ต่อเนื่องจาก งานเปิดตัว ASUS ZenFone ในงานมีตัวเครื่องให้ลองจับ และมีการเล่าที่มาของการพัฒนาซีรีย์ ZenFone ว่าเป็นอย่างไรบ้าง หยิบมาเล่าแบบพอสังเขปได้ดังนี้ครับ (โปรดระวัง ภาพเยอะมาก)

เริ่มต้นที่วิสัยทัศน์ในการออกแบบ ZenFone นั้นคำนึงถึงผู้ใช้เป็นอันดับแรก (ASUS ใช้คำว่า Start With People) ทำให้ ZenFone ทั้งสามรุ่นถูกออกแบบมาให้โค้งมน หยิบจับได้ง่าย และใช้วัสดุที่จับได้สะดวก

แม้ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนราคาย่อมเยา แต่ก็ยังคงความเรียบหรู และความทนทานเอาไว้ ตัวเครื่องมีการใช้โลหะเข้ามาเป็นส่วนประกอบ หน้าจอป้องกันด้วยกระจก Gorilla Glass 3 แถมยังใส่ใจเรื่องการตอบสนองของหน้าจอซึ่งจะตอบสนองต่อทุกสัมผัสบนหน้าจอในระยะเวลาประมาณ 60ms อีกด้วย

ในแง่ของการรับสัญญาณไร้สาย ZenFone วางตัวเป็นสมาร์ทโฟนที่นำไปใช้ที่ไหนก็ได้ จึงรองรับสามจีแบบควอดแบนด์ซึ่งครอบคลุมทั่วทั้งโลก และยังจับสัญญาณได้ดีขึ้นด้วยเสาสัญญาณคู่ในตัว

เรื่องของกล้อง ในรุ่น ZenFone 5 และ ZenFone 6 มาพร้อมกับเซนเซอร์คุณภาพสูงจากโซนี่ และพานาโซนิค พร้อมกับชุดเลนส์ 5 ชิ้นรูรับแสงกว้างสุด f/2.0 ทัดเทียมกับสมาร์ทโฟนรุ่นแพงๆ หลายตัว พร้อมกับ PixelMaster ชุดซอฟต์แวร์สำหรับกล้องที่ใช้ได้หลากหลายทั้งถ่ายในที่มืด ถ่ายแล้วเลือกภาพดีที่สุด หรือแม้แต่โหมดสำหรับถ่าย selfie!

นอกจากซอฟต์แวร์กล้องแล้ว ASUS ยังยกเครื่องส่วนติดต่อผู้ใช้ใหม่หมด เรียกใหม่เป็น ZenUI ที่มาพร้อมกับชุดซอฟต์แวร์ Zen Experience ที่มาพร้อมกับแอพสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวันหลายตัวดังนี้

• What's Next- แอพแจ้งเตือนที่ดูแลทั้งปฏิทินงาน โทรศัพท์ ข้อความ สภาพอากาศในหนึ่งเดียว
• Do It Later- แอพจัดการงานที่สามารถเพิ่มรายการ และจัดการได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการสั่งงานแบบ gesture
• Share Link- แอพแชร์ไฟล์แบบไร้อินเทอร์เน็ต ด้วยการเปิด hotspot แล้วแชร์ไฟล์แบบ P2P ส่งไฟล์ได้หลากหลายทั้งภาพถ่าย วิดีโอ เพลง หรือแม้แต่ไฟล์ .apk! รองรับการใช้งานทั้งบน Android และ iOS
• Party Link- ทางเลือกในการแชร์ไฟล์ในกลุ่มเพื่อน ผ่าน Wi-Fi Direct ความเร็วสูง สามารถตั้งรหัสผ่านเพื่อความปลอดภัยได้
• Remote Link- สำหรับควบคุมพีซีผ่านสมาร์ทโฟน ด้วยการเชื่อมต่อกับบลูทูธ ใช้งานได้กับการนำเสนอด้วย PowerPoint และ Windows Media Player
• PC Link- สำหรับส่งภาพขึ้นไปยังหน้าจอพีซี และควบคุมสมาร์ทโฟนด้วยคีย์บอร์ด-เมาส์ ใช้งานได้กับ Windows 7 และ Windows 8

ปิดท้ายด้วยเคสคู่ตัว ZenFone 5 และ ZenFone 6 อย่าง View Flip Case เคสมีฝาปิดที่สามารถแสดงผลการแจ้งเตือนอย่างง่าย เช่นสายเรียกเข้า และการแจ้งเตือนอื่นๆ

หมดการนำเสนอของผู้บริหารไปก็ถึงคิวของภาพตัวเครื่อง ZenFone ทั้งสามรุ่น จุดเด่นร่วมกันคือใช้การออกแบบโค้งมน ด้านล่างตัวเครื่องเป็นโลหะขัดลายเส้น ปุ่มเป็นโลหะทั้งหมด ฝาหลังถอดได้ รองรับสองซิม ใส่ micro SD เพิ่มได้ แต่มีเฉพาะ ZenFone 4 ที่สามารถเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ครับ ดูภาพของแต่ละเครื่องได้เลย

ZenFone 4

ZenFone 5

ZenFone 6

ถอดฝาหลังได้ (ในภาพเป็น ZenFone 5)

รองรับสามจีควอดแบนด์จริง (ทดสอบกับ dtac ซึ่งใช้ย่านความถี่ 850MHz/1800MHz และ 2100MHz)

ในงานผมได้ลองเล่นแต่ละเครื่องอย่างละนิดหน่อย พบว่าเรื่องความลื่นไหลในการใช้งานนั้นถือว่าสอบผ่านทุกรุ่น กล้องของ ZenFone 4 ค่อนข้างแย่ตามราคา เทียบกับอีกสองรุ่นที่เหลือนั้นทำผลงานดีกว่ามาก (ZenFone 5 และ ZenFone 6 คุณภาพกล้องพอกัน) ฟีเจอร์กล้องที่ให้มานั้น ทำได้ดีใน Time rewind ส่วนอันอื่นๆ อยู่ในขั้นพอใช้ แต่ฟีเจอร์ Depth of Field ที่ทำภาพชัดตื้นนั้นใช้การถ่ายสองภาพต่อเนื่องกัน ถ้าหากแสงไม่มากพอเรียกได้ว่าใช้งานไม่ได้เลย

โหมดกล้องต่างๆ บน ZenFone 5 และ ZenFone 6

ZenFone 4 ฟีเจอร์กล้องจะน้อยกว่ารุ่นพี่

ฟีเจอร์ Time rewind

การถือจับในแต่ละรุ่น ZenFone 4 หนาที่สุด และจับได้ง่ายที่สุดด้วยมือเดียว ในขณะที่ ZenFone 5 แม้ว่าจะหน้าจอใหญ่กว่ากันไม่มาก แต่ก็ถือใช้งานด้วยมือเดียวแทบไม่ได้แล้ว ส่วน ZenFone 6 นั้นแทบไม่ต้องพูดถึงการใช้งานด้วยมือเดียวไปเลย

เทียบขนาด ZenFone ทั้งสามรุ่น

เรื่องของการใช้งาน ZenFone 4 อาจมีปัญหาเรื่องใช้งานได้ไม่นาน เนื่องจากแบตเตอรี่จุเพียง 1200mAh แต่ก็เป็นรุ่นเดียวที่สามารถเปลี่ยนแบตได้เองด้วย อาจจะพอลบข้อด้อยไปได้บ้าง ส่วนรุ่นอื่นแบตเตอรี่ให้มาเหลือเฟือ คงต้องรอทดสอบใช้งานจริงครับ

ภาพเยอะมากแล้ว เกรงว่าจะโหลดกันหนักหน่วงไป งั้น ภาพนี้ตามไปดูกันเองนะครับ