คดีระหว่างออราเคิล-กูเกิลเดินทางมาถึงข้อยุติ (ในศาลชั้นต้น) เมื่อผู้พิพากษา William Alsup ตัดสินประเด็นสุดท้ายว่ากูเกิลไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ Java API ของออราเคิลแต่อย่างใด
(ข่าวเก่าสำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามคดีนี้ สรุปความคืบหน้าคดี Oracle vs Google และ คณะลูกขุนตัดสิน กูเกิลไม่ละเมิดสิทธิบัตรออราเคิล )
คำตัดสินของผู้พิพากษา Alsup คือ "ตราบเท่าที่โค้ดที่ใช้สร้าง API นั้นต่างกัน ทุกคนมีเสรีภาพในการเขียนโค้ดที่ให้ได้ผลลัพธ์ออกมาเท่ากับฟังก์ชันหรือเมธอดที่ใช้ใน Java API"
ผู้พิพากษา Alsup เทียบเรื่อง API กับห้องสมุด โดยเปรียบ API แต่ละชุดว่าเป็นเหมือนชั้นหนังสือ และภายในมีหนังสือจัดวางอยู่ สำหรับกรณีนี้ Java และ Android จัดหนังสือเข้าชั้นโดยใช้มาตรฐานเดียวกัน แต่หนังสือภายในชั้นแตกต่างกันไป
ส่วนประเด็นเรื่องโค้ดของ Android ทางผู้พิพากษาระบุว่า 97% ของโค้ดที่ถูกฟ้อง (ใน API 37 ตัว) เป็นโค้ดที่กูเกิลพัฒนาขึ้นมาเอง ส่วน 3% ที่เหลือมีความซ้ำซ้อนกันแต่เป็นเรื่องของการตั้งชื่อตัวแปร แพกเกจ เมธอด คลาสที่เหมือนกัน ซึ่งผู้พิพากษาบอกว่าการเขียนโปรแกรมให้ทำงานร่วมกับ Java API ได้ (ซึ่งทำได้ตามที่ตัดสินไปแล้ว) ย่อมถูกบีบให้ต้องประกาศเมธอดตามแนวทางนี้อยู่แล้ว
ดังนั้นกูเกิลละเมิดโค้ดของออราเคิลจริงๆ แค่ 2 ส่วนคือ 9 บรรทัดในฟังก์ชัน rangecheck() และการนำไฟล์ test ของ Java มาใช้งานบน Android เท่านั้น ค่าเสียหายสูงสุดที่ออราเคิลมีโอกาสได้รับคือ 150,000 ดอลลาร์ และในความเป็นจริงแล้วอาจน้อยกว่านี้มาก (ศาลจะตัดสินเรื่องค่าเสียหายในวันที่ 21 มิถุนายนนี้)
กูเกิลออกมาแสดงความยินดีกับคำตัดสินครั้งนี้ และบอกว่าคำตัดสินของศาลช่วยรักษาหลักการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เปิดกว้าง ส่วนออราเคิลประกาศชัดเจนว่าจะยื่นอุทธรณ์เมื่อคดีนี้สิ้นสุดครับ (ซึ่งก็ใช้เวลาอีกเป็นปี และมีโอกาสพลิกคดีต่ำ)
ที่มา - Ars Technica , The Verge
ประเด็นเล็กๆ ที่น่าสนใจของคดีนี้คือเนื่องจากเป็นคดีที่มีความซับซ้อนทางเทคนิคมาก ผู้พิพากษา Alsup จึงไปหัดเรียนเขียนโปรแกรมด้วยตัวเอง และสุดท้ายเขาลองเขียนฟังก์ชัน rangecheck() ด้วยตัวเองว่ามันมีโอกาสเหมือนกันได้แค่ไหนด้วย
Comments
ย่อหน้าสุดท้าย สุดยอดมากท่านผู้พิพากษา
ข่าวต่อไป
ผู้พิพากษาคนเดิมเขียน OS ตัวใหม่เสร็จแล้ว เล็งเบียดแอนดรอยด์ตกกระป๋อง
ส่วนตัวแล้วไม่ชอบแนวทางของ Google แต่สำหรับเรื่องนี้ ผู้พิพากษาเยี่ยมมากครับ
นับถือจริงๆ ผู้พิพากษาตั้งใจไปหัดเขียนโปรแกรม เพื่อตัดสินคดีนี้ผู้เกี่ยวข้องด้านกฎหมายคอมพิวเตอร์ของไทย จะมีใครเขียนโปรแกรมได้ซักคนไหมหนอ
ชอบประโยคนี้มาก
และ ชอบประโยคสุดท้าย ที่ ไปหัดเขียนโปรแกรมเอง แบบนี้ยุติธรรมดี
เป็นแนวทางเทียบเคียงเรื่อง reverse engineeringได้เหมือนกันนะเนี่ย
ประโยคสุดท้ายนี่ stunt ไป 3 วิมาตรฐานช่างแตกต่างกับบางประเทศซะนี่กระไร
อึ้งเหมือนกันครับ :) บ่งบอกว่าผู้พิพากษา ท่านสนใจจริงๆ
เรื่อง programming ไม่ลองทำจริงมันก็ไม่รู้ครับ ว่าความจริงมันเป็นอย่างไร
ขนาดผมเขียนโปรแกรมมานาน บางทียังไม่แน่ใจเลยครับว่า program ที่ตัวเองเขียนจะมี output อย่างที่คิดไว้หรือเปล่า
ต้องลองส่งไปดูแลเว็บ อิอิ
stun เขียนแบบนี้ครับ
{$user} was not an Imposter
ผู้พิพากษาประเทศเขามีเวลาว่างขนาดไปเรียนเขียนโปรแกรมได้
โลกหมุนไปเรื่อยๆ น่ะครับ ผู้พิพากษาก็ต้องปรับให้ทันกับโลกด้วย ถือเป็นการทำงานครับ ไม่ใช่เวลาว่าง
+1
ผิดถนัด กรณีนี้ไม่ใช่ "การใช้เวลาว่าง" เพื่อเรียนเขียนโปรแกรม แต่การเรียนเขียนโปรแกรมคือ "การทำงาน" เพื่อความเข้าใจในรูปคดี และสามารถวิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้อง
ถูกต้องครับ
ถ้าเทียบกับการหาเวลาเพื่อทำความเข้าใจในคดีที่ตัวเองต้องตัดสิน
แม้เป็นคดีเครื่องสำอาง ศาลอาจต้องไปฝึกแต่งด้วยซ้ำ
ก็ยังดีกว่ามาตัดสินในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้เรื่องแบบผ่านๆแล้วผลลัพธ์มันมาตกลงที่ผู้ต้องหาผิด ทั้งที่มีเงื่อนงำแปลกๆ
ทุกคนในโลกมีเวลาว่างหมดล่ะครับ
คนไม่ว่าง คือคนที่บริหารจัดการเวลาได้ห่วย
แค่นั้นเอง
ข้อความนี้ไม่ได้ถูกต้องทุกกรณี
ทำไมไม่บอกล่ะครับ ว่ากรณีไหนบ้าง
ไม่จำเป็น คนในบลอกนี้มีสติปัญญา คิดเองได้
ผมขอหยาบคายนิดนึงนะครับ
ผมเห็นคุณชอบตอบอะไรแบบ "ตีขลุม" คือ ... สักแต่ตอบเหวี่ยงแหไป ใช้คำตอบกว้าง ทำเหมือนว่าตัวเองรู้เยอะมาก แต่ไม่มีสาระอะไรในคำตอบ ไม่มี fact / ไม่มี statistic / ไม่มีอะไรเลย
เห็นพยายามโชว์กึ๋นมาตลอดข่าว จู่ๆ ทำไมไม่อยากตอบซะล่ะครับ?
พยายามโชว์กึ๊นอะไรหรือ ก็แค่แสดงความเห็นแค่นั้นเอง ความเห็นที่ไม่ได้ไปในแนวทางแบบพวกคุณ ก็แค่นั้น คุณไม่ต้องตอบไม่ต้องสนเลยก็ได้นี่ Don't feed the troll. ลืมแล้วหรือที่นี่ไม่ใช่สถานที่จะมาโชว์อะไร ทำแล้วได้อะไร ความภูมิใจ ความสะใจหรือ ไม่เห็นจะได้อะไรเลย ไม่มีใครรู้จักกัน ยกเว้นพวกคุณเอง ก็แค่เสนอมุมมองที่ต่างจากพวกคุณแค่นั้นเอง แล้วก็ไม่ได้คิดจะเถียงเอาชนะอะไรด้วย
ก็ขอยำ้ว่าคุณไม่ต้องมาสนใจมาตอบเสียดสีตามแบบของคุณก็ได้ในเมื่อมันไม่มีประโยชน์ทั้งต่อตัวคุณและคนอื่น คอมเม้นก็มีแค่วันละ8 จะเสียมันมาเสียดสีทำไม
ส่วนคำตอบที่คุณคิดว่าตีขลุมน่ะมันเป็นเรื่องที่ใครๆเขาก็รู้กัน ไม่จำเป็นต้องอธิบายละเอียด คนเก่งอย่างคุณหาความรู้ได้เองอยู่แล้ว ไม่ต้องสอนหนังสือสังฆราช
อีกอย่างประโยคตีขลุมที่ยกมาก็ไม่จำเป็นต้องตอบแบบเฉพาะเจาะจงอยู่แล้ว ยกตัวอย่างไปทำไม อย่างไรคุณก็เชื่อว่าคุณคิดถูกอยู่แล้ว เสียจำนวนคอมเม้นเปล่าๆ
คอมเมนต์ผมไม่จำกัดครับ
คุณจะบอกว่าไม่ได้พยายามโชว์กึ๋น แต่พอเห็นใครตอบอะไรก็ไปขัดเขา บอกว่าไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ถูกต้องเสมอ ยังมีจุดผิด ฯลฯ แต่พอมีคนถามคุณ คุณก็บอกว่าคนอื่นเค้ารู็กันหมดแล้ว
เยี่ยมมากครับ ผมจบกับคุณแล้วครับ ไม่สนุกเลย
พวกคุณนี่ขัดไม่ได้หรือ ต้องตอบไปทางเดียวกันหรือ ไม่สนใจความคิดแนวอื่นหรืออย่างไร
แล้วเวลาคุณถามน่ะอยากได้คำตอบหรืออยากไล่ต้อนล่ะ คำถามคุณมันแสดงเจตนาโจ่งแจ้งมาก
อยากโชว์ภูมิไล่ต้อนนักหรือ. เดี๋ยวตอบแบบที่คุณอยากให้ตอบก็ได้เอาไหม. คุณจะได้สบายใจหายหงุดหงิด
ถามทำไมครับ แค่นี้คิดเองไม่ได้หรือ ผมว่าสติปัญญาระดับคุณสามารถหาคำตอบได้ด้วยตัวเองอยู่แล้วครับ
ข้างบนผมตอบแบบคุณครับ ไม่รู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไร แต่ถ้ารู้สึกแบบผม ผมก็อยากให้คุณจำเอาไว้ครับ จะได้ไม่ตัดบทการสนทนาแบบนี้อีก
ผมไม่ได้ไล่ต้อนครับ ผมก็ถาม-ตอบกันกับสมาชิกทุกท่านแบบนี้
ผมสังเกตุดูว่าคนที่บอกว่าผมกำลังไล่ต้อน เพราะเค้าหาเหตุผลมาหักร้างไม่ได้ ก็หาว่าผมไล่ต้อน
ส่วนคำถามที่ว่า "ที่นี่ขัดไม่ได้เหรอ?" ผมไม่ได้บอกอย่างนั้นเลยครับ แต่ผมเห็นคุณพยายามขัดทุกคน เหมือนคุณรู้ว่ามันมีคำตอบที่ดีกว่าในใจ
แต่พอผมถามถึงคำตอบที่คุณเก็บเอาไว้ ... คุณกลับบอกว่า "ผมไล่ต้อน"
ผมหยาบคายน่ะผมรู้ตัวครับ แต่คุณรู้ไหมว่าคุณก็เป็นคนที่ไม่มีมารยาทในการสนทนา
โอเค ... คุณบอกว่ามันเป็นสิทธิที่คุณจะขัด จะไม่ตอบ .. ผมก็มีสิทธิจะถามไม่ใช่หรือครับ?
อันนี้ไม่ได้ถาม แค่เปรย เปรยแปลว่าอะไร หาดูในกูเกิลนะจ๊ะ
คุณจะตอบก็ได้ไม่ตอบก็ได้ แต่คุณต้องมาต่อล้อเพราะคุณอยากเอาชนะ ใช่ไหมพ่อหนูน้อย
เวลามีคนไม่เล่นตามเกมคุณ ดูคุณหงุดหงิดมากเลยนะ
ประโยคห่วยๆอันนั้นน่ะคุณจะยกมาถามหาตัวอย่างทำไม คุณถามตัวถามใจคุณดูสิ
ในโลกนี้ไม่มีใครจะมาเป็นลูกไล่คุณง่ายหรอก คนเขามีมือมีเท้ามีความคิดกันทั้งนั้น
ถ้าคุณมีมารยาท การสนทนาก็จะเป็นไปด้วยความมีมารยาท แต่ถ้าคุณประชดเสียดสีมาก่อน มันก็อย่างที่เห็น
คุณเป็นคอนทริบิวเตอร์ อยากได้อะไรก็ต้องทำตัวอย่างให้คนอื่นทำตาม คุณต้องมีความอดทนมากกว่าคนอ่านธรรมดา
ไม่ใช่ทำตัวเป็นขาใหญ่ประจำซอย คอยไล่ต้อนคนที่คุณหมั่นไส้. อย่างไรก็ดีมันก็แล้วแต่คุณจะเลือก
contributor แปลว่าเคยเขียนข่าวให้ Blognone ครับ ไม่ได้มีสิทธิอะไรมากกว่าคนอื่นนอกจากการแสดงความเห็นได้ไม่จำกัด จะพยายามทำให้ตัวเองดูเหมือนถูกรังแกทำไมครับ ... ลูกไล่ ลูกนั่น ลูกนี่ อะไรไม่รู้นะครับ ดูเหมือนพวกตีโพยตีพาย ลากออกนอกเรื่องไปเรื่อยๆ ชักแม่น้ำทั้งห้า
สิ่งที่ผมต้องการมีแค่อย่างเดียวครับ คือต้องการคำตอบ ที่คุณตอบเป็นคำถามปลายเปิดเอาไว้
ถ้าไม่ให้บอกว่าไม่ให้ ผมจะจบครับ ไม่ใช่บอกว่า "คนนั้นก็รู้ คนนี้ก็รู้" .... แต่ผมไม่รู้ครับ ถ้ารู้คงไม่ถาม ถามแล้วดันวกไปวนมา ผมก็ถามต่อ พอผมถามต่อ กลายเป็น contributor รังแกสมาชิกซะงั้น
เอาเป็นว่าผมยอมรับว่าไล่ครับ ไล่จริงๆ ก็เพราะอยากได้คำตอบ ซึ่งลากมาเกิน 10 ความเห็นแล้วก็ไม่ได้คำตอบ
ฉะนั้น ... ผมจบก็ได้ครับ เราสองคนจะได้ออกจากวังวนตรงนี้ซะที
คุณก็ยังวนที่เดิมอยู่อีกนะ. ตกมาตั้งกี่หน้าแล้วคุณก็ยังวนอยู่อย่างเดิม
คุณเข้าใจประเด็นที่สื่อถึงคุณไหม ลองอ่านให้ดีๆ
แต่ก็OKที่คุณยอมรับว่าหยาบคายกับไล่ต้อน
ตกลงว่าจะบอกได้รึยังครับ ที่คุณบอกว่า "ก็ไม่ใช่ทุกกรณี" มันมีกรณีไหนบ้าง
ผมถามเพราะผมไม่รู้ครับ ผมค้นหาแล้วก็ไม่เจอ
ถ้าไม่ตอบขอสั้นๆ คำเดียวครับ
สงสัยคุณจะไม่เข้าใจนะว่าที่เขียนมาตั้งใจจะบอกอะไรคุณ
แต่ว่าคุณน่ะหมกมุ่นยำ้คิดยำ้ทำมากไปหน่อยนะ. รู้สึกบ้างไหม.
คุณเป็นคนเก่งหัดเขียนโปรแกรมได้เองตั้งแต่นั้นมา ม.1 คนทั่วไปทำไม่ได้หรอก เรื่องแค่นี้คุณอย่าทำแกล้งโง่ไปเลย. คุณฉลาด คุณเก่ง คุณรู้ดีอยู่แล้วหัดขี่จักรยานคุณก็ยกตัวอย่างชัดแจ๋วเลย
เอาเถอะถ้าคุณสนใจมันมาก คุณก็ลองพิสูจน์มาให้ดูหน่อยสิว่าตรรกอันนี้เป็นจริงในทุกกรณี
ผมเดาเอาไว้แล้วครับว่าคุณต้องตอบแบบนี้
ผมเดาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
ถ้าไม่รบกวนเกินไป เข้าไปดูที่ลิงค์นี้ นะครับ คห.สุดท้าย
จะได้รู้ว่าผมเดาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน รบกวนดูวันเวลาของโพสท์ผมด้วยครับ จะได้รู้ว่าผมไม่ได้พูดลอยๆ เหมือนที่คุณชอบทำ
ผมไม่ต้องการคำตอบแล้วครับ ผมแค่จะพิสูจน์ว่าเรื่องของ "การใช้สิทธิ" มันมีอยู่จริง เหมือนที่คุณใช้ "สิทธิในการแสดงความปัญญาอ่อน" น่ะครับ
ผมเด็ก ผมหยาบคาย ผมชอบไล่ต้อน ผมเกรียน / คุณปัญญาอ่อน เอิ๊กๆ
ผมไปละครับ
ลบจ้า
คุณไม่ได้รู้อะไรหรอก คุณแค่อยากขวางคลอง คิดว่าเท่
May the Force Close be with you. || @nuttyi
รู้สึกว่าจะมีคนสนใจอยู่นะ ตกมาหลายหน้าแล้วยังมีคนมาตามอ่านตามคอมเมนต์อีก นึกว่าจะเหลืออยู่แค่สองคน
ยังมีคนมีความคิดอย่างนี้อีก. จะเท่ไปทำไมหรือ ในโลกที่ไม่มีคนรู้จักตัวตน ความเท่มีคุณค่าด้วยหรือ
จะวิจารณ์ใครก็ให้ตรงประเด็น ไม่งั้นคำวิจารณ์ของคุณมันก็ไม่มีพลัง
งั้นข้อความนี้ผมเอาไปแปะเท่ๆ ที่ไหนก็ได้ครับ
พอมีคนถามผมก็ตอบว่า ไม่จำเป็น ฉลาดก็ไปคิดเอาเองสิ
ดีเนอะ ไปหาว่าเค้าพูดผิด แต่ไม่บอกว่าผิดยังไงให้คิดเอาเอง
May the Force Close be with you. || @nuttyi
1 ถ้าคุณจะเอาใช้ด้วยก็ยินดี
2 มีคนคอมเมนต์อย่างนี้มาก่อน ค้นดูสิ มีตัวอย่าง ไม่เห็นประหลาดตรงไหนเลย
3 เรื่องนี้ทำความเดือดร้อนรำคาญใจให้คุณมากเลยหรือ ก็แค่คนที่คุณไม่รู้จักคนหนึ่ง ไม่มีตัวตนในโลกของคุณด้วยซ้ำ มาเขียนสิ่งที่ขัดตาคุณก็แค่นั้น มันกระทบอะไรคุณหรือ ช่วยอธิบายหน่อย แต่ถ้าไม่อยากอธิบายก็ไม่เป็นไร แต่ดูพวกคุณหมกมุ่นกับเรื่องไร้สาระชอบกลอยู่นะ
ก็ถ้าคุณคิดว่ามันไม่กระทบ แล้วจะมาตอบเป็นวักเป็นเวรทำไมล่ะครับ
พูดจาปัญญาอ่อน เวลาด่าคนอื่นน่ะดูตัวก่อนครับ
อ่อ .. ผมไม่ได้ด่าใครนะครับ ไม่ได้ลงชื่อเอาไว้ ปัญญาอ่อน เอิ๊กกกกกกก
ไม่มีอะไร คุยเรื่องไร้สาระกับคุณไปวันๆ ก็เพลินดี
คนปัญญาอ่อนย่อมเข้าใจในคนปัญญาอ่อน คุณว่าไหม แบบจะคุยเรื่องปัญญาอ่อนอย่างนี้ไม่รู้จะคุยกับใคร ก็ได้แต่คุยกับคุณนี่แหละ แหมหมดคนคุยซะแล้ว
อ่าน Jusci เรื่องอัจฉริยะสักหน่อยก็ดีนะ
อ่านแล้วครับ ผมลงความเห็นไปแล้วด้วย
ผมถือว่าผมจบแล้วนะครับ งวดนี้ผมแพ้เพราะตบะแตกก่อน
ตอนนี้จับมือสงบศึกก่อน โอเคมั้ยครับ?
โอ ขอโทษด้วย ว่าคุณกลับคืนไปในความเห็นข้างบนแล้วล่ะ
อันนี้ขอโทษจริงๆ เดี๋ยวคุณอย่าเพิ่งไปคอมเมนต์ทับ. ขอไปลบความเห็นก่อน
เฮ้ย จะสนใจทำไมครับ ไม่ต้องไปลบหรอก
กัดกันแป๊บๆ เดี๋ยวก็เพื่อนกัน แต่ก่อนผมฟัดกับ Thaina มากกว่านี้อีก
ด่าผมด่าได้เลยครับ ผมไม่ถือ ขอแค่ว่าบอกเหตุผลด้วยแค่นั้นพอ
งวดนี้ผมทำตัวให้โดนด่า เพราะต้องการแหย่คุณนี่แหละ ผมไม่ขอโทษนะ แล้วก็ไม่คิดว่าคุณต้องขอโทษด้วย
กรณีนี้เป็นการทำงานชัดเจนครับ
ถ้าไม่มีเวลาว่างไปเรียนได้ไง ขอลาเรียนต่อแล้วงดพิจารณาคดีอื่นไปเลยหรือ การเขียนโปรแกรมมันไม่ต้องใช้เวลาฝึกฝน ใครเรียนปุ๊บก็ทำได้ปั๊บอย่างนั้นหรือ
ลองไปอ่่านเนื้อหาจาก link ที่เมนต์ล่างๆให้มาครับ แกจบด้าน math มาด้วยครับซึ่งแกเขียนเป็นอยู่แล้ว ด้วยภาษาอื่นๆ แค่เรียน syntax ของ java มากกว่า
ว่าแต่......แล้วมันไม่ดีตรงไหนครับ ที่ทำความเข้าใจเรื่องที่จะตัดสินก่อน
ถ้าเทียบกับของไทยที่ให้พนักงานทะเบียนมาแสดงความเห็น แทนที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโทรศัพท์ ผมว่าของเค้าน่ายกย่องกว่ากันเยอะ
มีตรงไหนที่บอกว่าไม่ดี
ที่จริงผู้พิพากษาควรอาศัยพยานผู้เชี่ยวชาญมากกว่า แต่กรณีนี้เป็นเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญปะทะผู้เชี่ยวชาญ ผู้พิพากษาเลยต้องหาความจริงด้วยตนเอง
"มีตรงไหนที่บอกว่าไม่ดี"
"ถ้าไม่มีเวลาว่างไปเรียนได้ไง ขอลาเรียนต่อแล้วงดพิจารณาคดีอื่นไปเลยหรือ" << ตรงนี้ครับที่คุณบอกว่าไม่ดี
ถ้าคดีนั้นจะต้องใช้เวลาเยอะ เพื่อให้เกิดความกระจ่างในการตัดสิน มันก็ควรจะต้องใช้เวลาตามนั้นครับ
ถ้าคดีล้นพอกพูนก็ต้องเพิ่มผู้พิพากษาครับ ไม่ใช่บอกว่า มีคดีอื่นๆเยอะเลยใช้เวลาสั้นๆ สั่วๆ ตัดสินส่งเดชไปเท่าที่รู้
ถึงแม้ผู้เชี่ยวชาญมาอธิบาย แต่ถ้าผู้พิพากษายังไม่สามารถทำความเข้าใจได้ชัดเจน ก็ต้องศึกษาเพิ่มเติมให้เข้าใจครับ
ประโยคที่คุณคิดว่าบอกว่าไม่ดีนั้นเป็นน่าจะเป็นการตอบความเห็นว่าอันนี้ไม่ใช่การใช้เวลาว่างแต่เป็นการทำงาน ตอบไปแล้วมันกระเด้งมาอยู่ข้างล่างไม่ตรงกับที่ตอบ
การตัดสินช้าไม่มีคู่ความฝ่ายไหนเขาชอบกันหรอก. แล้วมันมีวิธีที่จะหาความจริงหลายอย่าง เช่นบางศาลก็มีผู้พิพากษาสมทบ บางคดีก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญเพื่อที่จะได้ช่วยเรื่องความรู้ในส่วนนั้น
การที่ผู้พิพากษาไปเรียนเรื่องนั้นมาก็อาจจะดี แต่จะทราบได้อย่างไรว่าความรู้ที่ไปเรียนมาครอบคลุมแล้ว ตัดสินแล้วไม่Biasจากที่ตัวเองคิดว่ารู้พอแล้ว. อันนี้เป็นประเด็นสำคัญ
ที่คอมเม้นต์เรื่องเวลาว่างเพราะเมื่อเปรียบเทียบกับบ้านเราแล้ว สัดส่วนคดีต่อผู้พิพากษาแล้วยากที่จะหาเวลาว่างไปทำอย่างนั้นได้ จะเพิ่มจำนวนผู้พิพากษาก็ยากเพราะต้องสอบข้อสอบให้ผ่าน ถ้าสอบไม่ผ่านก็รับเข้าไปไม่ได้ แต่บางประเทศผู้พิพากษาเขาเลือกตั้งกันเข้ามาเป็น อันนี้ก็เพิ่มจำนวนได้ง่าย
คิดว่าเป็นความเห็นกลางๆ ไม่ได้ตัดสินว่าดีหรือไม่ดีแต่ก็สงสัยว่าเวลาเราจะตัดสินใจอะไรสักอย่าง อย่างซื้อบ้านเราก็ใช้วิธีหาความรู้จากผู้รู้ไม่ใช่หรือ ถ้าจะลงมือหัดสร้างแบบง่ายๆเพื่อจะมีข้อมูลตัดสินใจมันก็unusualไปสักหน่อยหรือคุณว่าอย่างไร
ผมล่าช้าในการตอบกระทู้นี้ไป 4 ปีรึนี่ประการแรกต้องเข้าใจว่าระบบศาลใน US จะเรียนกฎหมายจะต้องการปริญญาตรีสาขาอื่นก่อนจึงจะเรียนจบแล้วสอบ bar exam ได้ ตั้งกันเข้ามาเป็น เอ่อถ้าเป็นคดีนี้บอกเลยไม่ใช่ครับ
ศาลไทยส่วนใหญ่ผู้พิพากษาไม่ค่อยขวนขวายที่จะสนใจเรื่องอื่นเท่าไหร่
ถ้าจะอ้างเรื่อง Bias เขาไม่มีเกณฑ์รับผู้พิพากษาที่เคยเรียนสาขาอื่นมาด้วยหรอกครับเขาต้องการจะปรับระบบนานแล้ว
สิ่งที่ท่านพูดมันล้าสมัยเป็น 10 - 20 ปีแล้วครับ
ตอนฝึกปั่นจักรยานต้องลาออกจากโรงเรียนเลยรึเปล่าครับ?
คอมเมนต์ส่อเสียดของคุณไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก
ต้องการการเสียดสีกลับไหม
ก็คิดว่าการเขียนโปรแกรมมันเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีความยากในการเรียนรู้อยู่ ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้
แต่ถ้าคุณเปรียบเทียบกับการขี่จักรยานก็ตามใจคุณแล้วกัน
คงไม่มีคุณค่าอะไรที่จะมาเถียงกับคุณหรอก
ผมเรียนเขียนโปรแกรมเองครับ ผมเขียนตั้งแต่ ม.1 หรือ ม.2 นี่แหละ ผมก็ใช้เวลาตอนเลิกเรียนหลัง 5 โมงเย็นมาหัดเขียน และเขียนเป็นในเวลาไม่ถึงอาทิตย์ครับ
ผมพยายามจะบอกอะไร? ผมจะบอกว่าผู้พิพากษาก็เช่นกัน ผู้พิพากษาไม่ใช่ 7-11 ที่ทำงาน 24 ชม. อาทิตย์ละ 7 วันครับ ถ้าแบ่งเวลาจากการดูหนัง ฟังเพลง ท่องอินเตอร์เน็ต เอาเวลามาเขียนโปรแกรม ทำไมจะไม่สำเร็จครับ?
อีกอย่างคือคดีนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่มันจะครบ 2 ปีแล้วครับ ถ้าใช้เวลาตลอด 2 ปี หรือ 1 ปีมาหัดเขียนโปรแกรมเพื่อให้เขียนฟังก์ชันได้สัก 1 ตัว มันต้องใช้เวลาเรียนกี่ปีหรือครับ?
หัดเขียนเพื่อให้รู้แนวทางครับ ไม่ใช่จะเขียน OS มาขายแข่งกับไมโครซอฟท์
เช่นเดียวกับจักรยานครับ ไม่มีใครต้องลาออกจากงานมาปั่นจักรยานหรอก
ผมเห็นว่าผู้พิพากษาหลายๆ ท่าน พนักงานออฟฟิซหลายๆ คนก็ไปเรียน ป.โท ป.เอก รอบดึกหลังเลิกงาน ... ไม่เห็นมีใครต้องลาออกจากงาน และก็เห็นว่าส่วนมากก็เรียนจบได้ครับ
อะไรที่คุณอาจทำไม่ได้ คนอื่นอาจทำได้ .... อะไรที่คนอื่นทำได้ คนอื่นก็อาจทำไม่ได้
อย่าเอาตัวเองไปตัดสินคนอื่นครับ
อันนี้คุณพูดถูกนะว่า
อย่าเอาตัวเองไปตัดสินคนอื่น
บางอย่างคุณทำได้ง่ายๆ คนอื่นทำไม่ได้อย่างคุณก็เลยหลงคิดไปว่ามันยาก
แค่หัดขี่จักรยานแล้วจะไปเป็นกรรมการตัดสินการแข่งจักรยานได้เลยหรือ
ไม่ขัดแล้วนะ พอใจแล้วยัง
คุณก็เสียดสีผู้พิพากษาก่อนเองนะ
มีตรงไหนที่เสียดสีผู้พิพากษาหรือ.ผู้พิพากษาบางประเทศไม่ได้มีเวลาว่างมาก หารจำนวนคดีกับจำนวนผู้พิพากษาดู จะได้รู้ว่างานเขามากแค่ไหน
ใช่ครับ ผมว่าคุณพูดถูก
ลองนับคดีในอเมริกาทั้งหมด แล้วหารด้วยผู้พิพากษาคนเดียวดูสิครับ
แย่จัง ผมเสียดสีอีกแล้ว
ผมแค่จะบอกว่า อเมริกาไม่ได้มีผู้พิพากษาคนเดียวครับ เค้าก็แบ่งๆ งานกันทำ
แต่ละคนไม่ได้ทำงาน 24 ชม.ครับ
ดีแล้วคุณ เสียดสีต่อไป
ตอบถูกใจคุณไหม ไม่ขัดแล้วนะ
ผมไม่มีความสามารถพอที่จะรู้จำนวนพวกนั้นหรอกครับ ถ้าคุณรู้ก็ช่วยหารให้ดูหน่อยสิครับ อย่าอมไว้คนเดียว
เสียดายสุดๆ อดเห็น C# ไปวิ่งว่อนซะแล้วสิ
+1 555
เรื่องเทคนิคผมไม่วิจารณ์ แต่เรื่องการลงทุนไปเรียน เพื่อให้เข้าใจในการเขียนโปรแกรม ท่านสุดยอดจริงๆ ครับ
บางคนอาจจคิดไปว่าผู้พิพากษาเป็นคนมีอายุ 40-50 ขึ้นไปตอนแรกผมก็มีความคิดแบบนั้น
แต่ผู้พิพากษาที่ผมเคยพบเห็นตอนผมไปเป็นพยานในศาล ท่านก็เป็นวัยรุ่น ไม่ต่างจากผมเท่าไร่นะครับ แถมน่ารักอีกต่างหาก
แล้วยังมาถามผมในศาลนอกประเด็นว่า hotmail อ่านภาษาไทยไม่ออก ต้องทำอย่างไร
จริงครับ
ใครที่เก่งระดับยอดมนุษย์นี่สัก 20 ปลายๆขึ้นเป็นผู้พิพากษาได้ไม่ยากครับ ไม่จำเป้นว่าต้องเป็นผู้ใหญ่ 40-50 เสมอไป
+1ผมเจอแบบนางฟ้าเลยอะ
คณะนิติสาวสวยเรียนเยอะนะ แทบทุกมหาวิทยาลัยเลย
ผู้พิพากษา Geek มาก
ืืยืมตัวมาไว้ที่ไทยได้ไม่เนีย แนวอ่ะ
ในไทยเหรอ ... รู้แค่ไหน ก็ตัดสินเท่าที่มีในสมอง...
อยากให้ลองเป็น Admin เวบบอร์ดสาธารณะขนาดใหญ่ดูบ้างจัง
ไทย... ตัดสินตามเหตุผลที่ทนายบอกครับ
ตุลาการไทย ยุ่งอยู่กับงานเอกสาร ไม่ว่างเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมแน่นอน ดังนั้น ตุลาการไทยจึง "เชื่อ" แต่ "หลักฐาน" และ "พยานที่น่าเชื่อถือ" ที่ถูกทนายความของทั้งสองฝ่าย ป้อนเข้ามาเพื่อใช้ในการตัดสินใจ เอวัง
ขอนับถือท่านผู้พิพากษาเลย ^ ^)
ขอยกคำพูดของ @neizod มานะครับ
Blog | Twitter
ปัญหาข้อแรก - Browser คืออะไร ?
น่านับถือยิ่งนัก
ส่วนบ้านเรา 10 มารตฐาน :D
โรงพยาบาล
ศาล
สถานีตำรวจ
ชีวีิตนี้ ไม่ได้ไปข้องเกี่ยว เป็นดีที่ซู๊ดดดดดดดดดดดดด
ตัดสินได้ดีมากเพราะต่อไปมันจะเป็นบรรทัดฐานในการใช้ตัดสินคดีอื่นในอนาคตเลย ---> "ตราบเท่าที่โค้ดที่ใช้สร้าง API นั้นต่างกัน ทุกคนมีเสรีภาพในการเขียนโค้ดที่ให้ได้ผลลัพธ์ออกมาเท่ากับฟังก์ชันหรือเมธอดที่ใช้ใน Java API"[ขอแสดงความนับถือคับท่านศาลที่เคารพ]
ผมก็สงสัยเหมือนหลายท่านว่าผู้พิพากษาคดีนี้ทำไมถึงได้เด็ดดวงขนาดนี้ ผมมีข้อพิจารณาดังนี้ครับ
มาตรฐานผู้พิพากษาในศาลระบบ common law ส่วนใหญ่จะสูงมากครับ แล้วคดีก็ไม่ใช่ว่าจะขึ้นศาลกันได้ง่ายๆด้วยเพราะมีระบบการไกล่เกลี่ยหรือพิจารณาเบื้องต้นของฝ่ายปกครองในระดับที่ดีเป็นที่ยอมรับ ถ้าขึ้นศาลก็แปลว่าข้อพิพาทเกินเยียวยาหรือไม่ก็ฝ่ายปกครองอยากเปลี่ยนแนวการตัดสิน ผู้พิพากษาของศาลจึงต้องชั่งน้ำหนักและตระหนักกันตั้งแต่แรกว่าคดีที่ตนกำลังพิพากษานั้นมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ไม่เคยคิดเผื่อว่าเดี๋ยวก็อุทธรณ์ ฎีกากันหรอก เพราะอุทธรณ์ ฎีกาก็เป็นเรื่องยากมากๆเหมือนกัน คำพิพากษาจึงค่อนข้างละเมียดละไม หลายเรื่องเข้าขั้นวรรณกรรมทางกฎหมาย
สำหรับประเทศไทยเท่าที่ฟังมาข้อจำกัดเยอะมากในการจะทำได้อย่างนั้น หลายคนก็อ้างว่าเราเป็น civil law ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ผมก็กลับไปศึกษาคำพิพากษาศาล civil law อย่างฝรั่งเศส เยอรมัน หรือญี่ปุ่นก็ต้องยอมรับว่าน่าจะเป็นข้ออ้างเสียมากกว่าเพราะประเทศ civil law ชั้นนำเหล่านั้นก็มีคุณภาพคำพิพากษาในระดับวรรณกรรมทางกฎหมายอยู่หลายเรื่อง ประเทศไทยก็เคยเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อนแต่ตอนนี้ท่านๆเหล่านั้นเกษียณอายุหรือสุขคติไปมาก
สาเหตุจริงๆน่าจะอยู่ที่ระบบการนำคดีขึ้นสู่ศาลกับคุณภาพในการฝึกฝนผู้พิพากษา เรื่องระบบการนำคดีขึ้นสู่ศาลเป็นปัญหาหลักที่พยายามแก้ ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง ส่วนปัญหาหลังมันสะท้อนออกมาว่ากระบวนการพิจารณาคดีหลายครั้งมีจุดอ่อนช่องว่าง ข้อเท็จจริงไม่ถูกเติมเต็มตามที่ผู้พิพากษาสงสัยก็กลับไม่มีใครกล้าใช้อำนาจในการซักถามหรือเรียกพยานเพิ่มเติมเพราะถูกกล่อมต่อๆกันมาว่าจะทำให้เกิดข้อครหาเรื่องความไม่เป็นกลาง (ถ้าวิเคราะห์จริงๆมันมีเหตุมากกว่านั้นที่ศาลไม่กล้าใช้อำนาจเรียกพยานเพิ่ม) อันนี้ฟังจากอาจารย์ที่เป็นผู้พิพากษาเล่ามา ท่านก็อึดอัด ไปๆมาๆเลยมีท่านผู้กล้าในยุทธภพบัลลังก์เพียงไม่กี่ท่านแหกธรรมเนียมคร่ำครึนี้
คำพิพากษาหลายฉบับของศาลชั้นต้นเพียงแต่เขียนเหตุผลหลวมๆเหมือนนำกฎหมายมาใส่ตัวแปรเป็นชื่อโจทก์-จำเลย เพียงเพื่อให้มีช่องโหว่ในการโจมตีคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาให้น้อยที่สุดเท่านั้นเอง พอเหตุแห่งการพิพากษาไม่ถูกตกผลึกให้เป็นที่รับรู้ของสาธารณชน ความสงสัยในคำพิพากษาจึงเกิดขึ้น เมื่อแนวโน้มคำพิพากษาเป็นแบบพยายามเซฟตัวเอง+สภาพคดีล้นศาล เราจึงคาดหวังได้ยากว่าผู้พิพากษาจะใช้เวลาในการเข้ามาศึกษาข้อพิพาทอย่างลึกซึ้งเหมือนคดี google/oracle
สำหรับคดีนี้คิดว่าไม่ค่อยพลิกเท่าไหร่เพราะอ่านแล้ว API มันเหมือนรูปแบบของแนวความคิด ถ้าไม่ได้ลอกโคดก็จบ ปัญหาทำนองนี้จะกลับตาลปัตรหาก API สามารถจดเป็นสิทธิบัตรได้
อันนี้ผมวิจารณ์ในฐานะคนนอก ไม่ได้เป็นผู้พิพากษา สมมุติถ้าได้เป็นผมก็คงพูดอะไรไม่ได้ทำนองไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า อึดอัดมากๆผู้พิพากษาบางท่านก็ได้แต่มาบ่นให้นักศึกษาฟังตอนพักครึ่งเหมือนอาจารย์หลายๆท่าน
"I've written blocks of code like rangeCheck a hundred times before" - William Alsup เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2555
ถ้าเป็นศาลบางประเทศที่มาตรฐานห่วยหน่อยก็ใช้คำว่า "ศาลเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า...... " ง่ายกว่าเห็นๆเลยใหมหละ
"Those who make peaceful revolution impossible will make violent revolution inevitable." JFK.
เป็นความจริงที่เจ็บปวด...
Common law การตัดสินใดๆจะถูกถือเป็นบรรทัดฐานในคดีอื่นๆเสมอ ฉะนั้นต้องรอบคอบที่จะตัดสินมากๆครับ ผลกระทบมหาศาลเลยจริงๆ
ส่วน civil lawจะเน้นตัวบท ตัดสินตามตัวอักษร แต่การตีความและการตัดสินจะไม่ถูกยึดถือเป็นบรรทัดฐานครับ คือจะอ้างแนวทางการตีความเดิมหรือตีความใหม่เลยก็ได้เช่นกัน
น่าจะมีผู้พิพากษาแบบนี้ในไทยเยอะๆเนอะจะได้เห็นเหตุการณ์ประมาณว่า "ผู้พิพากษาได้ลองเรียนรู้วิธีการปลอมเลข IMEI พบว่าสามารถปลอมแปลงได้ง่ายจึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะนำมาใช้เป็นหลักฐานได้".....
... จะได้ไม่ส่งคนแก่ไปตายในคุกด้วย
"With the first link, the chain is forged. The first speech censured, the first thought forbidden, the first freedom denied, chains us all irrevocably."
เป็นโจ๊กที่ตลกดีครับ แต่ผมเองก็ขำไม่ออกแฮะ
ประเทศนี้มันอยู่ยากจริง T_T
อยู่ยากจริงเหรอ แวะมาแขวะนิดนึง ประเทศใดจะเสรีเท่าไทยมิมีไม่แล้ว :)
เมื่อก่อนหน่ะเสรีครับ แต่เดี๋ยวนี้ผมว่าไม่...
ปล..จะโดนไล่ไปประเทศอื่นไหมเนี้ย...
คุณไม่ใช่คนไทย ออกนอกประเทศไปพร้อม Human rights watch พร้อม Google พร้อม บลาๆๆๆๆๆ ได้เลย
ก็ดีนะ ไม่พอใจก็ไล่คนนั้น คนนี้ออกนอกประเทศไปซะหมด ยังกับเป็นประเทศของตัวเอง =_= ดีไม่ดีไอ้คนที่ไล่เคยไปเลือกตั้งกี่ครั้งก็ไม่รู้ (หมายถึง ได้ทำหน้าที่ตามกฎหมายของประชาชนแล้วหรือยัง)
http://en.wikipedia.org/wiki/William_Haskell_Alsup
William Haskell Alsup อายุ 67 ปีแล้วเจ๋งจริงทำงานจนอายุขนาดนี้ เพิ่งมาเรียนเขียนโปรแกรมตอนอายุขนาดนี้ก็สามารถเขียนได้และให้เหตุผลในการตัดสินคดีได้อย่างคนที่เข้าใจ
ชื่นชม
ใครสนใจแนะนำให้ไปอ่านเพิ่ม
Oracle v Google Judge Is A Programmer! ผ่าน Slashdot
ประเด็นที่ Oracle พยายามเน้นย้ำอย่างมากคือการที่ Google ลอกโค้ดของ rangeCheck() ไปใช้ ทำให้สามารถส่ง Android สู่ตลาดได้เร็วขึ้น แต่สุดท้ายกลายเป็นประเด็นที่ผู้พิพากษาตีกลับ โดยเห็นคล้อยกับความเห็นที่ว่า แม้แต่เด็กมัธยมปลายก็ยังเขียน rangeCheck ได้!
ขณะที่ทนาย Oracle บอกว่า...
จากผลตัดสินก็คงจะบอกได้ว่าคณะลูกขุนเห็นไปในทางไหน
ปล. เข้าใจว่าที่จริงผู้พิพากษา William Alsup ก็พอจะเขียนโปรแกรมเป็นอยู่บ้างแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หัดเขียนด้วยภาษา Java น่าประทับใจมาก
+1
ช่วงนี้ writer ที่หายไปนานก็มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
หรือจะเกี่ยวข้องกับพุทธชยันตี?
555 อันนั้นมาฆบูชาแล้วครับ
ปล.ผมเข้าใจว่าเป็นมุขนะ
เป็นมาตรฐานใหม่ของการเขียนและนำ API มาใช้เลยนะนี่
แฟนพันธุ์แท้สตีฟจ็อบส์ | MacThai.com
ปรบมือให้ผู้พิพากษา
กด Like ให้ผู้พิพากษา
เอ่อ ผมขอถามหน่อยสิครับว่า พวก code ที่เขาตอบคำถามกันตาม social.msdn หรือ stackoverflow เขาคงไม่ตามไปฟ้องคนเอาไปใช้ใช่ไหมครับ ^^
ถ้า 1976 Bill Gates ไม่ลาออกจาก นิติฯ ฮาวาร์ด ไปก่อน
ตอนนี้ก็คงเป็นผู้พิพากษาแบบท่าน Alsup นี้ ^^