คณะกรรมการยุโรป (European Commission) ออกเอกสารเพื่อขอความเห็นจากสาธารณะ (public consultation) เรื่องฟีเจอร์ของ iOS ที่ควรเปิดให้อุปกรณ์ยี่ห้ออื่นเชื่อมต่อได้ด้วย
เอกสารนี้กล่าวถึงฟีเจอร์หลายอย่างของ iOS แต่ที่สำคัญคือ AirDrop และ AirPlay ที่มุมมองของคณะกรรมการยุโรปเห็นว่า แอปเปิลควรเปิด AirDrop และ AirPlay ให้แอพหรืออุปกรณ์ค่ายอื่นๆ เข้าถึงได้ (กรณีของ AirPlay นั้น แอปเปิลเคยเปิดบ้างแล้ว )
ในเอกสารฉบับเดียวกัน ยังมีประเด็นว่าแอปเปิลควรอนุญาตให้แอพ 3rd party จากผู้พัฒนารายอื่น สามารถรันในแบ็คกราวน์ได้แบบเดียวกับแอพ 1st party ของแอปเปิลเอง
สถานะของเอกสารฉบับนี้ยังอยู่ในช่วงรับฟังความเห็นจากสาธารณะจนถึง 9 มกราคม 2025 ซึ่งแอปเปิลก็แสดงความเห็นคัดค้าน ว่าการเปิดช่องทางเหล่านี้ให้บริษัทอื่นๆ เข้าถึง จะมีความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน
ที่มา - 9to5google
Comments
ความระยำของ EU
นี่ก็คะนองคีย์บอร์ดเกิ้นน
อายุ account ก็เกือบ 20 ปี อายุคนเม้นก็ไม่น่าจะน้อยแล้วนะครับ
อนาคต
EU: ทำไมภูมิภาคเราถึงไม่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ AI ไม่เห็นไปไหนเลย แล้วทำไมมือถือภูมิภาคเราถึงสู้อเมริกา จีน ไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ออกกฎนี่นั้นตั้งเยอะ
บล็อก: wannaphong.com และ Python 3
แทนนี้จะเพิ่มฟีเจอร์ อยากให้ EU บังคับ iOS กับ andriod บังคับให้มีโหมด Feature phone มากๆ
บางวันก็อยากใช้มือถือโง่ๆ เหมือนกัน
ปิด wifi และ cellular data ดูครับ ยัฃคงรับสายโทรออก และใช้ app พื้นฐานได้ น่าจะมีความใกล้เคียงสุดแล้ว
ยังไม่ไกล้เคียงเรื่องแบตครับ 55
เปิดใช้แค่ 2G/3G ครับ
อีกหน่อยก็คงบังคับให้iphoneลงosเจ้าอื่นได้
อยากเห็น apple ถอนตัวจาก EUEU เหมาะกับ android
EU ไม่เหมาะกับ android ด้วยนะครับ ดีไม่ดี android (Google) จะโดนรายถัดไปด้วย ที่เหมาะกับ EU คือ OS ของ EU เอง ที่ทั่วโลกไม่มีใครใช้กัน
บล็อก: wannaphong.com และ Python 3
Harmony OS????พ่ามๆๆๆๆ
Sailfish OS เศร้า ไม่มีใครจำได้สักคน
บล็อก: wannaphong.com และ Python 3
ไม่ได้ยินชื่อนี้นานแล้วแหะ......
ก็มันทำแค่ในยุโรปเท่านั้น ใครจะไปจำได้ล่ะครับถ้าไม่ใช่คนเคยใช้ Nokia N9 หรือได้ยินข่าวพวกนี้มาก่อน
ตอนนี้ไปถึง Sailfish OS4 รองรับแอพจาก Android ถึง 11 แต่ไม่แน่ใจว่ามันรองรับภาษาทางเอเชีย เช่น ไทย บ้างมั้ย
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
ถ้า Apple ยอมเสียยอดขายซัก 1.2 ล้านล้านบาทก็ได้อยู่หรอก
อันนี้เห็นด้วย เพราะตอนใช้ ios แชร์ไฟล์ไปที่ windows / ubuntu / android มันไม่มีแบบมาตรฐานกลางให้เลือกเลย เช่น แชร์ไฟล์ผ่าน bluetooth ปกติ (แม้จะช้าเป็นเต่าก็เถอะ) เราต้องให้ ios อัพไฟล์ขึ้น cloud / nas ก่อนทุกครั้ง แล้วค่อยใช้ os ค่ายอื่นดึงไฟล์จาก cloud / nas อีกที รู้สึกวุ่นวายมาก =_=
ควรตัดฟีเจอร์ ที่มีปัญหากับ EU ออกไปเลย ก็ให้ก๊อปไฟล์แลกเปลี่ยนกันเองไป หรือไม่ ก็ไม่ต้องขายที่ EU ไปเลย ให้แฟนๆ สาวกไปกดดัน EU แทนถึงผมไม่ได้ใช้ Apple แต่ผมก็มองว่าบางอย่าง ถ้าเปิดกว้างไป มันจะมีโอกาสเกิดช่องโหว่ด้านความปลอดภัยได้มากขึ้น มิชยิ่งเยอะๆ อยู่
เอิ่มที่ EU ไม่มีมิช นะครับ ประเทศที่พัฒนาแล้วเขาไม่มิจอยู่แล้ว คนเมืองนอกเขารู้ สอน Cyber security
ล่าสุดมีข่าวจับแก๊งมิจญี่ปุ่นมาตั้งฐานในไทย โทรไปหลอกคนที่ญี่ปุ่น
EU นี่โจรเต็มเมืองเลยนะครับ ล้วงกระเป๋ากันให้พรึบ
มีแต่แก๊งค์ล้วงกระเป๋า
Estonia ที่ว่า e government ยังมีโดนกันเรื่อยๆ เลยฮะ 🥲
อิตาลี, ฝรั่งเศส มีเต็มไปหมดเลยนะครับ แต่คนบ้านเขารู้จักเรียนรู้การป้องกันตัวเองอะครับ แต่ก็ยังมีโดนกันบ้าง
ข่าวอัญเชิญสาวกระดับยอดมงกุฏขนเพชรมาแสดงศรัทธา
^ นี่ไงคอมเมนต์แรก
ชั้ยๆ ชื่อนี่แหละตัวจริง
ผมเห็นด้วยกับเจตนาของ EU ว่าควรมีบาลานส์ตรงนี้ แต่วิธีการอาจจะ compromise ให้เหมาะสม และ แฟร์กับคนสร้างนวัตกรรมด้วย เช่น กำนดให้มี มาตรฐานกลางเผื่อไว้ด้วยเป็น alternative option (ที่ไม่เกี่ยวกับ cloud)
ສະບາຍດີ :)
ทำไมไม่บังคับให้ iOS ใช้ feature ของ Android แทนล่ะ
Ooh
เข้าข่างขโมยหรือเปล่าครับเนี้ยถ้าทำหรือเลือกใช้ มาตรฐานกลาง แล้วบังคับให้ apple ต้องมีให้ใช้ อันนี้ยังพอเข้าใจได้ (usb-c) แต่แบบนี้จะบังคับให้ยินยอมให้คนอื่นใช้ของตัวเอง ความเห็นผม ไม่ค่อยเป็นธรรมเท่าไหร่นะ
มันอยู่ที่วิธีมองด้วยฮะ ในแง่ของที่ทาง EU พยายามเ,๋นตามที่นี่เข้าใจคือ Apple ใหญ่มากแล้ว แล้วการกักอะไรบางอย่างไว้ให้ตัวเองทำได้คนเดียวมันคือการผูกขาดตลาด คนจะดึงคนรอบข้างไปใช้มากขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่สามารถออกมาได้และในกรณีนี้ไม่ใช่ว่ามันดีจนคนจะเข้าไปใช้ แต่คนไม่มีทางเลือกอื่นที่เทียบเท่าได้เพราะ Apple ไม่เปิดช่องให้สามารถทำได้แม้แต่แอปที่ลักษณะใกล้เคียงกัน
ข้อเรียกร้องฝั่ง EU ก็ไม่ได้ดีไปทั้งหมด บางส่วนมันก็ดึงกลับมามากเกินไป มันต้องเจรจาหาจุดสมดุลย์ไปเรื่อยๆ Apple ก็ต้องยอมถอย EU ก็ต้องยอมถอย เวลา EU ดื้อไม่ถอยเลยนี่ก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน
คอมเม็นคุณภาพครับคุณ hisoft 👏
ทุกคนเป็นเจ้าของเท่ากันหมดก็สุดโต่งเกินไปจนไม่มีใครอยากทำนวัตกรรม ผูกขาดเกินไปก็เอาเปรียบคนอื่นเพราะสิ่งที่ค้นคว้ามาก็ใช่ว่าทำคนเดียวจาก 0 มันก็อาศัยใช้ความรู้ต่อยอดกันมาจากสังคมมาหลายร้อยปี
balance คือสิ่งที่สังคมมนุษย์พยายามตามหากันต่อไปครับ
ສະບາຍດີ :)
ขอบคุณฮะ
+1 ความจริงถ้าเปิดให้ใช้ Bluetooth File Transfer ปกติตามมาตรฐาน Bluetooth SIG ก็คงไม่โดนอะไร แต่นี่คือปิดไม่ให้ใช้เลย ต้องผ่าน AirDrop เท่านั้น :'(
USB-C ให้ Credit EU เต็ม
ส่วนเรื่องนี้ขอดูหน่อย
USB-C ผมมองว่ายังไงสักวันก็ apple คงเปลี่ยนหมดอยู่ดีเพื่อประหยัดต้นทุนการผลิตครับ แต่แค่ EU ไปเร่งให้เร็วขึ้นแค่นั้น
บล็อก: wannaphong.com และ Python 3
แต่ที่ตอนนั้นยังดื้อใช้ lightning เพราะเก็บค่า royalty ได้ไง ถ้า eu ไม่บังคับเป็น usb-c ก็คงยังใช้ต่อไป หรือไม่ก็ออกพอร์ตใหม่สำหรับตัวเอง แล้วเก็บค่า royalty ต่อ
ตอนนั้น Apple จะไป USB-C แต่ไปท่า USB-C with MFi (ต้องเป็นสายที่ Apple รองรับ) นี่สิ แต่ EU บอก USB-C ทั่วไปต้องใช้งานได้ด้วยถึงจะยอมครับ
สักพักก็คงบังคับ facetime บังคับ icloud ใช้ได้ทุกอุปกรณ์ บางที EU ควรขอความร่วมมือแทนที่จะเป็นสั่งนะ
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว EU ควรบอกแอปเปิ้ลต้องยอมให้ผู้ผลิตเจ้าอื่นใช้ ios ได้ แล้วบังคับให้แอปเปิ้ลใช้ Android แทน จบปัญหาเลย
แต่การที่ EU จะมาบังคับให้แอปเปิ้ลยอมให้เจ้าอื่นๆ ใช้ Airdrop/Airplay ทั้งๆ ที่ผู้ใช้ iOS มันน้อยกว่าแอนดรอยด์แทนที่จะสร้างมาตราฐานกลางหรือให้แอปเปิ้ลเพิ่มตัวเลือกไปแชร์กับเจ้าอื่น ต้นทุนค่าใช้จ่ายน่าจะต่ำกว่าการที่ต้องทำให้รองรับเจ้าอื่น ซึ่งความคิดแบบนี้ของ EU อีกหน่อยตัวต่อไปที่จะโดนก็คง AirTag/UWB ให้เจ้าอื่นใช้ iOS ไปเลยจะได้ใช้ฟีเจอร์ครบๆ แล้วให้แอปเปิ้ลไปใช้แอนดรอยจะได้สร้างฟีเจอร์ใหม่ให้มันเหมือนกันให้เจ้าอื่นได้ใช้ด้วย (ประชดประชัน)
EC เค้าไม่ได้เป็นหน่วยงานเทคที่จะพัฒนาและสร้างมาตรฐาน แล้วก็ไม่ได้ใช้การสร้างมาแข่ง ทำให้ดีกว่าแล้วคนจะมาใช้เอง แบบตอน USB-C นี่ EC ก็ไม่ได้เป็นฝั่งที่สร้างเพราะไม่ใช่หน้าที่เค้า (หรือแบบเรื่องฝาขวดน้ำต้องไม่หลุดจากขวดนี่เค้าก็ไม่ได้สร้างแค่บอกข้อจำกัด แต่อันนั้นน่าจะหลุดจากเรื่องนี้มากไป)
ส่วนตัวมองว่าการไปสร้างมาตรฐานใหม่มันค่อนข้าง อืมมม ไร้ประสิทธิภาพ อันนี้ต้องขอลิงก์มุกนั้นละกัน https://m.xkcd.com/927/ กับอย่างที่ค่อนข้างคิดว่ามันอยู่นอกแนวทางของตัวหน่วยงานไปพอควร
AirTag นี่ไม่แน่ แต่เห็นปัจจุบันก็มี tag ยี่ห้ออื่นทำงานแทนได้ระดับนึงอยู่แล้ว? Apple Network นี่คงไม่เพราะเป็นภาระ server ในคนละระดับกัน ถ้าคิดไปถึงเค้าอาจจะมองว่าแอปหาของมันก็ต้องหาของได้นี่อีกเรื่องนึงแต่ส่วนตัวไม่เห็นด้วยเท่าไหร่
แล้วพอเรื่อง Apple Network ไม่เห็นด้วยที่จะให้เกิดก็รู้สึกไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ที่จะไปบังคับแค่ตัว AirTag
UWB นี่คือยังไงนะฮะ?
ขอบคุณที่ย้อนกลับมาอธิบายเป็นวงเล็บต่อท้ายฮะ ช่วยให้กระจ่างได้ว่าอยู่หมวดไหน (อันนี้ขอบคุณจริงจังไม่ได้ประชดนะฮะ เห็นตอบมาดูเหมือนหงุดหงิดหน่อยแต่รู้สึกถึงความใจดีที่อธิบายค่อนข้างละเอียดแล้วทางนี้ก็เคลียร์ไปเยอะจริงๆ)
อ่านข่าวนี้แล้วก็นึกถึงความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นในปัจจุบัน เด็กมหาวิทยาลัยที่ยังหาเงินเองไม่ได้ ต้องขอให้พ่อแม่ซื้อ iPhone iPad ให้ เพราะเวลาแชร์ไฟล์กันในห้องในคณะหรือเวลาอาจารย์ส่งไฟล์แจกให้ในห้อง ใช้ airdrop กันหมด ถ้าไม่ใช้ก็จะลำบากต้องไป copy ไฟล์ด้วยมือเอาซึ่งมันก็ไม่สะดวก นี่คือความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นในเวลานี้
พอจะเข้าใจเจตนารมณ์ของ EU เลยนะ จะให้ไปเริ่มต้นสร้างมาตรฐานกลางใหม่ แต่ถ้า apple บอกว่าตัวเองมี eco system ที่ดีอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องไปใช้มาตรฐานใหม่มันก็เป็นไปได้
จะว่าไปเรื่องนี้มันก็ไม่แตกต่างกับเรื่องการที่ เขาต้องการให้โปรแกรม instant message ต้องสามารถใช้งานข้ามค่ายกันได้นั่นแหละ แต่แปลกใจว่าทำไมเรื่องนั้นไม่เห็นมีคนออกมาดิ้นโวยวายกัน หรือว่าเพราะว่ากรณีนี้มันเป็น apple ถึงมีคนมาเดือดร้อน กลัวเสียความเป็น exclusive ของตัวเอง
นึกถึงตอน instagram ยังเป็น iOS only แล้วเขามีแนวคิดจะไปทำ android คนใช้งาน apple ก็ออกมาโวยวายถ้ายังจำกันได้นะ ยังจำประโยคได้เลยว่าเราไม่อยากรู้ว่าคนใช้ android ทำอะไรกัน จริงๆตอนนั้นจำได้ว่ามันมีประโยคที่เหยียดกว่านี้ด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่ควรเอามาพูดซ้ำ
+1024
+1024
+1024
จำช่วงที่ไอจีจะทำแอพบนแอนดรอยด์ได้เลยครับ งงว่าเดือดร้อนอะไรกัน
+1024
+1025
+2048
อัครสาวกกลัวเสีย exclusive แหละ อันนี้ไม่น่าแปลกใจ
เอาจริงๆการ "เปิด" มันไม่ได้มีผลเสียอะไรกับคนใช้งานเดิมด้วยซ้ำ แต่มัน "ลด" โอกาศในการขายของของ Apple ลง
“ทีนี้เราก็จะได้รู้เสียที ว่าคนจนเขากินอะไรกัน“ ประโยคนี้เลย
ประโยคนี้แหละที่ผมไม่พูดถึง มันทำให้เห็นการเหยียดคนจน การแบ่งชนชั้น การคิดว่าตัวเองสูงส่ง เพียงเพราะแค่โทรศัพท์เครื่องเดียว
จากความคิดส่วนตัวเวลาค่ายที่ตัวเองใช้โดนอะไรแบบนี้ขึ้นมาก็จะเซ็งๆ หน่อยเพราะต้องเอาทรัพยากรไปจัดการเรื่องพวกนี้ก่อนที่จะไปทำอะไรใหม่ๆ แล้วอาจจะว้าวออกมาน่ะฮะ แต่ก็นั่นแหละ บางทีก็หน้ามืด
+1024 ถ้าทำให้เป็นมาจรญานเปิดไม่ได้ ก็ต้องเปิดมาตรฐานให้คนอื่นใช้ อย่าทำตัวเป็นหมาหวงก้าง
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
Tim Cook: ‘buy your mom an iPhone’
การจะเปิด Airdrop ให้ค่ายอื่นใช้ได้ด้วยคงยากแต่ถ้าจะบังคับให้ Apple รองรับมาตรฐานอื่นเช่น Quickshare อันนี้ดูเป็นไปได้มากกว่า
คนที่อยู่ใน ecosystem ปิดอย่าง Apple มายาวนาน ในกลุ่มเล็กๆ อาจจะดูเป็นเป็นการกระทำที่แปลก แต่สิ่งเหล่านี้บริษัทที่ทำสินค้าที่มีคนใช้เยอะ อย่าง Microsoft โดนมาก่อน
ในมุมหนึ่งก็ต้องมองว่าระบบ-สินค้า Apple หลายๆ ตัว ได้รับความนิยมจนมีอำนาจเหนือตลาด นำไปสู่การเปิดให้ต้องมีการเข้าถึงหรือใช้งานได้จากบริษัทอื่นๆ ด้วยเพื่อให้เกิดการแข่งขัน และไม่กีดกันการแข่งขัน
ผมว่าย่อหน้าแรกกับย่อหน้าสองขัดกันนะครับ อันแรกบอกกลุ่มเล็กๆ อันหลังบอกได้รับความนิยมผมว่าถ้าจะบังคับ ควรจะบังคับให้ใช้มาตรฐานเปิดอย่างระบบ share ที่ Android ให้ใช้มากกว่า เหมือนอย่างที่บังคับให้ iOS support การรับส่ง message ชื่อ... อะไรหว่าผมลืมชื่อ ที่เค้าว่าจะมาแทน SMS เดิมหนะครับ
ไม่ขัดกันนะ ผมพูดในมุมคนใช้งาน "คนที่อยู่ใน ecosystem ปิดอย่าง Apple มายาวนาน ในกลุ่มเล็กๆ" ผมลากยาวย้อนอดีตไปตั้งแต่ช่วง Mac OS โน้นเลย (อาจจะก่อนจะเป็น Mac OS X ) เพราะผมเคยสัมผัส และเคยอยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ครับ
ในย่อหน้าถัดมา คือปัจจุบันที่ผ่านการพัฒนา และ marketing จนมีหลายอย่างมีอำนาจเหนือตลาด
ผมเลยมองว่าคนที่โวยวายก็น่าจะใช้งานมานาน ฉันอยู่มาใน ecosystem ปิด ทุกอย่าง Just work! และ Think different ทำไมฉันต้องเปิด เพราะพวกเค้ากลัวเสียความสมูทในการใช้งานไป มันไม่ Just work! มันไม่ different แล้ว ทั้งๆ ที่ในอีกแง่หนึ่ง พวกเค้าไม่ได้เสียอะไรเลยในการใช้งาน เค้าอยากใช้สิ่งที่เค้าเคยใช้ก็ยังได้ใช้ด้วยซ้ำ แถมถ้าเปิดมากๆ มันได้ส่วนการผลิตทีละเยอะๆ เป็นประโยชน์ต่อตัวเค้าเองทั้งราคาถูกลง และเปิดกว้างมากขึ้น แต่พวกเค้ามองว่ามันไม่ Think different มันไม่ exclusive มากกว่า
ดูง่ายๆ USB-C โวยวายจะเป็นจะตาย สุดท้ายพอ iPhone ย้ายมาใช้ พบความเป็นจริงว่าชีวิตมันดีขึ้น การใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ได้เยอะและหลากหลายมากขึ้น เงินที่จ่ายกับสายที่ต้องซื้อน้อยลง ทุกคนก็เงียบแล้วก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตที่สะดวก-เปิดกว้าง-ประหยัด
+1024
บางทีก็เยอะเกิน
ก็ทำมาตรฐานการแชร์ไฟล์ผ่านอุปกรณ์ไร้สายแบบเดียวกับการชาร์จที่มี qi ซึ่ง apple เองก็เข้าร่วมด้วย ความร่วมมืออาจไม่ยากเท่าไหร่แต่ข้อกำหนดอาจใช้เวลาร่างนานหน่อย
เก็บ loyalty fee ได้ไหม เอาจริงๆ Apple ก็มีต้นทุนในการวิจัย/พัฒนาผลิตภัณฑ์อยู่นะ
มันก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องซื้อไอโปนมาเพื่อใช้มัน เครื่องไหนก็ใช้ได้ ราคาถูกก้ใช้ได
ผมอยากให้ Find My ของ Apple มีแอพบนแอนดรอยด์ด้วยมากกว่า
กรณีคนโวยวายเพราะห่วงเรื่องความปลอดภัยที่จะเพิ่มโอกาสถูกเจาะ ถูกหลอกลวงมากขึ้น
แล้วคนคนโวยวาย อาจไม่ได้เดือดร้อนจริงแต่เป็นครอบครัวหรือคนรอบตัวพวกเขาที่ตามอะไรพวกนี้ไม่ทันแล้วอาจถูกหลอกง่ายขึ้น(แล้วมันก็จะมากระทบตัวเองทางอ้อมได้อีกทอด)
จริง ๆ มันก็แค่ทำให้ตอนกดแชร์ไฟล์ ให้มันสามารถส่งให้ android ด้วยได้ก็โอเคแล้วนะครับแอบน่ารำคาญอยู่นะ ตอนเขา air drop กันแล้วทำเหมือน android ทำไม่ได้
ทั้ง ๆ ที่มันก็มีวิธีที่ทำได้ แต่ apple เลือกจะไม่ยอมทำโดนแบบนี้ได้ก็ดีแหละ
แอปเปิ้ลแก้ด้วยการออกแอพ airdrop บน playstoreแต่ดูแล้วเหมือน EU อยากให้เป็น 3rd ทำมากกว่าแอปเปิ้ลทำเอง คือต้องยอมรับอย่างหนึ่งนะว่ามันเป็นการชักเย่อกันไปมาของ EU กับ Apple หรือบริษัทอเมริกาอื่น ๆ ด้วย
อียูเจ้าเก่า เป็นแบบนี้กับทุกเทคโนโลยี ตั้งแต่ยุคอุตสาหกรรมการผลิตยันยุคสารสนเทค
เปิดก็ดีแชร์ไฟล์กับไอโฟนลำบากมาก ชีวิตผมไม่ได้ใช้แค่แมคกับไอโฟนอย่างเดียวซะหน่อย
บ้าบอกันไปใหญ่
ทำได้จริงก็ดีจะได้ไม่เสียบ flash drive เข้าไอโฟน
ขออยู่ฝั่งเชียร์ EU ทำไมการส่งไฟล์ให้เพื่อนข้าม OS มันจะให้เป็นเรื่องง่ายไม่ได้