได้นะครับ
กรณีของบิล เกตส์ ในเว็บเขา ก็มีเนื้อหาเยอะอยู่นะครับ ถ้าอ่านให้หมดก็คงใช้เวลาหลายวัน
เค้าช่วยแบบระยะยาวครับ ไม่ได้เน้นการแจกจ่ายระยะสั้น
ไม่เหมือนเศรษฐีบ้านเราแจกไอโฟน...แจกปุ๊บชีวิตดี๊ดี...แต่มันแค่คนกระจุกเดียวและระยะสั้นมากกกกกก
ที่มีอยู่อาจจะดี แต่ไม่ตรงกับความต้องการเค้าก็ได้ครับ สมมติเช่นอยากทุ่มเงินเพื่อวิจัยโรคมะเร็ง ถ้าบริจาคผ่านรัฐ (หรือแม้กระทั่งโรงพยาบาล) เงินตรงนี้จะไปถึงการวิจัยของโรคนี้ซักเท่าไหร่ ถ้าบริจาคมูลนิธิที่เกี่ยวของกับผู้ป่วยโรคมะเร็งโดยตรง ก็อาจจะเกี่ยวข้องกว่าแต่อาจจะไปช่วยในด้านความเป็นอยู่ของผู้ป่วยมากกว่าไปทุ่มลงด้านงานวิจัยตามที่ตั้งใจไว้แต่แรก เป็นต้นครับ
onedd.net
รัฐบาลมีหน้าที่บริหารประเทศ แต่เขาต้องการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งผมว่าเป็นจุดประสงค์ที่ไม่ได้ตรงกันซะทีเดียวนะครับผมว่า ดังนั้นการจ่ายเงินบริจาคเข้าองค์กรณ์การกุศลนี่ก็ดีแล้วแหละ
แล้วก็เหมือนหลาย ๆ องค์กรณ์จะไปเน้นในพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ (อัฟริกา ?) เราก็เลยไม่รู้ว่าพวกนี้ทำอะไรล่ะมั้งครับ ? ผมติดตาม Bill Gates อยู่ก็เห็นสิ่งที่เขาทำอยู่เรื่อย ๆ นะครับ
สุดยอดมากๆครับ
เจ้าสัวไทยไม่ทำตามบ้างเลย
Update: ไม่ใช่บริจาคเพื่อองค์กรการกุศลนะครับ องค์กรที่จัดตั้งเป็น LLC เพื่อลงทุนแต่ไม่ได้เน้นผลกำไรมาก่อน
As BuzzFeed's Alex Kantrowitz reported, the Chan Zuckerberg Initiative, the organization that the couple's fortune will go to, is structured as an LLC, a limited liability company, not as a nonprofit organization. (A Facebook spokesperson confirmed to Tech Insider that the organization is an LLC.)
http://www.businessinsider.com/mark-zuckerberg-not-donating-fortune-to-charity-2015-12
Although the group is a corporation, not a non-profit, the donation is intended to improve the world as Zuckerberg and Chan see it, rather than making profit for profit's sake.
http://www.businessinsider.com/biggest-charity-donors-in-the-us-in-2014-2015-12