เมื่อ iPhone เสียและอยู่นอกประกัน ลูกค้ามีสองทางเลือก คือนำไปซ่อมที่ร้านที่ได้รับการแต่งตั้งจากแอปเปิลโดยตรง (Authorized Service Provider) ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่าค่าซ่อมแพงมาก และทางเลือกที่สองคือซ่อมกับร้านทั่วไป โดยเสียค่าใช้จ่ายต่ำกว่า ล่าสุดมีรายงานว่า iPhone จะล็อกตัวเองและอยู่ในสถานะใช้การไม่ได้ (bricked) เมื่อตรวจจับได้ว่าซ่อมจากร้านที่ไม่ใช่ของแอปเปิล
มีผู้ใช้หลายคนรายงานว่าได้นำ iPhone ของตนไปซ่อมตามร้าน และกลับมาก็ยังใช้ได้ตามปกติ แต่หลังจากอัพเดต iOS เป็นเวอร์ชันล่าสุดกลับมีข้อความแสดงบนหน้าจอว่า "Error 53" และใช้การอะไรไม่ได้อีกเลย ด้านหนังสือพิมพ์ The Guardian รายงานว่า ข้อมูลที่อยู่ในเครื่องก็ไม่สามารถเอาออกมาได้ด้วย
Kyle Wiens เจ้าของเว็บไซต์ iFixit ที่สอนการแกะอุปกรณ์ต่างๆ เปิดเผยว่าปัญหานี้จะเกิดขึ้นเมื่อโทรศัพท์ของผู้ใช้ถูก เปลี่ยนปุ่มโฮมหรือสายเคเบิลที่เกี่ยวข้อง โดย iOS เวอร์ชันล่าสุดมีการตรวจสอบชิ้นส่วนในเครื่องว่ายังเป็นชิ้นส่วนเดิมที่ออกมาจากโรงงานหรือไม่ ถ้าไม่ใช่ก็จะล็อกตัวเองทันทีโดยไม่มีการเตือนใดๆ และขณะนี้ยังไม่มีวิธีแก้ไขใดๆ เช่นกัน
ช่างภาพอิสระ Antonio Olmas เคยนำ iPhone ของตนเข้าซ่อมหน้าจอและปุ่มโฮมที่ร้านในเดือนกันยายน หลายเดือนต่อมาเขาได้รับการแจ้งเตือนว่าให้อัพเดต iOS จึงอัพเดตไปตามปกติ เมื่อกระบวนการเสร็จสิ้น โทรศัพท์ของเขาก็ล็อกตัวเองทันที และต้องจ่ายเงินถึง 270 ปอนด์สเตอร์ลิง (ราว 14,000 บาท) ให้กับศูนย์บริการของแอปเปิลเพื่อเปลี่ยนเครื่องใหม่
โฆษกของแอปเปิลเปิดเผยว่าแอปเปิลต้องการปกป้องข้อมูลลายนิ้วมือในเครื่อง โดยปุ่มโฮมที่ทำหน้าที่เป็นตัวสแกนลายนิ้วมือ (Touch ID) จะจับคู่อยู่กับเครื่องใดเครื่องหนึ่งไปตลอด เมื่อศูนย์บริการของแอปเปิลซ่อมเครื่องและเปลี่ยนอะไหล่ที่เกี่ยวข้องกับ Touch ID ช่างจะทำการ re-validate ให้อะไหล่ใหม่จับคู่กับเครื่องเดิม เพื่อให้ใช้การได้ตามปกติ และถ้าไม่มีการจับคู่พิเศษนี้ ช่างทั่วไปอาจนำตัวสแกนลายนิ้วมือเถื่อนมาติดตั้งและดักจับลายนิ้วมือของผู้ใช้ไว้ได้ เมื่อเครื่องทำการตรวจสอบและพบว่า Touch ID ที่ติดตั้งอยู่ไม่ใช่ของเดิมก็จะแสดงผลว่า "Error 53" และแอปเปิลแนะนำให้ติดต่อศูนย์บริการต่อไป
ผู้เขียนคิดว่าอุปกรณ์แอปเปิลที่ควรระวังการซ่อมตอนนี้ก็น่าจะเป็น iPhone และ iPad ที่มี Touch ID ทุกรุ่นนะครับ
ที่มา - Android Authority
Comments
อีกด้านหนึ่งของ Touch ID
ก็ดีนะป้องกันการขโมยเครื่องเอาไปถอดขายเป็นอะไหล่ได้อีก แต่ผู้ใช้บางคนในประเทศด้อยพัฒนาคงบ่นระงม
ประเทศด้อยพัฒนา กับ ประเทศกำลังพัฒนา อันกันหรือเปล่าครับ ไม่รู้จริงๆ
คนละอันครับ แต่ก็เหมือนจะอันเดียวกัน งงป่ะครับ คือเมื่อก่อนเขาแบ่งคลาสกันโดยมีแต่ประเทศ ด้อยพัฒนา (under delveloped) ประมาณซูดาน กับ พัฒนาแล้ว (Developed) เช่น ญี่ปุ่น อเมริกา ทีนี้บางประเทศก็ไม่ได้แย่ขนาดต้องขุดหัวมันกิน เช่น ไทย ลาว กัมพูชา ตอนหลังฝรั่งเขาเลยเพิ่มคำว่ากำลังพัฒนา(developing)มาให้เราใช้แทน ส่วนด้อยพัฒนารู้สึกตอนหลังจากรุ่นผมเรียนเขาจะเปลี่ยนเป็น พัฒนาน้อยที่สุดแล้วมั้ง
บ้านเรากำลังพัฒนามากี่ปีแล้ว ไม่เห็นมีอะไรพัฒนา เรื่องฟุตบาทเป็นพื้นที่สาธารณะ (ไม่มีมอไซต์มาวิ่ง ไม่มีร้านตั้งขายของ) เรื่องการหยุดให้คนข้ามทางม้าลาย กฏหมายจราจร การทิ้งขยะให้ลงถัง นี่เป็นเรื่องพื้นฐานสุดๆ ไม่นับเรื่องเอาสายไฟฟ้าลงดิน ทำฟุตบาทให้แข็งแรงมั่นคง ยังไม่เห็นแสงสว่างจริงๆ
"บ้านเรากำลังพัฒนามากี่ปีแล้ว ไม่เห็นมีอะไรพัฒนา"
นั่นคือ คุณมองแต่จุดที่ไม่ได้พัฒนาไง
แม้บ้านเราจะยังต้องการพัฒนาอยู่อีกมาก
แต่มีหลายอย่างถูกพัฒนาไปเยอะนะครับ
จริง ๆ ถ้าเกิดทัน ก็คงจะทราบว่า ประเทศด้อยพัฒนา กับประเทศกำลังพัฒนา คือสิ่งเดียวกันครับ
แต่คำว่าด้อยพัฒนา (Under xxxxx) มันให้ความหมายในเชิงเหยียดหยาม ดูถูก
ก็เลยมีการเปลี่ยนคำว่า ด้อยพัฒนา เป็นคำว่า กำลังพัฒนาครับ (developing)
ทั้งสองคำ คือกลุ่มประเทศเดียวกันครับ
สรุปตอนนี้ มีการแบ่งประเทศเป็นสองกลุ่มคือ พัฒนาแล้ว และ กำลังพัฒนา (ก็คือ ยังไม่พัฒนา)
ส่วนประเทศที่มีสภาพเศรษฐกิจที่จัดอยู่ในระดับก้าวหน้ามากกว่าประเทศที่กำลังพัฒนา แต่ยังไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของ ประเทศพัฒนาแล้ว
จะถูกจัดให้อยู่กลุ่มที่ใช้คำจำกัดความว่า ประเทศอุตสาหกรรมใหม่
ซึ่งอันที่จริงแล้ว ประเทศไทยบ้านเรา ก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NIC) เช่นเดียวกัน ซึ่งประเทศในกลุ่มนี้ก็เช่น จีน อินเดีย ตุรกี บราซิล เป็นต้น
https://en.m.wikipedia.org/wiki/Newly_industrialized_country
นั่นก็แปลว่าบ้านเราพ้นจากความเป็นประเทศด้อยพัฒนา หรือก้าวพ้นจากการเป็นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาธรรมดาๆ มาแล้วครับ
อันที่จริงบ้านเราก็ไม่ได้แย่หรือด้อยพัฒนาอย่างที่ใครหลายคนชอบสบประมาทไว้ คือบ้านเราก็อาจจะมีปัญหาเยอะ แต่เอาจริงๆ ประเทศไหนๆ ก็มีปัญหากันทั้งนั้นแหละ ประเทศไทยเองถึงจะเป็นแบบนี้ แต่ก็พัฒนาหลายๆ ด้านไปเยอะโดยที่เราไม่ได้สังเกตกัน
อย่างตอนวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 หรือแม้แต่ตอนน้ำท่วมใหญ่ เศรษฐกิจโลกก็กระเทือนไปเหมือนกัน ดังนั้นเราก็มีบทบาทในเวทีโลกไม่น้อยเลย แม้จะไม่มีอำนาจในการกำหนดอะไรๆ อย่างประเทศมหาอำนาจ แต่ประเทศไทยก็เป็นกลไกหนึ่งในเศรษฐกิจโลกเช่นกัน
อ่านตอนแรกเหมือนไม่ดี แต่คิดๆดูถ้าทำให้ผูกกับอุปกรณ์ต่างๆนอกเหนือจาก touch id เช่นพวก จอ กล้องได้น่าจะช่วยลดขโมยได้เยอะเลย (ข่าวบอกคนเอาไปซ่อมหน้าจอกับปุ่ม home แต่โฆษกบอกว่าเฉพาะส่วที่เกี่ยวกะ touch เลยคิดว่าหน้าจอไม่น่าจะถูกผูกด้วย)
ถ้าจะดีคือเจ้าของต้องปลดล็อกเองได้ครับ ไม่ใช่บังคับขายเครื่องใหม่
มีข้อดีข้อเสียเฮะ
ข้อดีคิอมั่นใจได้ว่าแฮคเกอร์ไม่มีการสอดใส้เพื่อแอบเก็บข้อมูลถ้าเราซื้อมือสอง
แต่ข้อเสียคือถ้าพังก็แพง
ทั้งชีวิต(idevice)เราดูแล
เดี๋ยวก็มีคนแก้ได้ พวกเทพๆ ในโลกมันมีเยอะ
ไม่มีลายเซ็น
ก็เลือกเอาครับ ระหว่างราคาและความปลอดภัย
ประเด็นคือแอปเปิ้ลไม่เลือกไงครับ:P
หมายถึงถ้าเอาราคาก็ไปเอายี่ห้ออื่นไงครับ
เหตุผลดีแต่ยี่ห้ออื่นไม่มี iOS ใช้นี้สิ แล้วรู้ได้อย่างไรครับว่าโทรศัพท์ที่ถูกกว่าจะไม่ปลอดภัยกว่า อย่าบอกนะว่า Samsung hero มีคนแฮกผ่านไวไฟมาแล้ว #myipis127.0.0.1 แค่แซวเล่น:P
เอิ่ม...เห็นที่ผ่านมามีปัญหารูปหลุดดาราจาก iCloud
นั่นก็น่าจะเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ Apple พยายามจะตัดเรื่องความเสี่ยงในด้านความปลอดภัย และการถูกฟ้องร้องให้มากที่สุดจนเป็นที่มาของการเลือกที่จะควบคุมว่าของที่จะเข้ามาใช้ในระบบมีความปลอดภัยได้ผ่านการรับรอง validate โดย Apple เองให้มากที่สุดนั่นแหละครับ
สรุปเรื่องภาพหลุดจาก iCloud มันเป็นปัญหาจากการรั่วที่ไหนครับ?
สาเหตุล่ะครับ...
เห็นเศรษฐีแต่ล่ะคนแล้วก็เข้าใจครับ ประเทศเรามันด้อยพัฒนา ใครก็อยากซ่อมดีๆทั้งนั้น แต่โก่งค่าซ่อมซะเว่อร์วัง แทนที่จะเห็นคนมาบอกว่าลดค่าซ่อมให้เหมาะกับประเทศสิ กลับเจอดูถูกประเทศตัวเอง เลียบริษัทต่างขาติซะงั้น. จะไม่ให้มีคนแอนตี้สาวกได้ยังไงล่ะเนี่ย
+10
+1อ่านความคิดเห็นแล้ว มีแต่คนรวยมาตอบ
มันควรจะให้เจ้าของเครื่องเลือกได้รึเปล่า ถ้าไม่อยากใช้ Touch ID ก็ปิดไปแล้วสามารถเปลี่ยนอะไหล่ปลอมได้ตามปกติ
เจอกันมานานล่ะ แต่บ้างร้านก็แก้ได้แล้วนะ
รู้สึกเคยมีข่าวเก่าๆที่บอกว่า มีคนไปเปลี่ยน touch id แล้วเครื่องล๊อค
แต่มีคนมาตอบว่า บางร้านใน mbk สามารถทำได้
น่าจะ 100 คอมเม้นไหมนะ
แต่เห็นที่มาแล้วตลกดี
ที่มาควรจะเป็นเว็บสายแอปเปิล?
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
ประมาณนั้น เหมือนกับแซวๆ ว่าเฮ้ยทำไมพวกนายไม่พูดเรื่องนี้กันบ้าง นายไม่พูดฉันพูดแล้วนะ อิอิ
macrumors 9to5 appleinsider ก็ลงข่าวนี้นะครับ แค่ blognone เอามาจาก android authority
http://9to5mac.com/2016/02/05/error-53-iphone-6/
http://www.macrumors.com/2016/02/05/error-53-home-button-iphone-brick/
http://appleinsider.com/articles/16/02/05/apple-acknowledges-error-53-glitch-says-its-part-of-touch-id-security
อ่านช่วงแรกๆของข่าวแล้วคิดว่า "อะไรวะ ซื้อเครื่องมาแล้วไม่เป็นเจ้าของเครื่อง เลือกที่ซ่อมเองยังไม่ได้เลย" แต่พออ่านเหตุผลของ Apple แล้วก็ยอมรับได้ เพราะอย่างน้อยเท่าที่เข้าใจตอนนี้คือส่วนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวกับความปลอดภัยก็ยังสามารถซ่อมข้างนอกได้
น่าจะเตือนแล้วเลือกที่จะไม่ใช้ touch id ได้นะ
+1
my blo g : : sthepakul blo g
อ่านหัวข้อตอนแรกก็เตรียมง้างมาแล้ว พออ่านเหตุผลประกอบมันก็สมเหตุสมผลอยู่ ตอนนี้อยากรู้จริงๆ ว่าค่าเปลี่ยนปุ่มนี่มันกี่บาทกันนะ
คือที่แอปเปิ้ลทำเรื่อง Privacy ผมเห็นดีเห็นงามด้วยครับ และผมรู้สึกดีที่แอปเปิ้ลกล้าที่จะทำแบบนี้ แต่อีกแง่มุมนึงแอปเปิ้ลเองน่าจะต้องเตือนกันก่อนโดยการป่าวประกาศ รึทำไรก็ได้ให้ลูกค้าทุกคนทราบเพื่อจะได้เลี่ยงการซ่อมนอกศูนย์ ไม่งั้นถ้าพลาดแล้วต้องมาก้มหน้าก้มตาจ่ายตังค์กันไปก็สมแล้วกับที่คนเขาจะเรียกกันว่าสาวกจริงๆน่ะล่ะครับ
จากที่อ่านสรุปได้ว่าFC ไม่ว่าเค้าจะพูดอะไรก็พร้อมที่จะเชื่อได้อย่างง่ายดาย ไม่มีการตรวจสอบว่ามันต้องจับคู่อุปกรณ์แบบนั้นมีจริงหรือเปล่าหรือแค่มุกเรียกค่าบริการแพงๆ
สำหรับผมคือเยอะะะะะเกิ้นนน เทพiphone
มันก็มีความสมเหตุสมผลของมัน มันคืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับ security ซึ่งจะขึ้นโค้ดหมายเลขนี้ถ้าไม่ได้ validate ซึ่งยังไม่ปรากฎว่าเปลี่ยนอย่างอื่นแล้วจะขึ้นโค้ดเดียวกัน ถ้ามีจุดสังเกตหรือข้อทักท้วงหรือหลักฐานอื่นๆ ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นการกุขึ้นมาเพื่อเรียกค่าบริการแพงๆ ก็เอามาเสนอเลยครับจะได้เป็นประโยชน์กับสังคม
แค่สังเกตว่าไม่มีใครตั้งคำถามเลยว่ามันเป็นแบบนั้นจริงหรือแค่ข้ออ้างเรียกค่าservice แพงๆ มีแต่คนพร้อมเชื่อ ตลกดี แบบนี้ล่ะที่apple ต้องการ
ถ้าเป็นยี่ห้อเกาหลีโดนถล่มไปละ hahahaha
ผมเห็นยี่ห้อผลไม้นี่แหละครับ โดนถล่มเยอะกว่าใครเพื่อนเลยโดยเฉพาะจากคนที่ไม่ได้ใช้
ในเรื่องของอัตราค่าบริการก็น่าจะเข้าใจว่าเรตของ Apple นั้นมีราคาที่ตายตัวของมันอยู่แล้ว (และตอนนี้ผมก็ยังไม่มีข้อมูลว่าที่แพงมันคือราคาเท่าไหร่) และประเด็นคือมันเป็นการป้องกันที่ฟังแล้วก็ดูเข้าเงื่อนไข สมเหตุสมผลและมั่นใจว่าจะได้รับการรับประกันจาก Apple แน่นอน อีกอย่างคือตรงนี้ก็ยังสามารถรับความเสี่ยงเองโดยเอาไปให้ช่างข้างนอกเปลี่ยนให้ได้เหมือนกัน อย่างที่บนๆ บอกไว้ว่าร้าน MBK ก็สามารถแก้ error โค้ดนี้ได้แล้ว
ปัญหามันมีอยู่นิดเดียวคือ Error 53 มันเกิดมาจากอะไหล่ที่ไม่ผ่านการ Validate สรุปร้านที่รับซ่อมก็มีสิทธิ์จะได้เงินสองต่อ เอาอะไหล่ที่ติด Error 53 ใส่ไปให้ พอใช้ไปสักพักก็ซ่อม Error 53 ให้อีกที
ถ้าคำตอบน่าจะสมเหตุสมผลถือว่ารับได้ครับ เวลาในการตั้งคำถามและหาคำตอบมันแพงกว่าค่าตัวที่ต้องไปหาคำตอบเยอะเลย ไว้ใครหาประเด็นที่ขัดแย้งมาได้ค่อยดูอีกที
ซ่อมแพงนักก็ซื้อใหม่ ง่ายจะตาย
สาวกไม่ได้กล่าวไว้
ปัญหาคือ มันควร validate ต่อได้ด้วย Apple ID หลังจากนั้น โดยการแจ้งเตือนก่อนว่าอุปกรณ์ถูก swap ไปนะ ไม่ใช่ทำอะไรไม่ได้เลย
ดักจับยังไง? ส่งข้อมูลออกภายนอกยังไง? ถ้า Apple ตอบคำถามข้อนี้ไม่ได้ เหตุผลของ Apple ก็มีอย่างเดียวคือ 'เราไม่ให้คุณจ่ายเงินสู่ภายนอก คุณต้องจ่ายให้เราเท่านั้น' นั่นแหละ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
คิดว่าเพิ่มชิปเล็กๆ เข้าไปก็ดักได้แล้วครับ แล้ววิธีส่งออกเอาง่ายๆ ออกแบบให้ไม่ทน ให้พังเร็วๆ สมมติพังในสองอาทิตย์ โดยร้านที่ซ่อมมีประกันให้ 3 เดือน ไรงี้ แค่นี้ก็เก็บกลับมาได้แล้ว
ถ้าคุณคิดว่าต้องตอบได้ว่าโจมตียังไง แปลว่าช่องโหว่ที่ยังไม่มี attack vector ไม่สมควรได้รับการป้องกันเหรอครับ? หรือบางทีบริษัทอาจจะยังคิดไม่ออก ว่าคนอื่นๆ คิดออกแล้ว?
'ชิพเล็กๆ' คือปัญหานะครับ
โดยที่ต้องยัดลงไปใน iPhone ซึ่ง แทบไม่มีพื้นที่เหลือ นะครับ?
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
คือบางอย่างมันก็เยอะนะครับ ผมเข้าใจที่คุณอธิบาย แต่ทางสาวกจะให้โคตรพ่อโคตรแม่ปลอดภัย รหัสซ้อนรหัส อะไรประมาณนั้น
เอาง่ายๆ apple ถูกทุกอย่าง จบ...
อันนี้ ผมพูดแบบไม่มีความรู้เกี่ยวกับ iOS และ iPhone นะครับ (เพราะไม่ได้ใช้นานแล้ว) เรื่องทำชิพสำหรับเก็บลายนิ้วมือทั้งหมดนี่ผมว่าทำได้นะ เผลอ ๆ ก็อยู่บนตัวเซนเซอร์เลยนั่นแหละ (ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย) ส่วนจะเอาออกมายังไงคงไม่ต้องทำลำบากขนาดนั้นครับ ถ้าเป็นเครื่องที่ Jailbreak มาก็คงเข้าถึงได้ไม่ยากผ่านทางซอฟต์แวร์เฉพาะ แต่นั่นคือเครื่องก็ต้องโดนติดต้องซอฟต์แวร์เฉพาะสำหรับดึงข้อมูลออกมาและส่งออกไปด้วย หรือแม้กระทั่งคอยรับข้อมูลมาสร้าง token สำหรับซื้อขายก็ยังน่าจะทำได้
และถ้าส่งให้ร้านทำ ร้านสามารถทำทั้งหมดที่ว่ามาโดยไม่รู้ตัวได้ (แค่บอกว่าเป็นวิธีการลงแบบไม่ให้มีปัญหาก็เท่านั้น)
ทั้งนี้ผมไม่ได้บอกว่ามีคนทำแล้ว หรือมันทำได้จริง ๆ แค่ว่าตามหลักการมันก็พอจะทำได้แต่ลำบากเท่านั้นเอง
ผมว่าห้ามเปลี่ยนปุ่ม Home นอกมันก็เกินไปนะ เราซือเครื่องเค้ามาเลยนะ
จริงๆผมว่าแค่ iCloud นี่ก็ถือว่าโหดมากแล้ว
(เคยประสบเหตุ error 53)
เอาจริงๆนะครับ การซ่อมของ Apple ค่อนข้างห่วย ทำไมผมพูดแบบนั้น
ราคาค่าซ่อมเครื่อง (ไม่ได้แบบเปลี่ยนระยะประกัน) ค่อนข้างแพงมากทั้ง Macbook และ Iphone อย่างเปลี่ยนแบบ Macbook ราคาปาไปเกือบ 6 - 7 พัน ไอโฟนนอกประกันนี่ 8900 ++
แถมราคาค่าซ่อมเท่านี้คุณยังต้องลำบากเอาเครื่องไปที่ศูนย์หรือ Operator กรณีโทรศัพท์ แหะๆเอาจริงๆนะครับมันดูไม่พรีเมียมเลย ........... ไม่พรีเมียม เหมือนเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าราคาถูกๆไปซ่อม
มาลองเทียบกับ MS ดูไหมครับ ผมทำ Surface หล่นพื้นแตกยับ โทรไป support ถามเขาว่ามีซ่อมมั้ย? คำตอบคือ ไม่มี เปลี่้ยนเครื่องใหม่เลย!!! 14,000
ผมลองจ่ายผ่านบัตรเครดิตวันรุ่งขึ้น มีคนมารับของ อีก 5 วันมีคนมาส่งเครื่อง ทั้งหมด มารับส่งแบบ onsite ผมว่าดูพรีเมียมกว่ามาก จะดีมากถ้า Apple มีบริการแบบนี้ กับลูกค้าทุกประเภท (ผมทราบว่าถ้าซื้อผ่าน store จะมีบริการแบบนี้ แต่ครั้งเดียว)
Microsoft นี่ Support เทพจริงๆครับดีกว่า Apple เยอะเลย ของผมถามหาสายชาร์จหัวแบนอีกไม่กี่วันส่งตัวใหม่มาให้เลย (แต่ก็ยังกลมอยู่ดี)
เค้าส่งมาถูกแล้วครับ คุณใช้งานไม่ตรงรุ่นเอง XD
ผมไม่ได้ว่าเค้าส่งผิดครับ แค่ถามหาว่ามีหัวแบนมั้ยแต่เค้าส่งตัวใหม่มาให้เลยแม้จะเป็นหัวกลมเหมือนเดิมแต่ผมก็ประทับใจมากและเข้าใจว่ามันมีเรื่องกฎหมายอะไรมาเกี่ยวข้องอยู่
ปล.อันนี้ชมนะครับไม่ใช่ด่า
ถ้าห้ามใช้บริการข้างนอกก็ขายพร้อม Lifetime Guarantee ซิครับ
รู้สึกว่าไม่ได้ห้ามนะครับ แค่ไม่รับประกัน
ไม่ห้ามครับพังเลย :P
ปกติเขาก็ไม่ให้ใช้บริการข้างนอกอยู่แล้วนะครับ แค่ว่าเขาไม่มีสิทธิไปห้ามทางกฎหมายเท่านั้นเอง
ผมเป็นคนนึงที่ใช้ไอโฟนหลายๆอย่าง apple ทำอะไรแย่ๆแปลกๆนะแต่เหตผลรอบนี้ผมว่าสมเหตสมผลแล้ว แต่ก็นั่นแหละแค่ใช้ apple ก็โดนด่าตั้งแต่คิดจะซื้อละครับ แค่คิดก็ผิดละทั้งๆที่คนด่าผมว่าหลายคนไม่เคยใช้เลยด้วยซ้ำ
เจอตั้งแต่ 5s และครับ ทำไมเพิ่งเป็นข่าวอ่า
แค่ใช้แอปเปิลก็โดนด่าว่ารวยแต่โง่ตั้งแต่ซื้อแล้ว
ทำใจๆ. Haters gonna hate
+1
เงินก็เงินเขา
//แต่ก็สนุกเวลานั่งดู fan boy ตีกัน
Web นี้เค้าใช้คำว่า ศรัทธา ในการเหยียดแทนครับเท่าที่อ่านผ่านๆ มา
ถ้าดักจับอะไหล่เถื่อนก็โอเคอยู่น่ะ
แต่อย่างน้อยก็ให้มันใช้ร่วมกับปุ่มHome แบบTouch ID มือสอง(แท้ แต่แกะแยกส่วนขาย) ได้หน่อยก็ดี
อย่างน้อยก็ยังพอมีพื้นที่สำหรับหายใจไว้สำหรับลูกค้าที่ประกันหมดแล้วหน่อย
ทำไมไม่ตั้งให้ Touch ID ใช้ไม่ได้ก็พอ เหมือนเอาสายชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐานมาชาร์จก็ชาร์จไม่เข้า
Apple ทำแบบนี้ ผมว่าเห็นแก่ตัวพอสมควร เพราะราคาค่าซ่อมจาก ASAP มันแพงพอสมควร เมื่อเทียบกับการซื้อเครือ่งใหม่
oxygen2.me , panithi's blo g
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
ปกติไม่ใช่แฟนแอปเปิลครับ
แต่คราวนี้ ผมเห็นด้วย ในเรื่องเหตุผลที่เค้าให้ เรื่องความปลอดภัย
นั่นสิ ปิด function touch id หรือล๊อกส่วนที่เกี่ยวกับการดึงข้อมูลลายนิ้วมือก็น่าจะพอ
ให้เวลาเก็บตังเปลี่ยนหน่อยก็ยังดี
ปลอดภัยแบบไร้เสรีภาพเหมาะกับคนประเทศนี้
โยงมาเรื่องนี้ซะงั้น แถมเหมารวมด้วย = =
ผมว่าจริงๆมันมีหลายทางเลือกนะ
1. เตือนแล้ว Disable Touch ID ไปเลย
2. เตือนแล้ว Disable ใช้ Apple ID เพื่อ re-enable ได้
คือเรื่องความปลอดภัยเนี่ยเข้าใจ เหมือนซื้อรถมาติดเทอร์โบ เข้าศูนย์ไม่ได้ หมดประกัน แต่ลูกค้ายังใช้รถได้นะ
พูดถึงเรื่องติดเทอร์โบ ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็น่าจะคล้ายๆ แบบนั้นแล้วครับ คือมีอะไหล่จากข้างนอกที่สามารถเอามาใช้งานได้ อาจจะเป็นการรับรองโดยร้านซ่อมว่าจะไม่เจอ Error 53 อะไรก็ว่ากันไป ซึ่งตรงนั้นก็เป็นความสมัครใจของเจ้าของเครื่องว่าจะเลือกใช้แบบไหน รับความเสี่ยงกันเอง
new vision new model สินะ
ทางแก้ของผู้ใช้ที่มองออกคือใช้ เสียซ่อมศูนย์/ไม่ใช้อุปกรณ์ apple ที่เป็นทัชไอดี (iphone5ลงไปiPadmini2ลงไป/ถ้าใช้ทัชไอดี ห้ามอัพiOS9
The Last Wizard Of Century.
เหมือนจะเป็นข่าวที่คนไม่ได้ใช้ apple รุมด่า แต่คนใช้ชื่นชม งงแท้
คนใช้ Apple เท่านัั้นที่รู้จริงๆ
ถ้าเจอช่างที่ไม่มีประสบการณ์ ไร้มาตฐาน ก็แย่ครับ