Competition and Markets Authority (CMA) หน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขันของสหราชอาณาจักร ออกรายงานผลการสอบสวนดีลไมโครซอฟท์ซื้อ Activision Blizzard ในระยะแรก (Phase 1 investigation) แสดงความ "กังวล" ว่าดีลนี้จะทำให้ระดับการแข่งขันในตลาดเกมลดลง
มุมมองของ CMA ระบุว่าหากไมโครซอฟท์ซื้อ Activision Blizzard สำเร็จ อาจกีดกันไม่ให้คู่แข่งเข้าถึงเกมในเครือ Activision Blizzard ซึ่งได้รับความนิยมสูง หรืออาจยังให้ด้วยเงื่อนไขธุรกิจที่แย่กว่าเดิม
CMA ยังมองไปถึงการใช้อิทธิพลของไมโครซอฟท์ในตลาดคลาวด์ (Azure) และพีซี (Windows) ร่วมกับเกมของ Activision Blizzard ทำลายการแข่งขันในตลาดคลาวด์เกมมิ่งที่กำลังเติบโต
CMA ขอให้ไมโครซอฟท์ชี้แจงต่อข้อกังวลเหล่านี้ภายใน 5 วัน และหากไม่มีแนวทางที่ดีพอ ก็จะเริ่มการสอบสวน Phase 2 ที่เป็นเชิงลึกมากขึ้น และมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญภายนอกมาช่วยให้ความเห็นด้วย
ฝั่งไมโครซอฟท์ออกบทความชี้แจงต่อสาธารณะ ยืนยันว่าแนวทางธุรกิจของตัวเองเป็นการเพิ่มทางเลือก (choices) ให้ผู้เล่นคอนโซลแบบดั้งเดิมใน 2 วิธี ได้แก่ Game Pass ที่ช่วยให้ผู้เล่นมีตัวเลือกเล่นเกมใหม่ๆ มากขึ้นในราคาที่ถูกลง และการเล่นเกมผ่านคลาวด์ เพื่อให้ผู้เล่นเกมมือถือสามารถเข้าถึงเกมคอนโซลได้
ไมโครซอฟท์ยังยืนยันว่าจะออก Call of Duty บน PlayStation วันเดียวกับแพลตฟอร์มอื่นๆ และสนับสนุนการเล่น cross play ข้ามแพลตฟอร์ม โดยยกหลักฐานว่าทำมาก่อนแล้วกับ Minecraft นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยัง เปิดกับ The Verge ว่าเซ็นสัญญากับ Sony ไว้ว่าหลังสัญญา Call of Duty บน PlayStation ฉบับปัจจุบันสิ้นสุดลง จะการันตีการออก Call of Duty ให้ต่ออีกหลายปี (at least several more years)
นอกจากนี้ ไมโครซอฟท์ยังยกตัวอย่างว่าบริษัทอื่นๆ อย่าง Tencent และ Sony เองก็ไล่ซื้อกิจการสตูดิโอเกมเป็นจำนวนมากเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าตลาดเกมยังมีไดนามิกอยู่
Comments
ในมุมผมมองว่า MS ยุคนี้มาเปิดกว้างมาก
ทั้งการพัฒนา software เช่น vs code, TypeScript, Playwrights, .NET Core
ทั้งระบบ cloud ที่ก็รองรับ ค่ายอื่น ๆ ด้วย นอกจาก MS เอง แถมถ้าเลือกซื้อของ MS ก็ใช่ว่าจะได้ราคาพิเศษ ก็แพงกว่าพวกค่ายฟรีทั้งหลาย
XBOX Game Pass เอง ก็รายปีก็ถูก อาจจะมี Exclusive บ้าง แต่ก็ไม่เยอะ เช่น Halo ซึ่งผมมเคยมาเล่นสมัย Game Pass นี่แหละ หรือ Flight Simulator ที่เป็น exclusive แต่แรกอยู่แล้ว
ความน่ากังวลก็ยังมี หลังซื้อแล้วอาจจะกลายเป็น exclusive ก็เกิดขึ้นได้ แต่ผมก็ยังมองว่า MS ในยุคนี้ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น จริง ๆ ก็ไม่ได้ดูเลวร้ายมากตั้งแต่แรก อาจจะเป็นระบบปิดที่พยายามเปิดกว้างกว่า Apple, Sony, Nintendo ที่น่ากังวลคือ Sony ไม่สามารถส่งมอบเครื่องได้ตามความต้องการมากกว่า
โดยรวม XBOX Game PASS ต่อให้เป็นตัว ultimate เอง ก็ยังรู้วึกว่าถูกกว่า PS
การ support จากค่ายอื่น ผมไม่แน่ใจ แต่พวงมาลัย อยากได้ไฟครบ เท่าที่เล่นนี่ต้อง PS เลย ก็คือค่ายอื่น ๆ ก็ไม่ได้สนใจ xbox ขนาดนั้น
แล้วอีกอย่าง พอบอก UK กับ Sony แสดงความวังวล รู้สึกเหมือนตอน TH กับค่ายรถยนต์ แล้วบอก EV ไม่ใช่อนาคตยังไงไม่รู้
ทั้งหมดนี้ ใครที่รอ PS5 แนะนำให้ลอง XBOX ดูครับ เกมถูก ระบบสลับเกมเร็วมาก เปิดเครื่องไวมาก game pass ถูกมาก community ก็กันเอง แต่จอย Elite แพงมาก 😅
Sony ซื้อได้ MS ห้ามซื้อเลือกปฎิบัตินา
CMA หรือ Sony ปลอมตัวมาหรอ 5555+ ยังไง MS แกซื้อก็ต้องซื้อเพราะแผนทางของธุระกิจอยู่แล้ว ถ้าซื้อเพื่อสู้กับคู่แข่งแปลกทางไหน Sony จ่ายหรอไงถึงกลัว Sony เจ้งจัง เจ้าอื่นไม่มีแล้วหรอ สิ่งที่พี่ต้องทำคือบังคับเซ็นสัญญาไปว่าถ้าจะซื้อต้องทำ 1 2 3 4 แหม่ไม่ใช่ทำตัวลูกน้อง Sony ฮ่าๆๆๆ
อ่านต้นทางมาอดคิดไม่ได้เลยว่านี่ Sony ปลอมตัวมารึเปล่า
หัวข้อพูดเรื่องการแข่งขันโดยรวม แต่เนื้อข่าว CMA พูดแต่เรื่องมันจะส่งผลเสียต่อคู่แข่ง (Sony) แทบทั้งนั้น
ซึ่งมันก็แหงอยู่แล้ว คู่แข่งก็ต้องมีไว้เอาชนะสิ การกระทำของ Microsoft และการที่ Sony ต้องร้อนตัว นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่ายังมีการแข่งขันอยู่
เรื่องผลต่อตลาดโดยรวมขอไม่ออกความเห็นอะไร เพราะผมไม่ได้ติดตาม console หรือ blizzard แต่แอบสงสัยอย่างว่า blizzard มันใหญ่โตหรือ Sony อ่อนแอมากขนาดที่หายไปค่ายนึงพาเจ๊งได้เลยเหรอ
ปล. ถึงจะบอกว่า Microsoft ทำนู่นนี่เยอะ แต่ Sony เองก็ไม่ใช่น้อยนะ มีธุรกิจด้าน Entertainment Media แบบแทบครบวงจรตั้งแต่สร้างยันเสพเลย
สิ่งที่เป็นประเด็นไม่ใช่ Blizzard แต่เป็น Activision น่ะครับ ที่มีเกม Call of Duty ซึ่งตอนนี้น่าจะเป็น Franchise เกมยิงระดับ AAA ที่คนตามเล่นเยอะที่สุดในโลก
อารมณ์นึกถึง Winning สมัย ps1 น่ะครับ เกมบอลเกมอื่นออกมายังไงก็เจ๊ง (ยกเว้น Fifa) แล้วการที่เกมระดับนั้นจะไปอยู่กับผู้ผลิต hardware เจ้าเดียวมันทำให้แข่งยากครับ แล้ว Ms จะมีอำนาจเหนือตลาดมากเกินไปถ้าสถานะเป็น 3rd party แบบเดิม ต่อให้ลง game pass day 1 Act ก็ยังไปทำสัญญาอื่นๆ กับ sony ได้เช่นให้ content พิเศษ แต่มันจะไม่เกิดขึ้นกรณีมี Acquistion
แล้วถ้ากลายเป็น Ms มีอำนาจเหนือตลาดมากๆ ก็สามารถกำหนดทิศทางได้ สมมติว่า คุณเห็นความ Arrogant ของ Sony ยุคนี้ ทั้งการขึ้นราคาเกม ขึ้นราคาเครื่อง ลองมองกลับว่าถ้า Ms อยู่ในสภาพผู้นำก็อาจจะทำเหมือนกันก็ได้ แถมอาจจะแย่กว่า เพราะถ้าคนอยากเล่น CoD ก็ยังต้องจำใจจ่าย
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
อย่างที่บอกว่าผมไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ ยังนึกว่า Blizzard = Activision Blizzard อยู่เลย 55+
เรื่องสิทธิพิเศษผมก็เข้าใจอยู่ครับ เพียงแต่ผมไม่เห็นภาพว่า CoD มันเป็นเกมที่ยิ่งใหญ่ขนาดแฟนเกมจำใจต้องยอมแทบทุกอย่างเพื่อให้ได้เล่นมันมากขนาดไหนเท่านั้นเองครับ ผมคิดว่าถ้ามีข้อมูลอย่างเช่นทำนองว่ามีเจ้าของ Console กี่คนที่มีเกม CoD เป็นเกม AAA อยู่ในเครื่องเกมเดียวหรืออะไรทำนองนี้น่าจะช่วยให้หลายๆคนรวมถึงผมเห็นภาพมากขึ้นครับ
อยากให้กสทชกังวลให้ได้แบบ CMA บ้างจัง 5555
อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นการ "กังวลตามพิธี" แต่สุดท้ายก็ให้ดีลผ่านรึเปล่า
แต่ CMA อาจมองว่า Microsoft มีขนาด market cap เป็น 20 เท่าของ Sony และจากประวัติการซื้อ Bethesda ซึ่งก็เป็นบริษัทเกมระดับอภิมหึมา ก็พบว่าเกมระดับ AAAAA อย่าง Starfield จะลงให้เฉพาะ Xbox กับ PC เท่านั้น ถ้ามองสององค์ประกอบนี้พร้อมกันก็ดูจะเป็นปลาใหญ่กินปลาเล็ก ส่วน Sony อาจไม่เข้าองค์ประกอบเพราะถึงแม้จะพยายามกีดกันเหมือนกันแต่ว่าขนาดเล็กกว่า Microsoft 20 เท่า
ยังกะมานั่งในสมองผมเลยครับ ผมนี่นึกถึงบ้านเราก่อนเลย
Microsoft ต้องการจุดตลาด Cloud Gaming เพื่อกระตุ้นให้ผู้พัฒนามาใช้ Cloud ของตนเองมากขึ้น ไม่ต้องลงทุนเอง ดังนั้นค่ายเกมส์ที่ซื้อมาจึงไม่ได้เน้น Exclusive อยู่แล้ว ต้องเปิด Open เพื่อให้เข้าถึงผู้ใช้ให้มากที่สุด เพราะการตลาดของ Cloud Gaming จุดตายอยู่ที่จำนวนผู้อยู่ในระบบและมีการชำระเงิน เมื่อจุดติดแล้ว Microsoft ผู้พัฒนาอื่นๆ เห็นแนวทาง ก็จะมาเช่า Cloud ของ Microsoft ที่น่าจะเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญอันดับต้นๆ ในช่วงเวลานั้นอยู่แล้ว ก็เก็บกินยาวๆ ไป ผมว่าการวางแผนคล้ายๆ กับ Surface นั่นแหล่ะ ยอมขาดทุนระยะสั้น เพื่อชี้แนวทางไปยังเป้าหมายหลักที่ตั้งใจ
ดีไม่ดีพอจุดติด พี่แกอาจไปเป็นตัวตั้งตัวตีจัด E-Sport ต่อ กับเกมส์ที่ซื้อมาจากค่ายต่างๆ ด้วยก็ได้ เพื่อกระตุ้นผู้ใช้ในระบบให้มี Activity ตลอดเวลา หากินได้หลายทางแบ่งกันไปกับบริษัทในเครือ ได้ทั้งขึ้นและล่อง สบายไป
Bandai ก็ผูกขาด Gundam ส่วน Nintendo ก็ผูกขาด Mario, Zelda บลาๆๆ ทำไงดี
ผมมองว่าดีลนี้ มันก็เป็นตัวเร่งการทำลายล้างตลาด (disrupting) ที่มันจะทำให้ผู้คนล้มตายกันถ้วนหน้า แล้วสุดท้ายคนที่จะเป็นใหญ่ได้ก็จะมีแค่ MS เจ้าเดียว ทุกคนก็จะเสียกันหมด รวมทั้งคนเล่นด้วย (ฮา)
ส่วนเรื่องที่ทำไมหน่วยงานต้านการผูกขาดต้องมาเน้นที่ Sony ที่เป็นเจ้าตลาดเดิม เพราะว่าเค้าเป็นคู่แข่งไงครับ ถ้าคู่แข่งตายจากการบีบให้ตายแบบนี้ การแข่งขันก็จะหายไป แน่นอนว่าถ้าคู่แข่งตายเพราะตัวเองห่วยเองมันก็ทำอะไรไม่ได้ใช่ไหมครับ แต่นี่คือฉันจะใช้เงินทุ่มตลาดเพื่อให้คู่แข่งตายแบบสิ้นซาก แบบนี้ไม่ดีต่อตลาดแน่นอนละ
ผมคิดว่า ถ้าเรามองแค่ว่าอะไรก็ได้ แค่ทำให้เราต้องจ่ายเงินน้อยที่สุด ก็ถือว่าดีกับเรา มันก็เป็นการเห็นแก่ตัวอย่างนึง เพราะเราคิดถึงแค่ในมุมของตัวเราเองไง แต่ถ้าแบบเรามองว่าวงการเกมคือ คนเล่น คนทำเกม คนทำสื่อ ฯลฯ ผมว่าการหาตรงกลางที่ทำให้ทุกคนอยู่ได้มันย่อมเป็นประโยชน์มากกว่า
ผมว่ามันไม่ใช่เรื่อง sony แข่งไม่ได้นะ หลายๆอย่าง sony ทำตัวเองด้วยซ้ำ เช่น การจัดการเรื่อง resale, ขึ้นราคาคอนโซล, ไม่ยอม day-1 เกม 1st party ในบริการ PS+ ทั้งที่ค่ายตัวเองมีเกมแม่เหล็กเต็มไปหมดแล้วก็เป็นเกม Ex ด้วยแถมตอนนี้ก็ยังเป็นเจ้าตลาดอีก เกมที่ Sony ดูจะกังวลคือ COD ที่คนจะย้ายไปเพราะต่อให้ลงพร้อมกันก็เจอ Gamepass แต่คือถ้าสู้ไม่ได้เพราะอยากนอนกินเหมือนเดิมผมว่าปล่อยให้ตายไปก็ได้นะ
การไม่เอาเกมลง Day-1 ของ PS+ นี่คือนอนกินหรือเปล่า ? ต้องมองกันที่รายได้หลักของเกมอยู่ที่ Day-1 เพราะมันเป็นช่วงที่คนซื้อเกมครับ ถ้าหลุดช่วงประมาณสองอาทิตย์แรกไปคนซื้อจะลดลงมาก ๆ ตรงนี้คือจุดที่ PS+ นำมาใช้ เพราะมันเป็นจุดที่คนไม่ค่อยซื้อเกมกันแล้ว คือมั่นใจแล้วว่าคนไม่ซื้อชัวร์ ถึงเอามาแจกสร้างกระแสรอบสอง จะมองว่าเป็นของแถมจาก PSN ก็ได้
เราถึงเห็นเกมที่เอามาลดราคา 80-90% กันหลังขายไปแล้วหลายปี เพราะมันเป็นช่วงที่คนไม่ซื้อกันแล้ว คนมีกันหมดแล้ว ยอดตรงนี้มันไม่สูง มันเป็นการเอามาใช้ทำตลาดโปรดักต์ตัวอื่นของบริษัทมากกว่า
แต่ถ้าเอามาแจกแต่แรก ที่ราคาตกเดือนละสามร้อยบาทต่อเดือน ( = เศษเงินในกลุ่ม AAA) เนี่ย จะทำรายได้แค่ให้เท่าทุนก็ไม่ง่ายแล้วครับ เพราะปรกติคนเล่นเกมก็เล่นกันจบตั้งแต่เดือนแรกนี่ล่ะ
ดังนั้นผมจึงมองว่าการเอาเกมใหม่มาให้เล่นในสตรีมมิ่งตั้งแต่ day-1 เป็นการทุ่มตลาดของ MS ครับ และน่าจะขาดทุนเละมาก แต่มองไกล ๆ ว่าสักวันมันจะทำกำไรได้ (ได้ยังไงก็ไม่รู้) เค้าเลยกล้าทำ เหมือนพวกตลาด delivery ที่ขาดทุนยาว ๆ และยังไม่มีแสงสว่างปลายอุโมงค์ จะให้ค่ายอื่นยอมโดดลงมาก็ต้องหาเงินจากที่อื่นมาโปะน่ะครับ
ถ้าเอามาให้เล่น Day-1 โดยเก็บค่าบริการรายเดือน $100 นี่ผมว่าเป็นไปไดครับ เพราะมันอาจจะทำกำไรได้
ทั้งนี้เชื่อว่าถ้า MS ทำสำเร็จจริง Sony น่าจะไม่ตาย แต่เจ็บหนักพอสมควร คนที่จะเละจริง ๆ คือพวก Indie Publisher รายย่อยๆ มากกว่าครับ เพราะพวกนี้ไม่น่ามีสายป่านยาวพอจะไปสู้ได้ (อย่าลืมว่าพอ Gamepass ราคา $10 แล้ว คนเล่นก็ไม่ซื้อเกมเพิ่มละครับ)
ก็เหมือนกับทำไม Netflix กับ Spotify ถึงทำตลาด Indie ตายกันหมดนี่ล่ะ
ไม่น่าเป็นประเด็นครับ
ค่ายเกมเกิดใหม่ตลอดอยู่แล้ว เอาจริงๆ พวก บ. ใหญ่ๆ นี่พัฒนาช้า
เพราะติดขั้นตอนการทำงานแบบบริษัท สู้ dev เล็กๆ ไม่ได้
ถึงบริษัทใหญ่ควบรวมกิจการ ก็ไม่ได้ส่งผลให้ค่ายเล็กหากินลำบาก หรือเกิดยากขึ้น (เพราะ pitch ไปพวกก็ไม่เอาอยู่ดี)
อย่างเมกาก็ขยันสร้างค่ายมาให้พวก บ. ซื้อ คุณภาพเกมก็พัฒนาขึ้น มีการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้มาขึ้น
แนวคิดแปลกๆ ในการสร้างเกมก็ไม่ได้หายไปไหน ค่ายอินดี้ก็เกิด (และปิดตัวลง) อยู่ตลอด
ค่ายเกมเกิดใหม่ตลอด แต่ค่ายที่ขึ้นมาระดับออกเกมรายปีได้แบบ Activision หรือ EA มันไม่ได้มีบ่อยๆ นะครับ
อย่าง Ms ซื้อ ActBliz แล้วทำให้เกม exclusive ลงเฉพาะเครื่องตัวเองจริงๆ ผมว่ามันก็เรื่องใหญ่แหละ ซึ่งก็ถูกที่เขากังวลอย่างตอน Ms ไปซื้อ Bathesda ก็ไม่มีใครตั้งแง่อะไร แต่อันนี้เพราะดันเป็น ActBliz ที่มี Call of Duty น่ะครับ
ถ้าไปซื้อ EA ก็น่าจะมารูปเดียวกัน ผมว่าก็ดีแล้วที่เขาออกมาแสดงความกังวล
ที่ผมสงสัยก็คือ Activision Blizzard มันยิ่งใหญ่ขนาดถ้าให้ไปจาก Sony จะเสี่ยงที่จะทำให้ Sony ล้มหายตายจากอย่างมากเลยเหรอครับ
ปกติผมต่อต้านเรื่องการผูกขาดนะ อย่างเคส Epic vs Apple ผมเป็นส่วนน้อยที่อยากให้ Apple แพ้ด้วยซ้ำ (พูดให้ถูกคือเชียร์ให้แพ้คู่ 55+) แต่เคสนี้ผมรู้สึกว่ามันเล่นใหญ่เกินเบอร์ไปมากเลยยังไงไม่รู้
ปีที่แล้ว Microsoft ซื้อ Bethesda ราคา 7.5 พันล้านเหรียญ ส่วน Activision Blizzard จะซื้อในราคา 68.7 พันล้านเหรียญ ต่างกัน 9 เท่า ยิ่งใหญ่พอไหมครับ หรือถ้ายังนึกภาพไม่ออก แค่เพิ่มเงินอีก 30 พันล้านเหรียญจากดีลที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ Microsoft สามารถซื้อ Sony ได้เลย ไม่ใช่แค่แผนกเกมนะ แต่คือได้ Sony ทั้งยวง
ซึ่งเงินจำนวนนี้ MS จ่ายเป็นเงินสดทั้งหมดยังแค่คันๆด้วยซ้ำไป
ส่วนตัวผมคิดว่ามูลค่าของดีลมันไม่ได้ตอบคำถามของผมเท่าไหร่นะครับ คือผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าการที่ดีลมันราคาสูงมันจะส่งผลเสียต่อ Sony ร้ายแรงมากแค่ไหนถ้าไม่มีเกมในเครือนี้อยู่ใน PS น่ะครับ
แน่นอนว่าหากเกมเครือนี้มีแค่เฉพาะ XBox เท่านั้น ผู้เล่นที่อยากเล่นเกมเครือนี้ก็ต้องไปซื้อ XBox แทน PS แน่นอน ซึ่งจะทำให้ MS ได้เปรียบ Sony เรื่องนี้ผมเข้าใจดี เพียงแต่ผมไม่รู้ว่ามัน "มากแค่ไหน" จนถึงขั้นต้องล้มดีลนี้ให้ได้ขนาดนั้นครับ
เกมดัง ๆ ที่ค่ายนี้ถืออยู่ครับ
World of Warcraft
Call of Duty
Diablo
Overwatch
Hearthstone
Candy Crush
Starcraft
Crash Bandicoot
Warcraft
Heroes of the Storm
Tony Hawk’s Pro Skater 1 + 2
Spyro series
Sekiro: Shadows Die Twice
ข้างบนได้บอกรายชื่อของเกมเด่น ๆ ใน Activision Blizzard ไปแล้ว
ทีนี้อย่าลืมว่าตอนนี้ Microsoft มี Bethesda อยู่ก่อนแล้ว ทำให้เมื่อรวมเอา Starfield ที่ประกาศแล้วว่าจะลงแค่ PC และ Xbox
หรือถ้าเกมตระกูล The Elder Scrolls หรือ Fallout เกิดลงเฉพาะ PC และ Xbox อีกด้วย
ทีนี้ลองคิดดูว่า ถ้า GamePass หรือ Xbox รวมเอาเกมของ Activision Blizzard เข้าไปด้วยอีกถึงตอนนั้น Sony ก็อยู่ยากแล้วครับ
ขอบคุณสองความเห็นด้านบนครับ
ขนาดไม่ใช่คนเล่นเกม ยังเคยได้ยินเกมทื่ว่ามาเกินกว่าครึ่งเลย แล้วมันก็ไม่ใช่เกมแนวเดียวกันที่กลุ่มลูกค้าเดียวกันเสียอีกด้วย (รึเปล่าหว่า?) ถ้าทั้งยวงนั้นไม่ลง PS เลยก็น่าจะเจ็บหนักไม่น้อย
แน่นอนว่าจะทำสัญญาว่าจะลงอย่างที่ Microsoft ทำอยู่หรือบังคับว่าห้ามกีดกันอะไรทำนองนี้มันก็พอได้อยู่ แต่อันนั้นมันเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ถ้าป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆด้วยการไม่ให้ซื้อก็จะเป็นการดีกว่าตามชื่อ "ป้องกัน" การผูกขาด
รอให้ sony ซื้อ ea ละกันได้ทั้ง apex และ bfปล.sony จะเจ๊งทำตัวซะส่วนใหญ่ หยิ่งผยองว่ากูแน่อยู่มานาน แถมพักหลัง woke มาก
ก็ปกตินะ เคสไหนๆ กว่าจะรู้ตัวก็โดนผูกขาดไปเรียบร้อยคนส่วนใหญ่ก็อคติบังตาทั้งนั้น
บริษัทนโยบายดีหรือไม่ดี ใช่ว่ามันจะไม่ผูกขาดในอนาคต
นโยบายการเข้าซื้อมันก็แค่การใช้เงินแก้ปัญหา อย่าไปห่วง MS มันมากนักเลยต่อให้ซื้อไม่ได้ มันก็ไม่ได้กระจอกขนาดจะเสียแต้มต่ออะไรกับ sony ขนาดนั้น
ดีลนี้ถ้ามองในระยะยาว สภาพการแข่งขันจะลดลง และ Sony จะแข่งยากขึ้น
สุดท้ายผลกระทบจะกลับมาที่ผู้ใช้ทั้งตลาด