เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาระหว่างเวลา 17.50 ถึง 19.03 ระบบเอทีเอ็มหลายธนาคารมีปัญหาทำให้หลายคนพบว่าเงินถูกตัดจากบัญชีแต่กลับไม่ได้รับเงินทางหน้าเครื่อง
แถลงการณ์จากธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารทหารไทย หลังจากการแก้ไข (ธนาคารทหารไทยแจ้งตอนสองทุ่ม, ไทยพาณิชย์แจ้งตอนสี่ทุ่ม) ระบุว่าปัญหาเกิดจาก ITMX ขัดข้อง แต่ภายหลังการแจ้งของทั้งสองธนาคารก็แก้ไขลบการพาดพิงถึง ITMX ออกไปทั้งคู่ (ยังดูได้ในประวัติการแก้ไขของทั้งสองโพส)
ITMX เป็นผู้ให้บริการเชื่อมต่อระหว่างธนาคารหลายบริการ บริการที่ได้ยินชื่อกันบ่อยๆ คงเป็นบริการพร้อมเพย์ที่เพิ่งล่มแบบดูดเงินผู้ใช้เหมือนกับวันนี้ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้เป็นการดูดเงินเมื่อถอนเงินจากตู้เอทีเอ็ม
ประกาศของธนาคารกสิกรไทยระบุว่าเงินจะกลับเข้าบัญชีภายในห้าโมงเย็นวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ระบุว่าเงินจะเข้าภายในห้าโมงครึ่งวันเดียวกัน
ที่มา - ประกาศธนาคาร กสิกรไทย , ไทยพาณิชย์ , ทหารไทย
Comments
เจ้าหน้าที่กรุงศรีกับธนชาต ก็บอกว่าเป็นบ่อยช่วงสิ้นเดือน
เกิดจากอะไรกัน ไม่ควรเกิดแบบนี้ ช่วงสิ้นเดือน ที่คนจะต้องถอนเงินนะ
ดีเนอะ ไม่มีการเยียวยาลูกค้าเลย
ทำครับ ปลายปี 56 คนแห่ถอนเงินช่วงใกล้จะปีใหม่เยอะมาก ผมก็ได้เงินลมเหมือนกัน สุดท้ายก็โทรไปหาธนาคารก็ได้เงินคืนครบเลยครับ
แต่เดี๋ยว...... ครั้งนี้ก็จะลูกค้าโทรไปจิกเงินเองแบบเดิมรึเปล่า?
เอิ่ม แค่คืนเงินครบไม่ได้เรียกว่าเยียวยานะครับ = ="
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
+65536
"Those who make peaceful revolution impossible will make violent revolution inevitable." JFK.
เค้าน่าจะประชดนะครับ
แหม่...ซุกไว้ใต้พรมอีกแล้ว ถนัดกันจริง #อ่านข่าวด้วยไบแอส
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
อยู่กันแบบหยวนๆ ต้องแอบๆ ซ่อนๆ การเมืองๆ เกี้ยเซี้ยๆ ก็แบบนี้แหละครับ
ผู้บริหารธนาคารหลายท่านจากหลายธนาคารก็ไปนั่ง ITMX ด้วยแหละ
ITMX นี่หลายรอบแล้วนะ
สงสัยตั้งแต่ตอนพร้อมเพย์รอบที่แล้วละ ว่าเค้าออกแบบ transaction กันยังไงนะ ทำไมทำรายการได้ไม่สมบูรณ์แล้วถึงมีการตัดเงินได้
ขอถามย้อนไปคราวพร้อมเพย์ล่ม.. ใครเห็นข้อมูลรายละเอียดเชิงเทคนิคของสาเหตุและวิธีการตอบสนองป้องกันแก้ไขบ้าง, เผื่อจะได้เป็นกรณีศึกษาให้ระบบอื่นๆ ต่อไป (เห็นผ่านตาแค่หนังสือแจงอันเดียว ซึ่งบอกสาเหตุมาแค่ว่าโปรแกรมเขียนผิด ส่วนการแก้ไขก้อบอกแค่แนวๆ ว่า “ทำแล้ว จะไม่เป็นอีกแล้ว”)