แอปเปิลได้ถอดสินค้าสองรายการคือ iPod nano และ iPod shuffle ออกจาก เว็บไซต์ ทั่วโลกแล้ว เหลือเพียง iPod Touch ซึ่งก็มีการปรับราคาใหม่ลดลงมา โดยมีเหลือ 2 ความจุ คือ 32GB ราคา 7,300 บาท และ 128GB ราคา 11,000 บาท
ตัวแทนของแอปเปิลยืนยันการหยุดจำหน่ายนี้ โดยบอกว่าเป็นการปรับไลน์สินค้ากลุ่ม iPod ซึ่งมีการเพิ่มความจุ iPod Touch ในราคาที่ลดลง
ทั้ง iPod nano และ iPod shuffle เปิดตัวเมื่อปี 2005 และปัจจุบันก็มีบทบาทลดลง หลังการเข้ามาของ iPhone ตลอดจน iPod Touch โดยเริ่มจากการ หยุดขาย iPod Classic เมื่อปี 2014 จนมาถึงการตัดสินใจยุติการจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับฟังเพลงอย่างเดียวในที่สุด
ถ้าหากใครยังต้องการซื้อ iPod nano และ iPod shuffle สินค้าก็น่าจะยังพอมีขายอยู่ในร้านค้าตัวแทนจำหน่าย
ที่มา: Business Insider
Comments
เป็นขยะที่ราคาแพงมาก สาบานว่านี่คือปรับลดราคาแล้ว ตัวขับเสียงก็ไม่ได้ดีอะไรเลย กำเงินเท่านี้ไปซื้อฝั่ง Sony ได้ตัวที่เป็น Hi-Res มาฟังฟินๆกว่าเยอะ งานประกอบก็ลดสัญญาณรบกวนได้ดีกว่าด้วย
ขยะเลยเหรอ?
Hi-Res ของ sony คือ 24 บิต/96kHz - 192kHz ซึ่งต้องการหูฟังราคาแพงจริงๆ ไฟลขนาดใหญ่จริงๆ และคนฟังที่แยกออกมี % น้อยจริงๆ ไปจับคู่กันถึงจะเห็นความแตกต่าง
"A solution to a problem that doesn't exist, a business model based on wilful ignorance and scamming people."
ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือ มือถือเดี่ยวนี้ทำได้ไกล้เคียงมาก ไม่ต้องพกของเยอะ ไม่ต้องมีไฟลใหญ่ เทเงินไปที่หูฟังได้มากขึ้น
ปัญหาพวกนี้แหละที่ทำให้ bd audio ไม่เกิด
samsung ใหญ่แค่ใหน ?https://youtu.be/6Afpey7Eldo
หูทองเขาฟังกันออกจริงๆ นะครับ
อย่างพวกเรานี่ถือว่าโชคดีฟังไม่ออก ก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนทรัพย์ไปกับของพวกนั้น
จริงๆแล้วหูคนเราไม่ได้ยินย่านความถี่ที่ 22 KHz มาตรฐาน 44 Khz ก็ออกแบบจาก model นี้เพื่อตัด % สุดท้ายออกไป
ใครอ้างอย่างอื่น ส่วนใหญ่เป็น placebo effect อีกส่วนคือจะขายของแพงเพื่อทำกำไรเยอะๆก็เท่านั้น
ไม่นานมานี้ยังมีคนคุยเรื่องสาย hdmi บอกภาพดีกว่าอยู่เลย - ซึ่งมันเป็น digital copy = คุณภาพสายไม่มีผล -
ถ้าเป็นซีกของ analog ก็อีกเรื่อง
samsung ใหญ่แค่ใหน ?https://youtu.be/6Afpey7Eldo
สาย HDMI ผมเถียงนะ สายคุณภาพดี Shield ดีกว่าของห่วย ๆแต่ดีในที่นี้ของผมแค่เส้นละพันนะ ไม่ใช่เส่นละ 30000
ผมใช้สายห่วย ๆ นี่เปิดปิดไฟแต่ละครั้งมีจอกระพริบ สายใกล้ตู้เย็น ตู้เย็นตัดทียังกระพริบเลย Belkin ยังเป็น แต่พอใช้เส้นละพัน กับสาย DVI Dell อาการหาย
อีกอย่างสาย HDMI จีนแดงถูก ๆ ส่งสัญญาณไม่ค่อยดีเท่าไรเอามาเทียบกัจะมี Noise ที่สังเกตุได้ยิ่งถ้าเป็นความละเอียด 4K ยิ่งชัด
การบอกว่าคุณถาพสายไม่มีผลผมว่ามันก็จะเป็นการตัดสินที่เกินไปนะ
การส่งสัญญาณ digital นั้น ถ้าไม่ได้อยู่กลางโรงไฟฟ้า - ประมาณว่าเอามือแตะขา led สองข้าง แล้วสร้างกระแส 1.5 v ได้มันเลยติด/กระพริบ - Analog noise จะมี Shield ดีหรือห่วย ปรกติรบกวนไม่ได้ ถ้าแน่ว่าไม่ใช่ placebo effect ควรเรียกช่างมาดูตู้เย็น อีกนิดคือถ้าอยู่ใกล้โรงงาน อาจเป็นการรบกวน'ทางสายไฟ' ซึ่งไม่ใช้เรื่องที่เกิดทั่วไป แก้โดยหาที่ต่อสายไฟที่มี capacitor (ลดการรบกวนบนสายไฟ) มาไช้ ราคา 200-500 บาท ซื้อตามร้านคอมพิวเตอร์ก็มี
สายตกมาตรฐานไม่ควรจะผ่าน hand shake ผลที่ได้คือ ภาพและเสียงควรจะไม่ติด หรือทำงานในความละเอียดต่ำลงเอง (ไม่เคยเจอปัญหากับตัวเอง)
Digital Noise จะไม่แสดงผลเป็นสีเพี้ยน แต่ควรจะเป็น data error ซึ่งควรจะเห็นได้ชัดเจนในระดับที่ไม่ใช่แค่รู้สึกว่า หรือเห็นแวบๆ
samsung ใหญ่แค่ใหน ?https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ผมเห็นด้วยว่า sample rate > 48KHz นี่ overkill นะ และไม่จำเป็น
แต่เรื่อง bit depth 16 bit > 24 bit นี่มีผลแน่นอน 65,536 -> 16,777,216 levels นี่ทำให้เสียง smooth ขึ้นได้เยอะ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเวลาเอา 16,777,216 levels มาเก็บ sample rate แค่ 48KHz มันก็ดูจะ overkill ไป หลายๆค่ายก็เลยอัพ sample rate เป็น 96KHz-192KHz แทน
ปล sample rate ไม่ได้เอามา /2 กลายเป็นความถี่ที่มนุษย์ได้ยินนะครับ หลักการคือ sample rate ควรมีขนาด'อย่างต่ำ'เป็น 2 เท่าของเสียงที่มนุษย์ได้ยิน แต่คุณสามารถใช้ sample rate ขนาดมากกว่านั้นก็ได้เช่น sample rate 96KHz ไม่ได้แปลว่าเสียงจะต้องเป็น 48KHz ครับ แต่มันแปลว่าในวินาทีหนึ่งๆเราสามารถมีเสียงได้ 96,000 samples ครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
สายดีมันก็ช่วยได้หลายอย่างอยู่นะครับ
Digital Copy ก็ใช่ว่าจะเหมือนเป๊ะเสมอไป
ถามจริงๆเถอะ ไม่เคยก๊อปไฟล์เสียกันเลยเหรอ
digital copy ส่วนมากมันมี error correction เยอะพอตัวครับ เวลามันมีปัญหาทีนี่จะเห็นค่อนข้างชัดคือมันมักจะแหลกไปทั้งพื้นที่หรือทั้งจอเลย ส่วนไอ้เรื่องสีอิ่มกว่าเสียงใสกว่านั่นมันเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ว่าเครื่องฉลาดระดับตรวจพบแล้วลดบิตเรตกันเอง (ซึ่งก็ไม่ค่อยจะมีนะ)
แต่ก็ใช่ครับ โอกาสดวงตกขนาดนั้นมันก็มีอยู่ แค่ยากหน่อย และสายดีๆ (ที่ไม่ใช่สายหรู) ก็มักจะมีข้อดีของมันเยอะพอสมควร
$1,000 HDMI Cable!? - Useless Tech Over $100
Linus rules!!!
ช่อง Youtube ของผมครับ รีวิวและชวนคุยนู่นนี่
อันนี้ผมคิดเอาจากการสังเกตเครื่องเล่นแผ่นCD DVD เอานะครับ
เพราะสื่อที่บันทึกในแผ่นมันก็เป็นDigital แต่พอแผ่นลาย เครื่องเล่นมันก็ยังเล่นได้ แต่มันจะมีภาพแตกเป็นบางส่วนๆ หรือไม่ก็กระตุกๆ แต่มันจะมีเครื่องเล่นบางยี่ห้อที่เล่นได้ปกติเลยผมเลยสันนิษฐานเอาว่า ถ้ามันไม่ใช้ตัวอ่านที่คุณภาพดีเป็นพิเศษ ก็อาจจะใช้Softwareมาคาดเดาและทดแทนด้วยข้อมูลที่ได้จากการคาดเดาทำให้ไฟล์มันสามารถเล่นได้ขึ้นมา
หรือไม่ก็พวกโปรแกรมเล่นวิดีโอครอบจักรวาลที่สามารถเล่นไฟล์ที่เสียได้ ก็อาจจะใช้แบบนี้เหมือนกัน
ในกรณีของสายHDMI สายด้อยคุณภาพอาจจะส่งผลในเรื่องของการLost หรือไม่ก็สัญญาณมาช้า ทำให้ตัวTVมันต้องชดเชยข้อมูลเข้าไปแทนส่วนที่Lostไป ซึ่งบางทีข้อมูลที่ส่งมาอาจจะเป็นสีแดง แต่TVมันคาดเอาเป็นสีแดงอมชมพูจากการประมวลผลข้อมูลPixelไกล้ๆเอา ซึ่งถ้าสายมันมีคุณภาพดีสักหน่อยปัญหาแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น เพราะข้อมูลสีแดงมันส่งมาถึงTVทำให้TVไม่ต้องไปชดเชยข้อมูลอะไรเข้าไป
เรื่องเสียงนี่ก็เหมือนกัน แต่สังเกตง่ายหน่อยตรงTV และเครื่องเล่นเพลงของSony มันมีโหมดที่คาดเดาและเพิ่มความละเอียดเสียงให้ไกล้เคียงกับต้นฉบับมาให้โดยเฉพาะเลย
แต่สายเส้นละเป็นหมื่นนี่ผมก็ว่ามันโอเวอร์เกินไปเหมือนกัน เอาแค่สายมียี่ห้อหน่อย ไม่ใช่พวกสายโนเนมใส่ในถุงซิปล๊อคก็พอแล้วครับ
อันนั้นเกิดจากหัวอ่านมันอ่านได้จริงๆ เพราะคุณภาพหัวอ่านหรือดวงครับ
ส่วนอันนี้เกิดจาก codec ของโปรแกรมมันอ่านสดออกสดครับ บางส่วนของวิดีโอมันเสียมันก็ไม่แคร์ อ่านได้ยังไงออกแบบนั้นโดยไม่สนข้อมูลส่วนรวมว่าเสียไหม
เท่าที่ผมรู้ ไม่มีทีวีตัวไหนทำแบบนั้นนะครับ
ตามที่แจ้งไปข้างบนครับ ระบบ error correction มันทำงานโดยอัตโนมัติ หากข้อมูลมันแก้ได้มันจะไม่แตกต่างจากข้อมูลที่ไม่เสียหายเลย ซึ่งใช่ครับถ้าสายห่วยมากๆ ภาพจะกระตุก สะดุด หรือล้มเป็นระยะๆ แต่ไม่ใช่ว่าสายต้องดีเลิศประเสริฐศรีทำด้วยทองอะไรขนาดนั้น
เรื่องเสียงนี่ต่างกันอีกพอควรครับ เพราะสัญญาณเสียงส่วนมากที่ใช้ๆ กันถ้าไม่นับในสายพวก HDMI นี่มันส่งเป็นอนาล็อกเกือบหมดเลย อันนี้มีผลเยอะแบบเห็นชัดครับ
ใช่ครับ คือผมก็จะสื่อแบบนั้นแล
ที่เค้าแซวกันก็คือพวกที่บอกว่าสายดีให้สีอิ่มภาพคมชัดนี่ครับ
ซึ่งดิจิตอลถ้าสายมันส่งได้สมบูรณ์ 100% มันก็คือ output เดียวกันถ้ามีข้อมูลเสียแล้ว correction ไม่ได้มันก็ทำให้ภาพเป็นบล๊อค เกิดเสียง jitter ขึ้นมาเลย แต่ไม่ได้ทำให้สีดรอปสีเพี้ยนหรือเสียงกระป๋องแบบที่หูทองตาเทพหลายๆคนรีวิวกันอย่างนั้นอย่างนี้
ยืนยัน HDMI คุณภาพสายมีผลครับแต่ไม่ใช่เรื่องคุณภาพของภาพ แต่เป็นเรื่องความเร็วในการนำส่งข้อมูลครับ
จากประสบการ์ณ สาย Sony ปลอม เส้นละ 100 บาท และ Sony แท้ เส้นละ พันกว่าบาท
นำมาใช้กับ Playsatation3 สายปลอมเล่นๆอยู่ถึงฉากที่รายละเอียดเยอะๆ ภาพจะหายครับ แวปๆแล้วก็กลับมา ในขณะที่สายแท้ไม่เป็นครับ
เปรียบง่ายๆ เวลาเราก็อปข้อมูลผ่านสาย USB สายแต่ละคุณภาพยังให้ความเร็วเราไม่เท่ากันเลยครับ
ใช่ครับ
กรณีสายคุณภาพไม่ดีพอ ถ้าส่งข้อมูลมากก็อาจจะไม่ทัน หรือเวลาลากยาวหรือผ่านจุดที่สัญญาณกวนเยอะจนถึงจุด ภาพ/เสียงมันก็จะเกิด loss ไปเลย
แต่ที่เค้าบอกกันว่าไม่ต่างเนี่ย คือเมื่อใช้ส่งสัญญาณในระดับที่สายรับไหวอยู่ แต่กลุ่มหูเทพตาทิพย์ดันสามารถแยกได้ว่าเส้นนี้สีอิ่มกว่าภาพคมชัดกว่าเสียงดีกว่าครับ
นักเลงคีย์บอร์ดมาเองเลย (สำหรับการใช้คำว่าขยะ กับสิ่ง ๆ หนึ่งที่ตัวเองไม่ชอบ)
เมื่อก่อนใครเม้นแบบนี้โดนแบน สมัยนี้เหมือนพันทิปละ จะเม้นท์ยังไงก็ได้ว่างั้น หนีพวกบัตรผ่านพันทิปมาก็เจออะไรแบบนี้อยู่ดี
สงสัยแอดมินเห็นว่าเป็นสีสันของบอร์ดมั้งครับ (แต่ผมไม่ชอบเลย การไม่ให้เกียรติคนอื่นแบบนี้)
+1 ตัวเองแอนตี้ก็ไปกล่าวหาว่ามันเป็นขยะ คนแบบนี้แหละตัวถ่วงพัฒนาการ ไอ้ขยะที่เค้าว่านี่ขายกันถล่มทลาย ของปลอมทำเหมือนมีทุกตลาดนัด ไอ้ของเทพที่เค้าว่านี่ทั้งประเทศมีคนใช้กี่คนกัน ขนาดผมไม่ชอบ ipod สองตัวนี้ยังขยะแขยงความคิดเห็นนี้เลย
เห็นโดนรุม ก็เลยจะเข้ามาช่วย เขาคงพิมพ์ด้วยอารมณ์ผมก็เป็นบ่อย 555
คือราคาขนาดนี้ พี่ใส่ DAC เป็นเรื่องเป็นราวให้ซักตัวก็ไม่ได้
ส่วนจะ overkill ไหม ถ้าสูงเกินนั้น เราโตมากับ มาตรฐาน CD ที่อยู่ในยุค ที่มันยังไม่ compromise จึงอ้างจากคุณภาพ ที่ 16 bit 44.1 khz ซึ่งมันก็ถูก research มาแล้วว่ามันอยู่ในระดับที่จะก้าวข้ามแผ่นเสียงไปหา
เครื่องที่มันจะ เล่น hi-res audio มันก็ต้องมี file high res ให้เล่นด้วยเด้อ ถ้าเล่นแผ่น mp3 พันทิป ก็เครื่องอะไรก็ได้ แต่เอาจริงๆ ผมคิดว่าเครื่อง hi-res นี่น่าจะฟังออกถึงความด้อยของ file อย่างชัดเจน (เดาเอานะ ไม่เคยลอง)
พวก file high-res พวกนี้ ผมแนะนำ trick ให้ลองนะครับหูไม่ทอง ของไม่แรงก็ฟังออก ( ผมก็หูไม่ทอง) ฟังหางเสียงของเครื่อง(ดนตรี) ต่างๆ ที่มัน fade ออก ไอ้เนี่ยอะครับตัวดี ที่จะบอก ความละเอียดของ file ได้
ถ้ายกตัวอย่างเรื่องมิติของสี colour bit dept ตรงนี้น่าจะเข้าใจง่ายกว่าไหม สีหนึ่งไปอีกสีหนึ่ง สมมุติจากขาวไปดำ 16สี 256สี 65536สี ไล่โทนไป ยิ่งละเอียดก็ยิ่งเนียน ทุกวันนี้เราคากันที่ 32 bit และไม่มีมากกว่านั้นใช่ไหมครับ ยุคผมเด็กๆ ดูรูปโป๊บนคอม 256 สี นี่ตื่นเต้นตายละ ตอนนั้นยังเคยเจอคนบอกว่าถ้าเกิน 65536 สี นี่ดูไม่ออกแล้ว 555
ทุกวันนี้ HD (1080) เรามี 4k คุณว่าเมื่อไหร่ตาจะดูไม่ออกหละครับ อาจจะ 16k หรือว่าเกินนั้น ก็ไม่รู้ แต่ว่ามันก็จะมีวันที่ เราทุกคนพูดกันว่า ดูไม่ออก แต่มันมีวิธีดูครับ
ผมก็มีเพื่อนที่ file หนัง 2 ชั่วโฒง 4gb กับ 10gb ดูไม่ออกเหมือนกัน ถ้าดูกันออกเยอะๆ iflix คงขายไม่ได้หรอกนะผมว่า แต่ในความเป็นจริงผมเชื่อว่าทุกคนแถวๆนี้ดูออกสบายๆ
แต่มิติของเสียงนี่มันใช้ หู ที่เราโต มากับประเทศที่ standard audio มันแย่มากๆ จนถึงทุกวันนี้ ก็ยังแย่อยู่ จริงๆ ไม่อยากใช้คำว่า standard เลยนะ มันแย่ จนไม่เรียกว่ามี standard เลยทีเดียว ฉะนั้นก็ไม่แปลกที่จะฟังไม่ออก
เราเปิดเพลงกันลอยๆ เปิดเพลงทิ้งๆ คุณเปิดเพลงฟังเวลาทำงานได้ไหมหละครับ ผมไม่ได้นะ ผมไม่สามารถฟังเพลงเวลาทำงานได้เลย แม้แต่เล่นเกมส์ ก็ตาม เพราะว่าเพลง มัน draw attention ไปหมด
เอาจริงๆ ผมหูไม่ทองเลยนะ หูสังกะสี เลยดีกว่า ผมฟังเพลงอินดี้ส์ เอาแผ่นเสียงไปเปิดเครื่องใหญ่ๆ นี่แทบจะอยากเขวี้ยงทิ้ง แต่ผมก็ยังรักในการฟังเพลงอินดี้ส์ หนะแหละ แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่สนใจใส่ใจกับสิ่งอื่นที่เราไม่รัก (ออกจะหมั่นไส้ audiophile นี่ผมหมั่นไส้มาทั้งชีวิต ทุกวันนี้ก็ยังหมั่นไส้อยู่ แต่ยิ่งหมั่นไส้ยิ่งต้องเรียนรู้กับสิ่งที่เราหมั่นไส้ [จะได้ด่าได้เต็มปาก]
เขียนไปเขียนมาแก้ไปแก้มา รู้สึกว่าตัวเองเลอะเทอะ อ่านแล้วงงๆ ไม่รู้เรื่อง ขออภัยนะครับ edit ไม่ถูกละ 55555
เมา
เห็นด้วยแต่ขอแย้งนิดนึงครับ ตอนแรกยกเรื่อง colour gamut มา แล้วเอาเรื่อง resolution มาต่อเลย ผมว่ามันไม่เข้ากัน ซึ่งจะ 4k หรือ 16k ผมว่าทุกคนดูออกถ้าดูในระยะที่เหมาะสม แต่ colour gamut เนี่ยอยู่ที่ความชำนาญจริงๆ
เมาหนะครับ แก้กลับไปกลับมาหลายรอบหมดแรง
อ้อ ผมเพิ่งรู็ว่ามันเรียกว่า colour gamut ผมว่าไม่ต้องผู้เชี่ยวชาญหรอกครับ คนธรรมดา ก็สังเกตุได้ ถ้าขี้สังเกตุนะ
เรื่อง resolution มันยังไม่ถึงจุดอิ่มไงครับ พอมันเลยจุดอิ่มไปแล้ว มันก็เหมือนกับ audio ตรงนี้
คือถ้าเรานับตั้งแต่ ไอ้ที่เป็นกระบอกๆ ก่อนจะเป็นแผ่นเสียง เขาเรียกไรหว่าขออภัยนึกไม่ออก จนมาถึงแผ่นเสียงยุค stereo โดยสมบูรณ์ ราวๆ 70's ปลายๆ mastering เกิดสมัย 80's กว่ามันจะอิ่มจริงๆ จนเรารู้สึกว่า เหนือกว่านี้ก็ไม่รู้สึก มันกินเวลาเยอะมาก motion picture นี่เริ่มทีหลังเสียงเยอะ ยิ่งพูดถึง consumer product ด้วย ผมว่ามันอีกพักใหญ่ครับกว่าจะอิ่ม
จริงๆ concept retina ของ Jobs ก็เลอะเทอะ แต่เขาก็พยายามจะสื่อว่ามันจะมีจุดที่มันอิ่ม แบบเกินนี้ คนทั่วไปก็บอกว่ารู้สึกไม่ได้แล้ว
MP3,MP4 เนี่ยมันกลายเป็นมาตรฐานหลัก ยิ่งเสียงเพลงใน youtube จาก official release ผมก็ว่ายังอยู่ในระดับที่รับไม่ได้นะ แต่ถ้าคนส่วนใหญ่บอกว่ารับได้ มีความสุขกับมันได้ ก็ต้องรับแหละครับ แต่ไม่ได้แปลว่าที่ดีกว่า มันไม่มี
คือผมแค่พยายามเอามุมมองทางภาพที่เรายังไม่เห็นจุดอิ่ม มาเทียบกับเรื่องเสียงที่จริงๆมันเข้าจุดอิ่มไปแล้ว(ตั้งแต่ cd หนะแหละ) และทุกวันนี้ standard มันต่ำลงมหาศาล ในขณะที่ trend ของ standard มันต่ำลง ดันมาพูดเรื่อง resolution ที่สูงขึ้น มันก็ขัดกับความรู้สึกคนส่วนใหญ่แน่ๆ แต่มันไม่ได้แปลว่ามันไม่มี (รู้สึกไม่ได้)
นั่นสิ จริงๆผมเห็นด้วยแหละ มันไม่จุดอิ่มหรอก อย่างเรื่อง frame rate เหมือนกัน เค้าว่ากันว่าตาคนเรามองออกแค่เท่านี้เท่านั้น ทำมาเกินสายตาคนรับรู้ได้ แต่พอดูเอาเองมันก็แตกต่างจริงๆนะ อย่างตอน The Hobbit สองภาคหลังผมได้ดูระบบ high frame rate ยิ่งชัดเพราะต่างจาก 24fps แบบปกติเยอะมากกกกกก
อันที่จริงน่าจะอัพเกรดสเปค iPod classic ให้มาใช้ flash แล้วยังคงคุณภาพ hw อื่นๆ ไว้แบบเดิม ขายกลุ่มฟังเพลงจริงๆ น่าจะดีกว่าเหลือ touch ไว้ตัวเดียว
@ Virusfowl
I'm not a dev. not yet a user.
อยากให้มี iPod shuffle เจนใหม่ ขาลุยชอบมากๆ เข้าป่า ลงน้ำ ปีนเขา ตกเขา พี่เค้าไม่เคยงอแง ชาร์ตไฟก็ง่าย
เห็นราคาiPhone SE แบบติดสัญญาแล้วยังน่าซื้อกว่า iPod Touchอีก
ทุกวันนี้ยังใช้ iPod nano ฟังเพลงอยู่เลย เบา แบตยังดี ขี้เกียจพกมือถือตอนวิ่ง ;)
my blog
ผมก็ด้วย
ถ้าขี้เกียจพกตอนวิ่งลองคู่นี้ครับ AirPods + Apple Watch แล้วจะรู้สึกเหมือนวิ่งตัวเปล่าแต่มีเพลงฟัง
มันไม่สู้เหงือนะครับ
มันก็พอได้อยู่นะครับ AirPod ผมเคยเล่นน้ำแล้วด้วยซ้ำยังไม่พังเลย
เหงือกับน้ำไม่เหมือนครับ พลังทำลายสูงกว่าเยอะ
ผมใช้ Apple Watch+jabees bsport ก็ ok นะ เบา กันน้ำ กันเหงื่อ ออกวิ่งก็เหลือแค่สองชิ้นนี้ มือถือไม่ต้องเอาไป
Admin page FB: AirPods Thailand รีวิวด้วยการใส่ลงว่ายน้ำบ่อย ๆ ตอนนี้ AirPods อายุ 7 เดือนยังไม่พังครับ ได้ข้อมูลตรงนี้มา ผมเลยกล้าใส่วิ่ง
ไม่หลุดเหรอครับ ?
ผมหูฟังธรรมดาเกี่ยวไม่อยู่ ต้องใช้แบบมีขาเกี่ยวตลอด
อันนี้ตอบได้เต็มปาก ว่าไม่หลุดครับ เพราะตอบจากการใช้งานจริง แต่ถ้าวิ่งเกิน 2 ชั่วโมงไป เหงื่อเริ่มมา ก็อาจต้องจับกระชับนิดนึง แต่ตั้งแต่วิ่งมา ยังไม่เคยหลุดเลยครับ (แต่ตกพื้นแบบโง่ ๆ ตอนใส่กล่องไม่ชินตอนซื้อมาใหม่ ๆ)
อยากให้ iPod Classic กลับมาขายอีก
คงไปเน้นอุปกรณ์เข้าซื้อเพลงได้
ดีกว่าอุปกรณ์ลงเพลงจากที่อื่น
อยากได้ iPad แบบใส่ซิมได้ ขนาดประมาณ iPod Touch นะ
ลองดูผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่เรียกว่า iPhone SE ดูสิครับ 55
@ Virusfowl
I'm not a dev. not yet a user.
ราคานี้ไป sony hi res ดีกว่าเยอะ อีกหน่อยก็คงเหลือ iphone อย่างเดียว
ลาก่อน